เสี่ยวซุ่นจื่อลังเลเล็กน้อย เขาย่อมทราบเรื่องที่โหรวหลันกับหลี่จวิ้นรักกัน แต่เขามิเห็นเป็นเรื่องสำคัญนัก อีกอย่างโหรวหลันเองก็ใกล้ชิดกับฮั่วฉงและหลี่หลินเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลังจากทราบความคิดของเจียงเจ๋อ เขาจึงมิได้ห้ามปราม
ในสายตาเขา คำสั่งของคุณชายย่อมมิอาจขัดขืน นับประสาอะไรกับเมื่อฮั่วฉงกับโหรวหลันหมั้นหมายกันดูจะเป็นเรื่องเหมาะสมกว่าเล็กน้อย คิดมิถึงว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ ยังมิต้องพูดถึงเรื่องอื่น หลี่จวิ้นผละจากหน้าที่มาโดยพลการก็เป็นเรื่องที่มีโทษหนักหนาเรื่องหนึ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นโอรสสวรรค์ในอนาคตยังมาคุกเข่าอยู่นานเช่นนี้อีก เรื่องนี้ก็มิเข้าท่า
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เมินหลี่จวิ้น ปล่อยโหรวหลันจากอ้อมแขนแล้วถามเสียงราบเรียบ “หลันเอ๋อร์ คุณชายรักเจ้าประหนึ่งไข่มุกบนฝ่ามือ เขาหมั้นหมายเจ้าให้ฮั่วฉงล้วนเป็นเพราะใส่ใจ หากเป็นพระชายารัชทายาท วันหน้าเจ้าจะต้องแย่งชิงความโปรดปรานกับสตรีนางอื่น หากแต่งงานกับฮั่วฉง เขามิมีวันกล้าคิดแต่งภรรยารองรับอนุ อีกอย่างหนึ่ง เจ้ากับฉงเอ๋อร์ก็เติบใหญ่มาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เจ้าน่าจะรู้จักนิสัยของเขาดีอย่างยิ่ง บุรุษดีๆ เช่นนี้หากพลาดไป ก็มิมีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว”
โหรวหลันเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยเช่นนี้ก็หลั่งน้ำตาอย่างห้ามมิได้ “อาซุ่น ข้าทราบว่าพี่ฮั่วดียิ่งนัก แต่ที่ผ่านมาข้าเห็นเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ตัวข้าชอบพี่จวิ้นมาตลอด หากข้ารับปากท่านพ่อ แต่งงานกับพี่ฮั่วไปจริงๆ ไฉนมิใช่ผิดต่อเขาเล่า”
หลี่จวิ้นรีบเอ่ยบ้าง “อาซุ่น หลี่จวิ้นขอสาบานต่อฟ้า จะมิมีวันทำผิดต่อโหรวหลัน หากข้าทำผิดต่อนาง ขอให้ฟ้าดินลงโทษ”
เสี่ยวซุ่นจื่อโต้เสียงเย็นชา “องค์รัชทายาท วันหน้าท่านจะต้องเป็นจักรพรรดิ ตามจารีตประเพณี มิว่าตัวท่านเองจะคิดอย่างไร ตำแหน่งสี่ชายาเก้านางสนมล้วนต้องมีคนมาครอง หลันเอ๋อร์ของบ้านข้าถูกเอาอกเอาใจประหนึ่งไข่มุกประหนึ่งหยกมาตลอด ไฉนจะไปแย่งชิงความโปรดปรานกับสตรีนางอื่นได้”
หลี่จวิ้นชะงักไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “อาซุ่น ข้ามิกล้าบอกว่าวันหน้าจะมีหลันเอ๋อร์เพียงผู้เดียว ท่านพูดถูกแล้ว มิว่าข้าจะจริงใจต่อหลันเอ๋อร์สักเท่าใด เมื่อก้าวขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิย่อมต้องรับสนม นี่เป็นจารีตประเพณีและเป็นกฎ แต่หลี่จวิ้นยินดีสาบานว่าชีวิตนี้ชาตินี้จะมิมีวันปล่อยให้หัวใจของข้าถูกสตรีคนอื่นแย่งชิงไปและจะมิมีวันปล่อยให้สตรีนางอื่นให้กำเนิดทายาท
เรื่องในวันหน้า ข้ามิกล้าพูดถึง แต่ยามนี้เสด็จพ่อยังหนุ่มฉกรรจ์ ตำแหน่งรัชทายาทของข้ามิว่าอย่างไรก็คงได้เป็นไปอีกยี่สิบสามสิบปี ก่อนหน้าข้าสืบราชบัลลังก์ ข้าจะมิมีวันแต่งชายารองรับอนุภรรยาเป็นอันขาด”
หากหลี่จวิ้นสาบานออกมาโต้งๆ ว่าตนเองจะมิมีวันรับสนม หรืออนุ มิเพียงเสี่ยวซุ่นจื่อจะมิเชื่อ แม้แต่โหรวหลันเองก็คงแคลงใจ แต่เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ทั้งสองคนกลับเชื่อในความจริงใจของเขา
แม้โหรวหลันจะยังคงมีคราบน้ำตานองหน้า แต่ก็เผยรอยยยิ้มออกมาอย่างอดมิได้ งามเลิศล้ำดุจปทุมาโผล่พ้นผิวน้ำ หลี่จวิ้นมองนิ่งอึ้ง จวบจนกระทั่งโหรวหลันหน้าแดงด้วยความขัดเขินผินหน้าหลบสายตาจึงได้สติกลับมา
เขาหันไปมองเสี่ยวซุ่นจื่อด้วยสายตาวิงวอนอีกหน เขาทราบว่าหากไม่มีคนผู้นี้ช่วยไกล่เกลี่ย เกรงว่ามิทันรอให้เสด็จพ่อของตนคิดหาวิธีได้ โหรวหลันก็คงต้องแต่งงานกับฮั่วฉงไปแล้ว
เสี่ยวซุ่นจื่อถอนหายใจบอกว่า “เรื่องนี้ยกให้ข้าจัดการเถิด ข้าโน้มน้าวคุณชายได้ ขอเพียงคุณหนูหลันมิยินดีก็จะมิบังคับให้นางแต่งงาน แต่องค์รัชทายาทจะรีบร้อนขอหมั้นหมายมิได้ โหรวหลันอายุยังน้อย ผ่านไปอีกสองปีค่อยแต่งงานก็ยังมิสาย องค์รัชทายาทมีภาระหนักหนาอยู่ รีบเดินทางกลับฉู่โจวเถิด หากเรื่องในวันนี้แพร่ออกไป เกรงว่าการแต่งงานระหว่างท่านกับคุณหนูโหรวหลันคงยิ่งมิมีหวังแล้ว”
หลี่จวิ้นหนาวยะเยือกในหัวใจ นึกถึงความผิดฐานละทิ้งหน้าที่โดยพลการของตนเองขึ้นมาได้ทันที แม้ฝั่งฉู่โจวด้านนั้นน่าจะยังมิมีเรื่องตอนนี้ แต่หากเกิดเรื่องมิคาดฝันอันใดขึ้นมา เสด็จพ่อต้องสั่งลงโทษอย่างแน่นอน ผู้ที่จ้องตำแหน่งพระชายารัชทายาทมีอยู่มิใช่จำนวนน้อยๆ หากโหรวหลันถูกตราหน้าว่าเป็นคน ‘ก่อหายนะ’ การแต่งงานหนนี้ย่อมไม่มีหวังแล้วจริงๆ
แม้เขาจะเลอะเลือนไปชั่วขณะเพราะความรัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่คนโง่ เขามองประตูห้องที่ปิดสนิทหนหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าจะกลับฉู่โจวเดี๋ยวนี้ แต่หลายวันนี้ฮั่วฉงอยู่ข้างข้าตลอด หากไม่มีเขาอยู่ด้วย ข้ารู้สึกมิค่อยสบายใจ ให้เขากลับฉู่โจวไปด้วยกันกับข้าก็แล้วกัน”
เสี่ยวซุ่นจื่อกับโหรวหลันต่างอึ้งไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็เข้าใจ หากฮั่วฉงยังอยู่ข้างโหรวหลัน หลี่จวิ้นคงมิอาจวางใจได้ ยิ่งไปกว่านั้น แต่เดิมฮั่วฉงก็คอยทำงานอยู่ข้างกายหลี่จวิ้นอยู่แล้ว คำพูดนี้ของหลี่จวิ้นย่อมมีเหตุผล ฮั่วฉงมิอยากไปก็คงมิได้
เสี่ยวซุ่นจื่อกับโหรวหลันลังเลตัดสินใจมิได้ ตอนนั้นเองประตูห้องก็เปิดออก ฮั่วฉงหน้าจืดเจื่อนเดินออกมาบอกว่า “ท่านอาจารย์สั่งว่า เป็นขุนนางสมควรให้เรื่องของแว่นแคว้นเป็นสำคัญ ให้ฮั่วฉงติดตามองค์รัชทายาทไป ออกเดินทางทันที”
หลี่จวิ้นดีใจยิ่งนัก ก้าวเข้าไปจับมือฮั่วฉงแล้วบอกว่า “พี่ฮั่วโปรดวางใจ หากมิใช่เพราะพี่ฮั่วส่งจดหมายมาบอก ข้าคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิต ข้ามิได้มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน เพียงต้องการพึ่งพาความสามารถของพี่ฮั่วเท่านั้น ขอพี่ฮั่วใจกว้างช่วยเหลือข้าด้วย”
ฮั่วฉงแอบยิ้มฝืดเฝื่อนในใจ พลางคิดในใจว่า ข้าลำบากเช่นนั้นไปทำไมกันหนอ แต่เดิมต้องการจะช่วยให้เรื่องดีงามของเจ้าสำเร็จสมประสงค์ กลับกลายเป็นว่าพาตัวเองไปติดกับด้วย หากเจ้ามิใจร้อนเช่นนี้ ไม่แน่ว่าผ่านไปมินานเรื่องก็คงราบรื่นแล้ว มิต้องเกิดเรื่องวุ่นวายมากเพียงนี้
หลังจากจัดการเรื่องข้างนอกจนเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อจึงผละออกไปพบเจียงเจ๋อ พอเข้ามาในห้องก็เห็นเจียงเจ๋อสีหน้าแค้นเคืองนั่งอยู่บนตั่ง หมากสีดำขาวถูกปัดหล่นกระจายเกลื่อน ตำราหลายเล่มร่วงตกลงมากองบนพื้น เห็นชัดว่าถูกระบายอารมณ์ใส่
เขาอดมิได้เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวว่า “หนนี้คุณชายจับคู่ยวนยางพลาดจนเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายถึงเพียงนี้ หาวิธีแก้ไขได้แล้วหรือไม่”
ข้าตอบอย่างโมโห “คนที่น่าชังที่สุดก็คือเจ้าเด็กฮั่วฉงคนนั้น หากเขามิยินดีตบแต่งกับหลันเอ๋อร์ก็แล้วไปเถิด บอกข้ามาตรงๆ ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่เขาดันส่งจดหมายไปหาหลี่จวิ้นจนเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ตามมา น่าชังอย่างที่สุดจริงๆ หนนี้ให้เขาตามหลี่จวิ้นไปไหวตง ข้าจะดูสิว่าเจ้าหนูหลี่จวิ้นคนนั้นจะจัดการกับศัตรูความรักของตนเองอย่างไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อหลุดหัวเราะ “ฉงเอ๋อร์มิพูดก็มีเหตุผลเข้าใจได้ หากคุณชายทราบว่าโหรวหลันกับรัชทายาทมีใจให้กันตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน เกรงว่าคงจะบังคับให้พวกเขาสองคนกราบไหว้ฟ้าดินกันทันที เพียงแต่เขาคงคิดมิถึงว่ารัชทายาทจะคุมสติมิได้ถึงเพียงนี้ คุณชาย ความจริงรัชทายาทก็จริงใจ หลันเอ๋อร์เองก็รักเขาอย่างลึกซึ้งมาตลอด ท่านไยต้องขัดขวางให้จงได้ด้วยเล่า”
ข้าส่ายหน้าตอบว่า “ยังมิต้องพูดถึงฐานะของหลี่จวิ้น ก็จริงอยู่ที่ข้าไม่ปรารถนาให้หลันเอ๋อร์แต่งเข้าไปในราชวงศ์ แต่เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ ข้าเคยศึกษาการทำนายชะตาจากใบหน้ามาเล็กน้อย พอจะรู้หลักการอยู่บ้าง หลี่จวิ้นเจ้าเด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวมีสติปัญญา ทั้งยังมีจิตใจเมตตา ทุกสิ่งดีงามยิ่งนัก แต่เขาดันขาดบุญวาสนา ข้ารักหลันเอ๋อร์ดุจแก้วตาดวงใจมาตลอด ทนให้นางลำบากในวันหน้ามิได้จริงๆ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นสีหน้าของเจียงเจ๋อแน่วแน่ก็ทราบว่าหนนี้ยากนักจะเปลี่ยนใจเจียงเจ๋อได้ จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่ข้ารับปากรัชทายาทเมื่อครู่ คุณชายคงมิปล่อยให้ข้าผิดคำพูดกระมัง”
ข้าหัวเราะ “ข้าจะกล้าได้อย่างไร หากทำให้เงามารผิดคำพูด เกรงว่าข้าคงต้องฝืนกล้ำกลืนความทรมานมิจบสิ้นเป็นแน่ ช่างเถิด เรื่องแต่งงานของโหรวหลันชะลอไปก่อนก็ได้ แต่บนโลกใบนี้ชายหนุ่มที่คู่ควรกับหลันเอ๋อร์มีไม่มาก นอกจากฉงเอ๋อร์ ข้าก็ยังมองมิเห็นคนไหนอีกจริงๆ หากหลันเอ๋อร์มิยอมแต่งงานกับฉงเอ๋อร์ ข้าไม่บังคับนางก็ได้ แต่หากนางต้องการแต่งกับผู้อื่นก็ต้องเป็นคนที่ข้าถูกใจเท่านั้น แต่หลี่จวิ้นไม่ได้”
เสี่ยวซุ่นจื่อส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา หากเจียงเจ๋อดื้อรั้นขึ้นมา เขาก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน ทำให้เขายอมถอยก้าวหนึ่งก็มิง่ายแล้ว ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฎีกาขอพระราชทานสมรสที่เจียงเจ๋อถวายขึ้นไปแล้ว เขาอดมิได้ถามขึ้นว่า “คุณชาย ถ้าเช่นนั้นฎีกาฉบับนั้นของท่านส่งไปแล้ว เรื่องนี้จะทำเช่นไร”
ข้าเริ่มเหนื่อยเล็กน้อย จึงตอบอย่างเฉยเมย “นี่สำคัญอย่างไรเล่า หากฝ่าบาทพระราชทานสมรสลงมา ถ้าเช่นนั้นก็มิใช่พวกเราผิดคำพูดแล้ว หากหลี่จวิ้นอยากแต่งงานกับหลันเอ๋อร์ เขาย่อมจัดการเรื่องนี้เอง มิต้องให้พวกเราว้าวุ่นใจ อีกอย่างมีฎีกาฉบับนั้นอยู่ ฝ่าบาทย่อมมิอาจแต่งตั้งหลันเอ๋อร์เป็นพระชายารัชทายาทตามใจ นี่มิใช่ดีอย่างยิ่งหรือ”
พูดถึงสองสามคำสุดท้าย เสียงก็แผ่วเบายิ่งนัก เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นลมหายใจของเจียงเจ๋อค่อยๆ เบาลง ท่าทางสะลึมสะลือคล้ายจะหลับก็ตระหนักได้วาตอนที่รัชทายาทคุกเข่าอยู่ด้านนอก ในใจเขาก็คงมิรู้สึกดีนัก
เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะเบาๆ ห่มผ้าห่มบนร่างของเจียงเจ๋ออย่างดี จากนั้นจึงเก็บเม็ดหมากกับตำราที่หล่นเกลื่อนพื้นอย่างเบามือ เสร็จแล้วจึงมานั่งโคจรลมปราณบนเก้าอี้ รีบเร่งมาตลอดทาง ตัวเขาก็ค่อนข้างเหนื่อยแล้วเหมือนกัน