ปีที่สิบหก กองทัพต้ายงยึดครองดินแดนเจียงไหว หมายจะข้ามแม่น้ำลงใต้ ราชสำนักหวาดกลัว คุกเข่าอ้อนวอนขอสงบศึก ขนทองคำอัญมณีและหญิงงามมาเพื่อติดสินบนฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ราชสำนักร้อนใจกังวลว่าจะมิสำเร็จ ได้ยินว่านางคณิกาแซ่หลิ่วมีรูปโฉมและฝีมือเป็นเอกในเจียงหนาน จึงใช้ทหารลักตัวมาแล้วส่งไปยังค่ายทหารของต้ายง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกนางคณิกาแซ่หลิ่ว
ต้ายง รัชศกหลงเซิ่งปีที่สิบสอง สองฟากฝั่งของท่าเรือกวาโจวนอกเมืองหยางโจวมีแต่ไพร่พลเนืองแน่นดุจหมู่เมฆา ผืนธงบดบังท้องนภา กองทัพต้ายงยกทัพข้ามแม่น้ำฉางเจียงอีกหน หนนี้แม่ทัพหลักของฝ่ายต้ายงคือเผยอวิ๋น เพียงแต่ว่ามีองค์รัชทายาทหลี่จวิ้นรองแม่ทัพใหญ่แห่งกองบัญชาการศึกเจียงหนานแห่งต้ายงมาตรวจการกองทัพด้วย ทำให้ผู้คนเข้าใจชัดแจ้งถึงความแน่วแน่ในการข้ามแม่น้ำพิชิตแดนใต้ของกองทัพต้ายง
สายลมหนาวเย็นเฉียบ หนาวยะเยือกเสียดแทงกระดูก เมฆแดงก่ำปกคลุมผืนฟ้า ฮั่วฉงเลิกประตูกระโจมมองท้องนภาด้านนอก ลมหนาวโถมเข้าใส่ใบหน้าทำให้ฮั่วฉงตื่นเต็มตา สีหน้าของเขามีความกลัดกลุ้มอยู่เล็กน้อย เสบียงเสริมกับเสื้อผ้าหน้าหนาวสมควรส่งมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ยามนี้หิมะแรกของเหมันต์ปีนี้กำลังจะมาเยือน หลังจากหิมะโปรยปราย ความหนาวเย็นย่อมเพิ่มทบทวี หากปราศจากเสื้อผ้าหน้าหนาวที่เพียงพอ พลทหารทั้งหลายต้องทุกข์ทรมาน
เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วปล่อยม่านกระโจมลง รู้สึกว่าทั้งร่างหนาวเล็กน้อยจึงเดินไปที่มุมหนึ่งของกระโจม หยิบถ้วยใบหนึ่งบนหีบไม้หวงหยางข้างเตียงมารินสุราจากกาสุราที่ต้มอยู่บนเตาทองแดงภายในกระโจม รอจนกระทั่งสุราเหลืออุณหภูมิเพียงอุ่นๆ เขาถึงค่อยๆ จิบอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาลึกล้ำทั้งสองข้างปรากฏแววตาเกียจคร้านเล็กน้อย เขาถือจอกสุรากลับไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ ยกพู่กันขึ้นจัดการเอกสารที่เหลือให้เสร็จ เมื่อเขายกเอกสารที่สะสางเสร็จแล้วไปไว้ด้านข้าง สุราในจอกก็มิเหลือสักหยด
ในตอนนี้เอง ม่านกระโจมก็ถูกเลิกเปิด ลมหนาวพัดเกล็ดหิมะเข้ามาด้านใน ชายหนุ่มในชุดทหารสีเหลืองอร่ามคนหนึ่งสาวเท้าก้าวเข้ามา บนผ้าคลุมผืนใหญ่เต็มไปด้วยหิมะทับถม เขาก็คือรัชทายาทหลี่จวิ้นนั่นเอง
หลี่จวิ้นหัวเราะเอ่ยว่า “เจ้าช่างแอบเกียจคร้านเก่งนัก ข้ากับแม่ทัพเผยไปตรวจตรากองทัพที่ริมแม่น้ำ หนาวจนเกือบแข็งตาย”
ฮั่วฉงรีบลุกขึ้นก้าวไปช่วยหลี่จวิ้นถอดผ้าคลุม จากนั้นหยิบถ้วยรินสุรามาให้แล้วแก้ตัวว่า “องค์ชายใส่ร้ายผู้อื่นแล้ว หากกระหม่อมมิได้ยุ่งอยู่กับการสะสางเอกสารย่อมต้องตามไปตรวจตรากองทัพเป็นเพื่อนองค์ชายอย่างแน่นอน มิทราบว่ากองทัพหนานฉู่เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่จวิ้นดื่มสุราหนึ่งจอกหมดก็พลันรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นมาก หัวเราะตอบว่า “ดูอย่างรีบเร่งจึงยังมองสิ่งใดมิออก แต่แม่ทัพเผยอยากจะเปิดศึกโดยเร็ว ห้าปีก่อนเขาพ่ายแพ้ที่กวาโจว ตราบจนวันนี้ก็ยังรู้สึกอับอายขายหน้ายิ่งนัก แล้วต่อมากองทัพหนานฉู่ยังก่อเรื่องที่ไหวตงจนเสียเมืองซื่อโจวและเกือบจะรักษาฉู่โจวไว้มิได้ ทว่าสองสามปีต่อจากนั้นเสด็จอากลับมิอนุญาตให้เขาบุกซื่อโจวอีกเพราะกำลังทหารมิพอ หลายปีนี้เขาจึงข่มกลั้นความต้องการมาตลอด พยัคฆ์ร้ายเช่นแม่ทัพเผยคงอดกลั้นจนแทบจะทนมิไหวแล้ว หากมิใช่เพราะข้าห้าม เกรงว่าเขาคงล่องเรือข้ามแม่น้ำไปแล้ว”
ฮั่วฉงหัวเราะ “แม่ทัพเผยคงจะอยากบุกข้ามแม่น้ำรวดเดียว มิให้เวลาเนิ่นช้าจนหยางซิ่วตั้งแนวป้องกันได้มั่นคง อย่างไรเสียแม่น้ำฉางเจียงก็เป็นปราการธรรมชาติที่ข้ามยากยิ่งนัก แต่ฉีอ๋องออกคำสั่งแล้วว่าให้พวกเราข้ามฉางเจียงยามวสันต์ปีหน้า คิดว่าเขาคงจะมีแผนการเตรียมเอาไว้แล้ว กองทัพเราย่อมทำได้เพียงทำตามคำสั่ง ความจริงสองปีนี้ แม่ทัพเผยก็รุกคืบทีละก้าวได้อย่างราบรื่น ยึดซื่อโจว ข้ามไหวสุ่ย ตีก่วงหลิงกลับมา จากนั้นรุกหยางโจว ตั้งทัพริมฉางเจียง ยังจะมีผู้ใดนำเรื่องราวในอดีตมาเยาะเย้ยเขาอีก”
หลี่จวิ้นพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง สายตาจับบนเอกสารทั้งหลายอย่างมิตั้งใจ แล้วก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่ง ลงนามตรงท้ายว่าเจียงเจ๋อ ใบหน้าเขาจึงหม่นหมองลงทันควัน ถอนหายใจถามว่า “อาเขยส่งจดหมายมาอีกแล้วหรือ”
ฮั่วฉงตอบอย่างนิ่งสงบ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาจารย์ส่งจดหมายมาบอกว่าเหมันต์ปีนี้หยางโจวน่าจะมิมีศึกสงคราม ให้กระหม่อมไปพบเขาที่เหอเฝย”
ฮั่วฉงเพิ่งเอ่ยจบ หลี่จวิ้นพลันบีบจอกสุราในมือจนแตก หันไปมองฮั่วฉงอย่างดุร้าย ถามว่า “แล้วเจ้าคิดจะไปเหอเฝยหรือไม่”
ฮั่วฉงคิดในใจว่า ต่อให้ข้าคิดจะไปจริงก็คงไม่มีปัญญาก้าวเท้าพ้นจากค่าย จากนั้นก็ทำได้เพียงยิ้มจืดเจื่อน “องค์ชาย ความในใจของกระหม่อม องค์ชายก็มิใช่ว่ามิทราบ หากข้ามีใจหมายปองหลันเอ๋อร์จริง ตอนนี้ก็คงแต่งงานกับหลันเอ๋อร์ไปนานแล้ว”
หลี่จวิ้นได้ยินก็ชะงักวูบหนึ่ง บนใบหน้าปรากฏสีหน้าละอายใจจางๆ ต่อจากนั้นก็เปลี่ยนแปรเป็นสีหน้ากลัดกลุ้ม หัวใจของเขามองโหรวหลันเป็นพระชายาในอนาคตของตนเองมานานแล้ว เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็อนุญาตมานานแล้วเช่นกัน แต่เดิมคิดว่าช้าเร็วสองดวงใจก็จะได้รวมเป็นหนึ่ง ครองคู่ตราบจนเส้นผมขาวโพลน แต่คิดมิถึงว่าสองปีก่อนกลับเกิดเรื่องมิคาดฝัน เส้นทางแห่งวาสนามงคลต้องพบอุปสรรค
เขาเพียรพยายามวอนขอ แต่จนปัญญาที่เจียงเจ๋อมิยอมอนุญาตให้แต่งงาน ตรงกันข้ามกลับตั้งใจจะเรียกตัวฮั่วฉงกลับไปข้างกายหลายต่อหลายครั้ง เพื่อให้ฮั่วฉงแต่งงานกับโหรวหลันให้สำเร็จ หากมิใช่ว่าโหรวหลันยืนกรานมิยอม ส่วนตนเองก็ยึดตัวฮั่วฉงไว้มิยอมปล่อย เกรงว่าตอนนี้ตนคงได้กำลังตัดพ้อต่อว่าสวรรค์เป็นแน่
แม้เขาจะลอบเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือจากเสด็จแม่ เสด็จแม่ก็ตอบกลับมาเพียงว่าเสด็จพ่อจะหยุดฎีกาขอพระราชทานสมรสเอาไว้ชั่วคราว แต่หากมิได้รับคำยินยอมจากเจียงเจ๋อ แม้แต่เสด็จพ่อก็มิสะดวกจะพระราชทานสมรสตามอำเภอใจ ครานี้จะทำอย่างไรดีเล่า
เห็นหลี่จวิ้นหน้านิ่วคิ้วมวด หัวใจของฮั่วฉงก็มิได้รู้สึกดีนัก สองปีนี้สงครามดำเนินไปอย่างราบรื่น แนวรบฝั่งตะวันตก ฉินหย่งบุกตีปาจวิ้น ขุยโจวสำเร็จแล้ว แม่ทัพจ่างซุนจี้ก็ยึดจิ้งหลิงกับสุยโจวได้เรียบร้อย ฝั่งไหวซีกองทัพของจิงฉือก็ตีลี่หยางได้แล้ว แม้แต่กองบัญชาการศึกเจียงหนานเองก็ย้ายมาตั้งที่เหอเฝยตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน
เรื่องนี้เดิมทีเป็นเรื่องที่ทำให้คนยินดีปรีดา แต่พอนึกถึงความอกสั่นขวัญแขวนยามตนทำงานอยู่ข้างกายรัชทายาทเพราะต้องคอยระวังตลอดเวลาว่ารัชทายาทจะนึกออกเมื่อใดว่าตนเองเป็นศัตรูความรักของเขาก็ยิ่งนึกเสียใจที่ยามนั้นตนเองอวดฉลาดส่งจดหมายไปบอกหลี่จวิ้น หากมิได้ทำเช่นนั้น ท่านอาจารย์ก็คงมิปล่อยให้ตนเองต้องมาติดตามอยู่ข้างตัวหลี่จวิ้นอย่างกระอักกระอ่วนเช่นนี้กระมัง
ขณะที่บรรยากาศภายในกระโจมอึมครึมก็มีพลทหารจากด้านนอกรายงานว่ามีคนมาขอพบฮั่วฉง แม้ฮั่วฉงมิทราบว่าผู้ใดมาขอพบ แต่ประการแรกเพราะในใจนึกฉงน ประการที่สองกำลังคิดหาวิธีหลบออกไปอยู่พอดี จึงบอกขอตัวกับหลี่จวิ้นแล้วปล่อยให้เขากลัดกลุ้มอยู่ที่นั่นตามลำพัง ส่วนตนเองเดินไปยังกระโจมทหารด้านข้าง ให้พลทหารนำคนที่จะขอพบเข้ามา
ผู้ที่มาเยือนเป็นบุรุษอายุสามสิบปีคนหนึ่ง หน้าตาไม่โดดเด่น แต่กลับมีความน่าเกรงขามแฝงอยู่ ทำให้คนมิกล้าดูแคลน ฮั่วฉงเห็นเขาก็ตกใจลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปคำนับถามว่า “ศิษย์พี่ไป๋ เหตุไฉนจึงมาถึงนี่ หรือว่าท่านอาจารย์มีคำสั่งประการใดหรือ”
ไป๋อี้ยิ้มเจื่อนๆ “สองปีนี้พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์น้อยครั้งนัก หนนี้มาพบเจ้าเพราะเรื่องส่วนตัวเรื่องหนึ่ง ต้องการขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
ในใจฮั่วฉงยิ่งสงสัย เขาทราบความสามารถของศิษย์พี่ทั้งหลายดี อีกทั้งระหว่างแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับก็รักใคร่กลมเกลียวดุจพี่น้อง ยังจะมีเรื่องใดต้องการให้เขาช่วยเหลืออีก คิดเพียงครู่เดียว เขาก็เดาได้ว่าคงเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์เป็นแน่ เพราะจะว่าไปแล้วยามอยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ตนจะมีข้อได้เปรียบมากกว่าแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับอยู่บ้าง
พอคิดเรื่องนี้ออก เขาก็เอ่ยอย่างนอบน้อม “ศิษย์พี่เชิญพูด ศิษย์น้องต้องช่วยเหลือสุดกำลังอย่างแน่นอน”
ไป๋อี้ลังเลครู่หนึ่งก็บอกว่า “ตอนนี้ต้ายงยึดครองแผ่นดินทางเหนือของฉางเจียงได้แล้ว ราชสำนักหนานฉู่จึงเหมือนดวงตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา พวกเขาจึงตั้งใจจะเจรจาสงบศึก เพื่อประจบแม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายง นอกจากแก้วแหวนเงินทอง พวกเขายังจะส่งหญิงงามมาปรนเปรอ หวังให้ฉีอ๋องชะลอการโจมตี ยอมเจรจา”
ฮั่วฉงฟังจบก็อดหัวเราะมิได้ “นี่มิใช่ล้มป่วยจนร้อนใจจึงหาหมอส่งเดชหรือ ผู้ใดมิทราบบ้างว่านับตั้งแต่ฉีอ๋องแต่งงานกับองค์หญิงจยาผิงก็มิหลงใหลนารีอีกต่อไปแล้ว”
ไป๋อี้ยิ้มเจื่อน “เรื่องบางเรื่องก็ยากจะทำให้ผู้คนเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นฉีอ๋องนำทัพอยู่นอกจวนมาห้าหกปีแล้ว ก็มิแปลกที่พวกเขาจะคิดเช่นนี้ ไปหาคนงามทั่วไปมาก็แล้วไปเถิด แต่ซั่งเหวยจวินดันใช้กำลังบังคับพาตัวยอดบุปผาแห่งฉินไหวสองอันดับแรกส่งมายังเหอเฝยเพื่อเอาอกเอาใจฉีอ๋องด้วย เรื่องนี้ทำเกินไปหน่อย
สองคนนี้คนหนึ่งนามว่าหลิงอวี่ เป็นคนของสำนักเฟิงอี้ที่โชคดีรอดชีวิตมา คนหนึ่งนามว่าหลิ่วหรูเมิ่ง เป็นคนในดวงใจของอวี๋หลุนศิษย์น้องสี่ ยามนี้ท่านอาจารย์อยู่ข้างกายฉีอ๋องที่เหอเฝยพอดี ข้าจึงอยากขอให้ศิษย์น้องไปขอร้องท่านอาจารย์ ขอให้เขาบอกฉีอ๋องละเว้นแม่นางหลิ่วด้วย”
ฮั่วฉงแปลกใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เรื่องเช่นนี้หากท่านอาจารย์ทราบย่อมช่วยเหลือสุดกำลัง เหตุใดศิษย์พี่ต้องไหว้วานข้าไปบอกกล่าวด้วยเล่า”
ไป๋อี้ยิ้มเจื่อนพลางส่ายหน้า ได้แต่เล่าเรื่องที่อวี๋หลุนออกจากค่ายลับไปแล้วออกมาอย่างสั้นๆ ฮั่วฉงฟังจบก็นิ่งตรึกตรองอยู่เนิ่นนานแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่โปรดวางใจ ข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากท่านอาจารย์ กำลังเตรียมตัวจะเดินทางไปเหอเฝยอยู่พอดี เรื่องนี้ข้าจะช่วยเหลือสุดกำลังอย่างแน่นอน ศิษย์พี่อวี๋หลุนยามนี้อยู่ที่ใด ทราบเรื่องนี้แล้วหรือไม่”
ไป๋อี้ถอนหายใจ “ก็เพราะเขาทราบเรื่องนี้แล้วรีบร้อนเดินทางไปเหอเฝย ข้าถึงเป็นห่วงเช่นนี้ มิทราบเพราะอะไร อวี๋หลุนเหมือนจะมีความแค้นกับท่านอาจารย์อยู่ ข้ากังวลว่าเขาจะไม่ไปขอร้องท่านอาจารย์ แต่อาจจะใช้กำลังบุกไปช่วยคน ทว่าค่ายกองทัพของต้ายงมียอดฝีมือดุจหมู่เมฆ ทั้งยังมีทหารนับพันหมื่น ข้าเป็นห่วงว่าต่อให้ท่านอาจารย์มิสร้างความลำบากให้เขา เขาก็คงจะหนีมิพ้นความตาย
อีกอย่างหนึ่ง แม่นางหลิ่วรูปโฉมงดงามอย่างที่หาได้น้อยนักในใต้หล้า หากเกิดพลาดพลั้งประการใดเข้า ต่อให้อวี๋หลุนมีชีวิตรอดกลับมาได้ ก็เกรงว่าคงจะใจสลายตรอมใจตาย ดังนั้นข้าจึงมาขอร้องศิษย์น้องให้ไปอ้อนวอนท่านอาจารย์ หากมิได้ท่านอาจารย์ช่วยเหลือ พวกเขาคง เฮ้อ!”
ฮั่วฉงพยักหน้าตอบว่า “แม้ศิษย์พี่อวี๋หลุนจะออกจากค่ายลับไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักของพวกเรา จะมิช่วยเหลือเต็มกำลังได้อย่างไร อีกอย่างจากที่ศิษย์พี่เล่า ท่านอาจารย์ก็ผ่อนปรนให้เขาเสมอ หนนี้มิแน่ว่าอาจจะเป็นโอกาสพลิกสถานการณ์ก็เป็นได้ แต่เหตุไฉนสำนักเฟิงอี้จึงยังมีคนเหลือรอดอยู่อีก หรือว่าท่านอาจารย์มิต้องการให้สังหารจนสิ้น”
ไป๋อี๋หัวเราะ “สำนักเฟิงอี้มลายหายไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ขอเพียงมิใช่คนที่เคยก่อเรื่องใหญ่โตก็มิจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยว แม่นางหลิงอวี่ผู้นั้นแม้จะเป็นศิษย์สายตรง แต่ประการแรกที่ผ่านมานางมีนิสัยรักสงบ ไร้ความทะเยอทะยาน ประการที่สองมีคนต้องใจนาง ดังนั้นพวกเราจึงมิกล้าไปสร้างความลำบากให้นาง แล้วยังต้องคิดหาวิธีคอยดูแลอยู่กลายๆ อีกด้วย”
ฮั่วฉงฟังจบก็ประหลาดใจนัก ถามขึ้นว่า “ทำให้ศิษย์พี่ต้องลดตัวไปดูแลคนงามให้ ผู้สูงศักดิ์คนนั้นคงมีฐานะมิธรรมดา เหตุไฉนยังปล่อยให้แม่นางหลิงอวี่ต้องร่อนเร่ตกระกำลำบากเล่า”
ไป๋อี้ฟังคำเขาจบก็ตอบเสียงเบา “เรื่องนี้น่าลำบากใจยิ่งนัก ผู้ที่ต้องใจแม่นางหลิงอวี่ก็คือคุณชายสี่ชิว แต่เดิมเขาก็อยากรับคนไป แต่แม่นางหลิงอวี่ดันเป็นศิษย์ของจี้เสีย คุณชายสี่มิกล้ากระทำโดยพลการ ต้องให้ประมุขพรรคมารอนุญาตก่อน ได้ยินมาว่าประมุขพรรคมารมิรับปากแต่ก็มิกล่าวปฏิเสธ เพียงแต่ให้คุณชายสี่เก็บตัวฝึกฝนวิชาสามปี ดังนั้นยามนี้แม่นางหลิงอวี่จึงยังอยู่เจี้ยนเย่
แต่ก็มิแปลกที่คุณชายสี่จะต้องใจนาง แม่นางผู้นี้อ่อนโยนเรียบร้อย ทั้งยังชำนาญศาสตร์ดนตรี คงพบพานกับคุณชายสี่ได้เพราะเสียงเพลง ต่างฝ่ายต่างมีใจให้กันกระมัง เพียงแต่หากประมุขพรรคมารมิพยักหน้า คุณชายสี่ก็อย่าคิดจะได้ตบแต่งนาง ถึงกระนั้นพวกเราก็มิกล้าปล่อยปละละเลยนางเช่นกัน เพราะพวกเรากังวลว่าประมุขพรรคมารจะส่งคนมาเอาชีวิตนาง หากเป็นเช่นนั้นพวกเราคงไม่มีคำอธิบายไปมอบให้แก่คุณชายสี่”