ตอนที่ 284-2 ความจริงขององค์หญิง
จีหว่านเอ่ยว่า “ไม่น้อย ในตอนนั้นถึงแม้ท่านแม่ข้าจะยังไม่ได้แต่งงานเข้าบ้านตระกูลจีอย่างเป็นทางการ แต่นางตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลจีอยู่ หลังจากแท้งบุตรไปครั้งหนึ่ง ท่านย่าก็ให้คนรับตัวนางมารักษาตัวในบ้านตระกูลจี หมิงซิวกับหมิงเยี่ยเกิดในจวนแห่งนี้ นอกจากเจ้านายของเรือนแต่ละหลัง สาวใช้ติดตาม หัวหน้าสาวใช้ของท่านแม่ข้า มามาผู้ดูแลแล้ว ก็ยังมีแม่นมอีกสามคน นับไปนับมาแล้วก็มียี่สิบสามสิบคนเห็นจะได้”
ความสนใจของเฉียวเวยถูกเรื่องหนึ่งดึงดูดไปอย่างรวดเร็ว “องค์หญิงเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจีเร็วเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าคิดมาตลอดว่าองค์หญิงย้ายเข้ามาตอนหมิงซิวอายุได้ห้าหกขวบแล้วเสียอีก”
จีหว่านถอนหายใจเสียเบา “ข้าก็เพิ่งมารู้เมื่อตอนหลังนี้เอง ท่านแม่มาอยู่ในบ้านตระกูลจีพักหนึ่งตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์แล้ว”
เฉียวเวยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ในเมื่อเข้ามาอยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่อยู่ต่อไปเรื่อยๆ เล่า หรือว่าองค์หญิงที่คลอดกระทั่งให้กำเนิดบุตรชายออกมาแล้ว ท่านปู่กับท่านย่าก็ยังไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้อยู่ดีงั้นหรือ”
จีหว่านเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “อันที่จริงท่านปู่ใจอ่อนตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว รอเพียงให้ท่านแม่ให้กำเนิดบุตรออกมา ก็จะให้นางเข้ามาอยู่ในบัญชีวงศ์ตระกูลอย่างเป็นทางการ แต่ตอนหลังมาเกิดเรื่องกับหมิงเยี่ย ท่านแม่ข้าเศร้าโศกเสียใจมาก จึงย้ายออกจากบ้านตระกูลจีไป เรื่องการแต่งงานกับพ่อข้าจึงยืดเยื้อตามไปด้วย”
คิ้วของเฉียวเวยขมวดเข้าหากัน “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าท่านปู่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้มาตลอด ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงเห็นด้วย องค์หญิงถึงได้รั้งรออยู่กับท่านพ่อมาหลายปีเล่า”
จีหว่านส่งเสียงอื้อเรียบๆ “ฮ่องเต้ย่อมไม่เห็นดีด้วยแน่ ท่านแม่ข้าอันที่จริงมีคู่หมั้นคู่หมายที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันไว้แล้ว ตอนหลังถึงแม้การแต่งงานนั้นจะถูกยกเลิกไป แต่บุตรจากท้องนางอยู่ดีๆ ก็แท้งไปคนหนึ่ง ยังไม่ทันครบเดือนก็ล้มตายไปอีกหนึ่ง อดีตฮ่องเต้สงสารบุตรสาว ญาติผู้พี่ของข้าสงสารเสด็จอา เลยไม่ยอมให้ท่านแม่ข้าแต่งงานเข้าตระกูลจี ส่วนเรื่องท่านปู่ข้า เขาไม่ยินดีที่จะดองเป็นเครือญาติกันกับเชื้อพระวงศ์ แต่ต่อให้พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่ยินดีอย่างไร ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มาอยู่ด้วยกันอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ จีหว่านก็เศร้าใจยิ่งนัก คราแรกที่นางจะแต่งงานกับหลิ่นซูเยี่ยนก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน แต่อาจเพราะในกายนางสืบต่อความดื้อรั้นมาจากท่านแม่ หลังจากขจัดอุปสรรคต่างๆ ไปได้แล้ว นางก็ยังคงแต่งงานเข้าตระกูลหลินอยู่ดี
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่ท่านพูดเมื่อครู่ ท่านปู่ใจอ่อนตั้งแต่ตอนองค์หญิงตั้งครรภ์แล้ว แล้วในเมื่อตอนนั้นใจอ่อนแล้ว เหตุใดถึงต้องรอถึงห้าปีถึงจะรับพวกท่านกลับมาเล่า”
จีหว่านเอ่ยว่า “ดูเหมือนท่านแม่จะมีปากเสียงกับท่านปู่หลังจากเกิดเรื่องกับหมิงเยี่ยน่ะ”
เฉียวเวย “ดังนั้นที่องค์หญิงย้ายออกจากบ้านตระกูลจีอาจไม่ใช่เพราะความเสียใจ แต่เป็นเพราะมีเรื่องเบาะแว้งกับท่านปู่?”
จีหว่านเอ่ยอย่างใช้ความคิด “อาจเพราะทั้งสองอย่างกระมัง”
เฉียวเวยรู้สึกอย่างอย่างหลังเป็นไปได้มากกว่า
เฉียวเวยวางข้อศอกลงบนโต๊ะแล้วเท้าคางเอ่ยว่า “เหตุใดองค์หญิงถึงมีปากเสียงกับท่านปู่ ท่านปู่เป็นผู้อาวุโสกว่า องค์หญิงเป็นคนไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ในสายตาเช่นนั้นหรือ”
จีหว่านส่ายหน้า “ท่านแม่ข้าเชื่อฟังกตัญญูมาก ไม่เคยเอาฐานะขึ้นข่มใคร ตอนนางอยู่ในจวนก็ไม่เคยทำตัวเป็นองค์หญิง ทำตัวเหมือนสตรีทั่วไปทุกอย่าง ที่ควรเคารพกตัญญูต่อแม่สามี ควรปฏิบัติต่อคู่สะใภ้ด้วยดี นางไม่เคยละเลยสักนิด”
นัยน์ตาเฉียวเวยมีแววหนักใจแวบผ่าน “คนใจเย็นอย่างองค์หญิงยังถึงกับมีปากเสียงกับท่านปู่ได้ คิดแล้วคงเป็นเรื่องที่บีบบังคับจนองค์หญิงยอมไม่ได้เป็นแน่… จะเกี่ยวข้องกับการตายของหมิงเยี่ยรึไม่”
“เจ้าอยากจะพูดอะไร” จีหว่านหันไปมองเฉียวเวย นางรู้สึกว่าเฉียวเวยต้องการบอกอะไรบางอย่าง
เฉียวเวยไม่มีอะไรที่พูดกับจีหว่านไม่ได้ “ข้าจะบอกว่า คนร้ายจะไม่ใช่คนในจวนหรือ ใช่ว่าองค์หญิงเดาได้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร แต่เพราะไม่มีหลักฐานและกลัวว่าคนผู้นั้นจะยิ่งทำร้ายหมิงซิวหรือท่านหนักขึ้น ดังนั้นจึงตั้งใจมีปากเสียงกับท่านปู่แล้วใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการย้ายออกจากบ้านตระกูลจี?”
จีหว่านขมวดคิ้ว “ต่อให้ความจริงเป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา แต่ท่านแม่ข้าเป็นถึงองค์หญิง นางสงสัยใครจำเป็นต้องมีหลักฐานด้วยหรือ นางอยากโบยตีหรือเอาชีวิตใคร ไม่ใช่แค่พูดประโยคเดียวก็ได้แล้วหรือ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นท่านพ่อข้ากับท่านแม่ก็รักใคร่กันดี หากนางสงสัยใครจริง แล้วเหตุใดจะต้องปิดบังกระทั่งท่านพ่อข้าด้วย”
นี่ก็เป็นจุดที่เฉียวเวยรู้สึกข้องใจเช่นกัน “บางทีอาจเป็นคนที่…แม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่อาจสงสัยได้?”
“เช่นนั้นจะเป็นใคร สวินหลันหรือ เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นนางก็เพิ่งเกิด…” ระหว่างที่จีหว่านพึมพำ จู่ๆ ในหัวนางก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา
“เสี่ยวเวย”
“ทำไมหรือ พี่หว่าน?” เฉียวเวยหันไปมองนาง
จีหว่านกดนวดขมับ พยายามนึกถึงเรื่องบางอย่าง “ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ข้าไม่ค่อยมั่นใจว่าเป็นความจริงหรือว่าข้าจินตนาการไปเอง”
เฉียวเวยหันไปมองนาง “เรื่องอะไร”
จีหว่านพยายามนึกย้อนกลับไป “ข้ามักจะเห็นว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องใหญ่มากห้องหนึ่ง ข้างในขาวและว่างเปล่าไปหมด ตรงหน้าข้ามีโลงศพอยู่โลงหนึ่ง ข้าพูดว่า ‘น้องชายกำลังร้องไห้’ ใครคนนั้นพูดกับข้าว่า ‘เจ้าฟังผิดแล้ว น้องชายไม่ได้ร้อง’”
สายตาเฉียวเวยพลันชะงัก “คนผู้นั้นเป็นใคร”
จีหว่านส่ายหน้า “ข้าคิดไม่ออก”
เฉียวเวยขยี้นิ้วมือ เพ่งมองอีกฝ่ายนิ่ง “ท่านได้ยินเสียงร้องไห้จริงๆ หรือ”
จีหว่านตอบอย่างยากลำบากว่า “ข้าจำไม่ได้แล้ว ข้าจำได้แค่นี้ ข้ามองโลงศพนั้นแล้วบอกว่าน้องชายกำลังร้องไห้ คนผู้นั้นก็บอกว่าน้องไม่ได้ร้อง เขาร้องจริงหรือไม่ข้าเองก็ไม่รู้”
“ตอนนั้นท่านเพิ่งจะสามขวบ” เฉียวเวยกล่าว
จีหว่านถอนหายใจ “ใช่แล้ว ข้าเพิ่งสามขวบ ข้าจะไปจำเรื่องเมื่อตอนข้าสามขวบได้อย่างไร ดังนั้นข้าเลยไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือในหัวข้าจินตนาการไปเอง”
เฉียวเวยเอ่ยช้าๆ ว่า “ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าหมิงเยี่ยยังมีชีวิตอยู่ จะจินตนาการออกมาเป็นภาพเช่นนี้ได้อย่างไร จะต้องเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงแน่ ท่านลองคิดดูดีๆ อีกที คนผู้นั้นที่บอกว่าน้องชายไม่ได้ร้องนั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ คนผู้นั้นมีความเป็นไปได้มากที่จะใส่ยาเสมือนตายให้หมิงเยี่ยกิน”
จีหว่านตีศีรษะตนเอง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “ข้าจำได้แค่รูปร่างของใครคนหนึ่ง”
เฉียวเวยกดความร้อนรนในใจเอาไว้ขณะถามว่า “เป็นบุรุษหรือสตรี”
จีหว่านตอบว่า “ข้าจำไม่ได้แล้ว”
เฉียวเวยถามต่อว่า “น้ำเสียงเล่า เป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี”
จีหว่านส่ายหน้า “น้ำเสียงนั้น… คล้ายจะเป็นของบุรุษ แต่ก็คล้ายจะเป็นสตรี ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“ยากจะแยกออกว่าชายหรือหญิงหรือ” เฉียวเวยถาม
จีหว่านขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ไม่ใช่เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี เพียงแค่พอข้ามานึกย้อนกลับไปตอนนี้ก็นึกอะไรไม่ออกเลยจริงๆ”
เฉียวเวยตบมืออีกฝ่าย “ข้าเข้าใจ ตอนนั้นท่านยังเล็ก ยากต่อการแยกเสียงชายหญิง ตอนนั้นจึงแยกไม่ได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ซ้ำยังผ่านมานานเกินไป จึงจำอะไรไม่ค่อยได้ การจะดึงความทรงจำทั้งหมดกลับมาในคราเดียวนั้นเป็นเรื่องยากมาก ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน กลับไปค่อยๆ คิดให้ดี ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะนึกออกขึ้นมาก็เป็นได้”
จีหว่านเพ่งสายตาเอ่ยว่า “หวังว่าข้าจะนึกออก”
เฉียวเวยจับมือจีหว่านไว้ “พี่หว่าน ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดองค์หญิงถึงจะต้องออกจากบ้านตระกูลจีให้ได้ ท่านเป็นพยานเพียงคนเดียวที่เคยใกล้ชิดกับคนร้ายมาก่อน หากท่านพูดอะไรออกไป ก็เป็นไปได้มากที่จะถูกคนร้ายฆ่าปิดปาก ดังนั้นองค์หญิงถึงต้องดื้อรั้นจะย้ายออกจากบ้านตระกูลจีไปก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้”
“ท่านแม่!”
หากไปไม่ไกลมีเสียงซาลาเปาน้อยวั่งซูดังลอยมา ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันเงียบๆ แล้วจบบทสนทนาก่อนหน้านี้ไป เปลี่ยนไปส่งยิ้มอบอุ่นให้เด็กน้อยแทน
วั่งซูถือกรงนกเข้ามาสองกรงพลางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ! นกที่ข้าซื้อมา!”
นกชั้นดีของจีซั่งชิง ในเรือนถงมีเลี้ยงนกดินดงกับนกแก้วอยู่สิบกว่าตัว วันนี้เขาคงพาพวกเด็กๆ ไปที่ตลาดค้านกเป็นแน่
เฉียวเวยมองนกดินดงในกรงแล้วยิ้มน้อยๆ “ใครเป็นคนเลือกจ๊ะ สวยเหลือเกิน”
วั่งซูกระหยิ่งยิ้มย่อง “ข้าเป็นคนเลือก! ข้าเลือกตัวที่อ้วนและใหญ่ที่สุดสองตัวในนั้นมา! รสชาติจะต้องเยี่ยมยอดมากเป็นแน่! เย็นนี้เอาไปตุ๋นน้ำแดงนะเจ้าคะ!”
นกในกรงตกใจจนแทบสิ้นสติ!
คนอื่นเขาเลือกนกกันเพราะชื่นชอบ แต่เจ้าเลือกนกเพราะรสชาติอย่างนั้นหรือ!
เฉียวเวยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางรับกรงนกมา เอ่ยกับวั่งซูว่า “ท่านป้ามาแหน่ะ ยังไม่รีบทักทายอีก”
“ท่านป้า!” วั่งซูโผเข้าไปหาทันที!
เฉียวเวยดึงคอเสื้อด้านหลังไว้แล้วยกตัวบุตรสาวขึ้น แขนขานางห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ “ทำอะไรน่ะท่านแม่ รีบปล่อยข้าลงสิ!”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ในท้องท่านป้าเจ้ามีทารกตัวน้อยอยู่ พูดคุยกับท่านป้าดีๆ ห้ามโผเข้าไปหา”
วั่งซูแกว่งแขนขาน้อยๆ ของตน “รู้แล้วๆ ข้าจะทำเบาๆ!”
เฉียวเวยวางตัววั่งซูลง วั่งซูเดินช้าๆ เข้าไปตรงหน้าจีหว่านจริงๆ ก่อนจะเก็บไม้เก็บมือน้อยๆ ของตนไปไว้ด้านหลังอย่างเรียบร้อยน่ารักเป็นอย่างยิ่งพลางเอ่ยเรียกท่านป้าเสียงหวาน จากนั้นก็เขยิบเข้าไปใกล้ท้องของจีหว่าน ระบายยิ้มพร้อมพลางเรียกเสียงดังว่า “น้องชาย!”
น้องชายตกใจจนฉี่ราด!
ไม่นานจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ก็วิ่งพลางหอบแฮ่กๆ เข้ามา ในมือทั้งสองถือกรงนกกันมาคนละกรง อันที่จริงพวกเขาก็อยากซื้อสองตัวเช่นกัน แต่กรงหนักเกินไป ถือไม่ไหว!