บทที่ 1141 สองปี

บทที่ 1141 สองปี

“หนูไม่อยากทำงานประจำค่ะ ย่าก็รู้ว่าหนูมีอุตสาหกรรมเป็นของตัวเองตั้งหลายอย่าง กะว่าหลังเรียนจบจะพัฒนาหลู่เซียงเซียงให้ดียิ่งขึ้นค่ะ!”

เธอคิดมาดีแล้ว

หลายปีมานี้ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรในอนาคต

แต่หลังจากนั้นก็ตัดสินใจได้ว่าจะเปิดโรงงานและทำธุรกิจ ถ้าอนาคตหาเงินได้เมื่อไรจะสร้างโรงเรียนแห่งความหวังเพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือมากขึ้น

เธอรู้สึกว่าทำแบบนี้มีความหมายไม่น้อย ดีกว่าทำงานประจำและใช้ชีวิตสงบสุขเสียอีก

ฟ่านชูฟางไม่แปลกใจ

คงจะแปลกถ้าหลานบอกอยากทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ

“ลองคิดดูอีกดีไหม? ถึงจะมีความคิดและความต้องการของตัวเอง แต่เราอยากได้คนแบบหนูจริง ๆ นะ”

“หลายวันมานี้น่าจะเห็นกระทรวงเราแล้วนะ พอนโยบายเปิดกว้างขึ้นเลยมีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ก็เลยทำให้เราขาดแคลนนักแปลไปน่ะ!”

“แล้วคราวนี้คณะผู้แทนจากประเทศ Y มา เราเลยรับมือได้ยากมาก”

ฟ่านชูฟางยังคงจริงจัง แล้วเล่าความยากลำบากที่ต้องเผชิญให้ฟัง

สิบปีที่สูญเสียคนไปถึงหนึ่งรุ่น จนเกิดความต่างทางด้านความสามารถ

แล้วคราวนี้คณะผู้แทนจากประเทศ Y มาเยี่ยมเยียน หากไม่มีซูเสี่ยวเถียนก็ไม่รู้ว่าจะลำบากขนาดไหน

ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจดี

แต่ถ้าโดนบังคับให้ทิ้งแผนการด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้เธอจะเสียใจมาก

หากให้ปฏิเสธก็พูดไม่ได้

การศึกษาสอนให้เธอรักชาติและยืนหยัดในยามที่ประเทศต้องการ

“ย่ารองเคยคิดไหมคะว่าในประเทศเรามีคนที่เก่งเยอะแยะ แต่ยังไม่ถูกค้นพบ?”

ซูเสี่ยวเถียนคิดแบบนี้จริง ๆ ต่อให้สิบปีที่ผ่านมาเราสูญเสียคนไปมาก แต่เราจะเสียคนที่เก่งจริง ๆ ไปไม่ได้เหมือนกันนะ

พวกเขายังยืนกรานที่จะเรียนรู้ และตั้งใจทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ฟ่านชูฟางพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริงนะ มีคนเก่งอยู่เยอะเลย แต่สองปีนี้เราเจอไม่กี่คนเอง จะพอใช้ได้ยังไง เหมือนน้ำหยดเดียวในถังน่ะ!”

“แต่หนูคงตอบตกลงไม่ได้นะคะ”

อนาคตของเธอคือช่วยเหลือผู้คนให้ได้เรียนหนังสือเยอะ ๆ ปลูกฝังพวกเขาจะได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศด้วย

แต่ถ้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศคงไม่สามารถบรรลุเป้าไว้ได้

สิ้นประโยคก็เห็นสีหน้าผิดหวังทันที

ฟ่านชูฟางผิดหวังมากที่พรสวรรค์ดี ๆ หลุดลอยไปจากมือ

ส่วนคนที่ซูเสี่ยวเถียนพูดถึง ตัวฟ่านชูฟางคิดว่าหลานสาวเก่งที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?

ซูเสี่ยวเถียนเป็นคนจิตใจอ่อนโยน และสิ่งที่เกลียดที่สุดคือการสูญเสีย ความผิดหวัง และความโศกเศร้าของผู้อื่น

โดยเฉพาะฟ่านชูฟางที่ห่วงใยและใจดีมาด้วยตลอด ทำให้ตนไม่อยากเห็นอีกฝ่ายผิดหวัง

“งั้นก็ได้ค่ะ หนูทำงานให้สองปี แล้วก็จะช่วยส่งเสริมความสามารถการแปลให้คนอื่น ๆ ด้วย”

เธอนึกเสียใจ แต่พูดออกไปแล้วเสียใจก็ไม่ทันแล้ว

ได้แต่หงุดหงิดทำไมถึงปากไวแบบนี้?

แล้วจะทำยังไงล่ะ?

อยากทำงานในกระทรวงการต่างประเทศสองปีจริง ๆ หรือ?

ฟ่านชูฟางไม่นึกว่าหลานจะกลับคำ ตอบตกลงมาทำงานด้วยสองปี

ก็ดีนะ มีเวลาสองปีให้เชิญชวน

ตอนนั้นอาจจะชอบงานในกระทรวงก็ได้

ใบหน้าหญิงชรามีรอยยิ้มทันที

“ดีเลยเสี่ยวเถียน พอเรียนจบก็เตรียมเริ่มงานเลยนะ… ช่างเถอะ เดี๋ยวย่าให้คนมาจัดการให้แทน หนูจะได้ไม่ต้องทำ”

แน่นอนว่าทำเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนอื่นไม่ไว้ใจหรอกนะ

ฟ่านชูฟางดูสาวขึ้นหลายปี

ถึงจะไม่ได้ทำหน้าที่ที่อธิบดีตู้มอบหมายให้สำเร็จ แต่ก็ยังบรรลุผลขั้นเบื้องต้นอยู่ดี

เยี่ยม ดีจริง ๆ

หลังจากเด็กสาวเดินออกมาก็ยังอารมณ์เสียอยู่ คงจะดีถ้าปฏิเสธไป

เด็กสาวจึงอดไม่ได้ที่จะตบตัวเองเบา ๆ

“พูดไร้สาระอยู่ได้ ตอนนี้เป็นไงล่ะ ไม่ทันแล้วใช่ไหม?”

พอกลับมาถึง เด็กฝึกงานคนอื่น ๆ ก็อยู่ในห้องแล้ว

เธอหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะ

คนอื่น ๆ นั่งเงียบไม่ได้พูดอะไร

บรรยากาศดูเงียบงันเล็กน้อย

เพราะเพิ่งได้ยินข่าวจากลู่เซวียนว่าท่านอธิบดีฟ่านเรียกเธอไปพบที่ห้อง

ตั้งแต่ซูเสี่ยวเถียนไปรับคณะผู้แทนจากประเทศ Y เราก็ไม่เห็นเธออีกเลย

แต่ได้ยินข่าวคราวทุกวัน

ได้ยินว่าเธอทำหน้าที่ในพิธีต้อนรับและแปลได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ได้ยินว่าซ่งหงปิงใส่ร้ายเธอ

ได้ยินว่าซูเสี่ยวเถียนเก่งมากแค่ไหน และไม่ได้เก่งแค่ภาษาอังกฤษในระดับสูงด้วย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

เราอาจจะหาคนมาช่วยแปลงานได้ แต่คราวนี้ซูเสี่ยวเถียนรับผิดชอบหน้างานไง

เอาคนไม่เก่งจริงมาทำไม่ได้หรอก

เมื่อก่อนพวกเขาล้วนคิดว่าซูเสี่ยวเถียนมาทำงานในกระทรวงการต่างประเทศได้เพราะเส้นสายฟ่านชูฟาง แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น

เด็กเอกจีนเข้ากระทรวงการต่างประเทศได้เพราะเก่งจริง

กระทั่งเช็ดโต๊ะเสร็จคนอื่นก็ยังเงียบ

ทำเอาเด็กสาวไม่สบายใจเท่าไร

เมื่อก่อนมีคนคุยด้วย แต่มักประชดประชันใส่บ้าง

แต่ตอนนี้สงบราวกับเป็นคนละคน

แต่ความสัมพันธ์เดิมก็ไม่ดีอยู่แล้วเลยไม่คิดจะเป็นฝ่ายเข้าหา

เจอแป๊บเดียว เข้ากันดีก็คบ เข้ากันไม่ได้ก็อยู่ห่าง ๆ

เด็กสาวทรุดตัวลงนั่งแล้วเริ่มทำงาน

คนอื่น ๆ ก็ทำงานเหมือนกัน เสียงเดียวในสำนักงานคือเสียงขีดเขียนและเสียงพลิกหน้ากระดาษ

ตลอดเช้าเงียบสงัด

ซูเสี่ยวเถียนลุกขึ้นเตรียมไปกินข้าว ส่วนคนอื่น ๆ ก็วางงานลงเช่นกัน

พวกถังผิงมองหน้ากันราวกับมีเรื่องจะคุยด้วย

แต่ตอนนั้นก็เห็นซูโส่วเวินมาปรากฏตัวที่ประตูห้องทำงาน

“พี่ใหญ่!” เธอยิ้มแล้วเข้าไปหา

ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไปกัน พี่ใหญ่จะพาไปกินข้าว!”