ตอนที่ 1133 สตรี

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 1133 สตรี

หลู่หยวนเผิงมองไปทางเสิ่นชิงจู๋ที่อยู่ด้านหลังไปจิ่นจื้อแวบหนึ่ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาทันที

ผู้อื่นกล่าวกันว่าเสิ่นชิงจู๋คือปีศาจสาวผู้แสนเย็นชา ทว่า หลู่หยวนเผิงรู้ดีว่าเสิ่นชิงจู๋คือองครักษ์สาวที่ติดตามพี่สาวไป๋มาตั้งแต่เล็ก นางมีฝีมือการต่อสู้ที่เยี่ยมยอด คือหนึ่งในสมาชิกของหน่วยองครักษ์หญิงของพี่สาวไป๋

หลู่หยวนเผิงเคยเห็นเสิ่นชิงจู๋สู้รบในสนามรบหลายครั้ง ฝีมือของนางเยี่ยมยอดมาก เดิมทีเขาอยากให้นางช่วยสอนเขาบ้าง ทว่า องครักษ์สาวผู้นี้ติดตามคุ้มกันพี่สาวไป๋ทั้งวันจนเขาไม่มีโอกาสเอ่ยปากขอร้อง

ไป๋จิ่นจื้อเอ่ยชวนเช่นนี้เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เขาพอดี

หลู่หยวนเผิงก้าวขึ้นหลังม้าทันที “ไป!”

เริ่นซื่อเจี๋ยถูกพาขึ้นไปบนรถคุมขังนักโทษตอนที่กองทัพใหญ่บุกโจมตีเมืองผิงตู้ ตอนนี้เขายังไม่ได้เข้ามาในเมือง ไป๋จิ่นจื้อต้องไปรับตัวคนที่นอกเมืองเสียก่อน

บัดนี้เริ่นซื่อเจี๋ยกำลังนั่งพิงเสาไม้บนรถคุมขังนักโทษที่โคลงเคลงไปมา เขายื่นมือไปสัมผัสเกล็ดหิมะด้านนอกรถ อยากให้เกล็ดหิมะจับตัวเป็นก้อนเต็มมือเขาเร็วๆ เขาจะได้กินรองท้องได้ บัดนี้เขาหิวจนตาลายไปหมดแล้ว

ไป๋จิ่นจื้อไม่เพียงลืมส่งตัวเริ่นซื่อเจี๋ยคืนให้ต้าเยี่ยน นางยังลืมสั่งให้คนหาอาหารให้เริ่นซื่อเจี๋ยกินอีกต่างหาก

ประเด็นสำคัญคือทหารที่มีหน้าที่เฝ้าเริ่นซื่อเจี๋ยได้รับคำสั่งจากเจ้านายของพวกเขาว่าเกาอี้จวินจะมารับตัวเริ่นซื่อเจี๋ยไปในวันที่สิบห้า เดือนสิบสอง ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่สิบห้า เดือนสิบสองเป็นต้นมาพวกเขาจึงไม่ได้นำอาหารไปให้เริ่นซื่อเจี๋ยอีก

ต่อมาเมื่อเกาอี้จวินไม่มารับตัวคนไปเสียที ทหารคุมนักโทษสองคนนี้จึงคิดว่าเกาอี้จวินต้องการทรมานเริ่นซื่อเจี๋ย พวกเขาจึงไม่กล้านำอาหารมาให้เริ่นซื่อเจี๋ยทาน

ทว่า ในฐานะคนดูแลเริ่นซื่อเจี๋ยพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เริ่นซื่อเจี๋ยตายได้ พวกเขาจึงแอบนำอาหารแห้งไปให้เริ่นซื่อเจี๋ยบ้างในบางครั้งตอนที่นำน้ำไปให้เขา เริ่นซื่อเจี๋ยจึงมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้

ทว่า เริ่นซื่อเจี๋ยผอมซูบจนแทบเหลือแต่กระดูกภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ประกอบกับที่ได้กินอาหารแห้งเพียงวันละคำเท่านั้น ต่อให้เริ่นซื่อเจี๋ยจะมีกำลังใจในการอยากมีชีวิตอยู่มากเท่าใด ทว่า ร่างกายของเขาก็ทนไม่ไหวอยู่ดี ตอนนี้เขาอ่อนแอจนแทบทรงตัวไม่อยู่ หิวโหยจนแทบเป็นลมหมดสติอยู่แล้ว

ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับไปยังต้าเยี่ยนเริ่นซื่อเจี๋ยจึงมีขวัญกำลังใจขึ้นมาก เขาจากบ้านเกิดของตัวเองมานานหลายปี เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสกลับไปยังแคว้นบ้านเกิดของตัวเองทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้

ช่วงที่คนกำลังสิ้นหวังไม่ควรได้เห็นแสงสว่างแห่งความหวัง เพราะหากพวกเขามีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่า ความหวังนั้นไม่กลายเป็นจริงเสียทีมันทรมานราวกับตกอยู่ในนรกยิ่งกว่าตอนที่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินมืดเสียอีก

จู่ๆ รถคุมขังนักโทษที่โคลงเคลงไปมาหยุดนิ่งลง เริ่นซื่อเจี๋ยที่ร่างกายและศีรษะเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะมองไปด้านนอก เขาเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งขี่ม้าเข้ามาขวางรถนักโทษไว้ ไม่นานทหารสองนายที่มีหน้าที่ดูแลเริ่นซื่อเจี๋ยจึงวิ่งตรงเข้ามา ทหารคนหนึ่งล้วงหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูกรงขังให้เริ่นซื่อเจี๋ย จากนั้นกล่าวขึ้น “เริ่นซื่อเจี๋ย เกาอี้จวินจะพาเจ้าไปส่งให้คนต้าเยี่ยน”

เริ่นซื่อเจี๋ยได้ยินจึงรีบจับขอบกรงไม้เพื่อลุกขึ้นยืน ทว่า เขากลับล้มพับไปอีกครั้งเพราะหิวโหยจนไม่มีแรง

“รีบพาคนไปส่งเลย พวกเราสองคนจะได้ปลอดโปร่งเสียที” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งกล่าวกับสหายอีกคน

เริ่นซื่อเจี๋ยที่ถูกใส่กุญแจมือถูกประคองลงจากรถคุมขัง

ไป๋จิ่นจื้อควบม้าไปด้านหน้า จากนั้นชี้แส้ไปยังกุญแจมือและกุญแจเท้าของเริ่นซื่อเจี๋ย “ปลดกุญแจออก ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”

ทหารสองนายรับคำพลางปลดกุญแจมือและเท้าของเริ่นซื่อเจี๋ยออก หลู่หยวนเผิงควบม้าไปด้านหน้าพลางเอ่ยถาม “เหตุใดจึงปล่อยตัวเขากัน พวกเราจะพาเขาไปส่งเช่นไร ร่างผอมโซเช่นนี้จะขี่ม้าได้อย่างนั้นหรือ”

หลู่หยวนเผิงกล่าวพลางจ้องไปทางเริ่นซื่อเจี๋ยแวบหนึ่งด้วยดวงตาที่บวมช้ำของตัวเอง จากนั้นกล่าวต่อ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้คุ้นตายิ่งนัก”

“ต้องคุ้นตาอยู่แล้ว นี่คือเริ่นเซียนเซิงที่ปรึกษาข้างกายของอดีตองค์รัชทายาทแห่งต้าจิ้น…” ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางเริ่นซื่อเจี๋ยพลางกล่าวขึ้น “บัดนี้ต้าเยี่ยนทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับต้าโจวแล้ว พี่หญิงใหญ่สั่งให้ข้าคืนเจ้าให้แก่ต้าเยี่ยน ข้าไม่อยากขังเจ้าไว้ในรถคุมขังเพื่อทำลายศักดิ์ศรีของเจ้า เจ้าขี่ม้าไหวหรือไม่”

“คารวะเกาอี้จวิน คุณชายหลู่…” เริ่นซื่อเจี๋ยทำความเคารพไป๋จิ่นจื้อและหลู่หยวนเผิง “แม้ร่างกายจะอ่อนแอไปสักนิด ทว่า ข้ายังพอขี่ม้าไหวขอรับ ขอบพระคุณเกาอี้จวินมากขอรับ”

หลู่หยวนเผิงพยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ห่อหิมะไว้ด้านในคลึงตาที่บวมช้ำของตัวเอง จากนั้นยกนิ้วโป้งให้เริ่นซื่อเจี๋ย “ข้ามีสภาพเช่นนี้เจ้ายังจำข้าได้ เก่งกาจจริงๆ !”

ไป๋จิ่นจื้อหันกลับไปมองจึงเห็นหลู่หยวนเผิงกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูกดที่ดวงตาของตัวเองอยู่ สาวน้อยเบิกตามองดูผ้าเช็ดหน้าซึ่งปักเป็นลายนกสยายปีกบินแวบหนึ่ง จู่ๆ นางก็เข้าใจสิ่งใดขึ้นมาทันที

นกบินอย่างนั้นหรือ สยายปีกบิน…หลู่หยวนเผิง!

ไป๋จิ่นจื้อละสายตากลับ นางรู้สึกว่านางล่วงรู้ความลับบางอย่างที่ยิ่งใหญ่เข้าให้แล้ว ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

หากกล่าวว่าสตรีเป็นคนมอบผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ให้หลู่หยวนเผิง ทว่า สตรีผู้นั้นก็ไม่ควรมอบผ้าเช็ดหน้าที่ลวดลายและสีสันราวกับสตรีใช้เช่นนี้ให้บุรุษคนหนึ่ง

เจ้านี่…ภายในใจอยากเป็นสตรีอ่อนโยนคนหนึ่งอย่างนั้นหรือถึงได้กล้าใช้ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูหวานแหววเช่นนี้!

ไป๋จิ่นจื้อเห็นหลู่หยวนเผิงใช้ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอย่างมีความสุขจึงยิ่งแน่ใจในความคิดของตัวเอง ยิ่งเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลู่หยวนเผิงจึงทำให้หลู่ไท่เว่ยโมโหได้ถึงเพียงนั้น

หลู่หยวนเผิงแสร้งทำตัวเป็นคุณชายเจ้าสำราญสินะ! เขามาร่วมกองทัพเพื่อทำให้ตัวเองดูเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งมากขึ้นอย่างนั้นสินะ

ไป๋จิ่นจื้อคือเด็กดี นางไม่มีทางรังเกียจสหายร่วมรบของตัวเอง ถึงแม้หลู่หยวนเผิงจะมีจิตใจที่อ่อนไหว ทว่า อย่างน้อยเขาก็คือทหารคนหนึ่งในกองทัพไป๋ นางไม่เหมือนกับหลู่ไท่เว่ยผู้หัวโบราณคนนั้น นางควรเข้าใจในตัวหลู่หยวนเผิง เห็นเขาเป็นดั่งสหาย…เอ้ย ไม่ใช่ เห็นเขาเป็นดั่งน้องสาวของตัวเองและดูแลเขาให้ดี!

เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อเหลือบมองมาทางตน หลู่หยวนเผิงที่ดวงตาบวมช้ำจึงหันกลับไปมองไป๋จิ่นจื้อโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าการใช้ผ้าเช็ดหน้าสีชมพูมันดูไม่เหมาะสมสักเพียงใด “มีอันใดอย่างนั้นหรือ”

“ไม่มีอันใด เจ้าเจ็บตาอย่างนั้นหรือ” ไป๋จิ่นจื้อถามยิ้มๆ

หลู่หยวนเผิงได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้าอย่างโมโห “เจ้าไม่รู้อันใด พี่ชายห้าของเจ้านิสัยเสียมาก! เขาให้ข้าไปเผาพริกแห้ง…ข้าแสบตาจนแทบทนไม่ไหว ผู้อื่นยังคิดว่าข้าร้องไห้ตกใจเพราะเห็นคนตายมากมายอีกด้วย เจ้าลองคิดดูสิ ข้าหลู่หยวนเผิงคือคุณชายเจ้าสำราญแห่งเมืองหลวง ข้าคือคนที่จะร้องไห้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้อย่างนั้นหรือ!”

ไป๋จิ่นจื้อแสร้งทำเป็นเห็นด้วย “แน่นอนว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น ล้วนเป็นความผิดของพี่ชายห้าของข้าเอง!”

เมื่อหลู่หยวนเผิงเห็นไป๋จิ่นจื้อเห็นด้วยกับคำกล่าวของเขา ไม่โมโหที่เขาว่าพี่ชายห้าของนาง เขาจึงเหลือบมองไปทางเสิ่นชิงจู๋ที่อยู่ด้านหลังของไป๋จิ่นจื้อแวบหนึ่ง จากนั้นขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวพลางกล่าวเสียงเบา “หากเจ้าคิดว่าพี่ชายห้าของเจ้าทำเกินไปจริงๆ เมื่อไปส่งคนเสร็จแล้ว เจ้าขอให้แม่นางชิงจู๋ช่วยสอนวิทยายุทธให้ข้าบ้างสิ”

“เรื่องเล็กน้อย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด!” ไป๋จิ่นจื้อยิ่งรู้สึกเห็นใจหลู่หยวนเผิงมากกว่าเดิม ความโหดร้ายในสนามรบทำให้เขาตกใจจนร้องไห้ ตอนนี้เขารู้ว่าสนามรบโหดร้ายกว่าที่คิดไว้จึงอยากเรียนศิลปะป้องกันตัวจากผู้อื่นเพิ่มแน่นอน ทว่า เขากลัวจะถูกผู้อื่นเยาะเย้ยว่าอ่อนแอราวกับสตรีจึงอยากขอให้พี่ชิงจู๋ช่วยสอนให้แทน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไป๋จิ่นจื้อจะไม่ช่วยเขาได้อย่างไรกัน