เล่ม-1 ตอนที่ 285 ประกาศผล อันดับหนึ่งของสำนักศึกษา!

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 285 ประกาศผล อันดับหนึ่งของสำนักศึกษา!

เด็กทั้งสามสวมใส่อาภรณ์เนื้อผ้าเดียวกัน รูปแบบก็ใกล้เคียงกันมาก มีเพียงวั่งซูที่ใส่แบบสตรี ดูเผินๆ จึงคล้ายกับแฝดสามอย่างไรอย่างนั้น ส่วนหลิวเกอร์ที่อาวุโสที่สุดกลับดูเหมือนเป็นแฝดคนสุดท้อง ใน “แฝดสาม” นี้

จีหว่านเคยกังวลว่าหลิวเกอร์ที่ไม่ได้เกิดจากท้องแม่เดียวกันจะเข้ากันไม่ได้กับวั่งซู่และจิ่งอวิ๋น แต่ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าตนคิดมากไปเอง

“พี่ใหญ่” หลิวเกอร์กล่าวทักทายอย่างมีมารยาท เขากลัวพี่ชายใหญ่ แต่ไม่กลัวพี่สาวใหญ่

“ท่านป้า” จิ่งอวิ๋นเองก็ทักทายอย่างน่ารักเรียบร้อย

จีหว่านลูบศีรษะเด็กทั้งสอง “น่ารักจริง”

จู่ๆ วั่งซูก็พูดขึ้นว่า “ท่านป้า ข้าจะเข้าเรียนแล้วนะ!”

จีหว่านยิ้มด้วยความแปลกใจ “อย่างนั้นหรือ เรียนที่บ้านหรือที่สถานศึกษาใดหรือ”

วั่งซูตบหน้าอกน้อยๆ ของตน “ที่สำนักศึกษา! พวกเราทุกคนไปสอบกันมาแล้ว สอบได้ดีมากด้วย!”

เฉียวเวยยกมือกุมขมับ แม่นางน้อย เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน…

“สำนักศึกษาใดหรือ” จีหว่านถามยิ้มๆ

“สำนัก สำนักศึกษานั้นอย่างไร!” วั่งซูไม่ยอมรับหรอกว่าตนจำชื่อไม่ได้

จิ่งอวิ๋นจึงตอบแทนว่า “สำนักศึกษาหนานซานขอรับ พรุ่งนี้จะไปดูผล”

จีหว่านลอบถอนหายใจ ในบรรดาเด็กทั้งสาม มีแค่หลานชายตัวน้อยคนนี้ที่เชื่อถือได้ อีกสองคนล้วนไม่ได้การไม่ได้ความ หากไปเรียนที่สำนักศึกษาจริงๆ จะดีได้อย่างไร

พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จีซั่งชิงก็เดินถือกรงนกเข้ามา พอเห็นจีหว่านก็ดีใจใหญ่ แต่พอคิดได้ว่านางแบกครรภ์อายุหกเดือนเดินทางไปๆ กลับๆ จึงรีบเร่งให้นางกลับไป

วันต่อมาเฉียวเวยตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็ตื่นแต่เช้าเช่นกัน เพราะรู้ว่าต้องไปดูการประกาศผล ทั้งสองจึงตื่นเต้นกันมาก

หลิวเกอร์ก็จะไปด้วยเช่นกัน เฉียวเวยให้ปี้เอ๋อร์ไปรับเขามาจากเรือนลั่วเหมย

ช่วงที่รอหลิวเกอร์นั้น เฉียวเวยไปที่ห้องของใต้เท้าเจ้าสำนักรอบหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักตั้งแต่ข้อเท้าเคล็ดตอนหลบหนีกลับมา หลายวันนี้เขาพักรักษาตัวอยู่ในห้องอย่างสงบเรียบร้อย เงียบเสียจนคล้ายว่าในเรือนแห่งนี้ไม่มีเขาอยู่กระนั้น

ประตูนั้นเพียงงับไว้หลวมๆ ไม่ได้ลงกลอน เฉียวเวยจึงผลักเข้าไปเบาๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้ดูอะไรอยู่ พอได้ยินเสียงผลักประตูก็จะรีบเอาไปซ่อนจนมือไม้พัลวันไปหมด แล้วทำเป็นขยับนั่งหลังตรงพิงไปกับหัวเตียง

เฉียวเวยเหลือบมองไปทางหมอนของเขา “ซ่อนอะไรไว้น่ะ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึ “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”

เฉียวเวยปรายตามองอีกฝ่าย “จึ๊ นิสัย!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างคิดร้ายว่า “เจ้ามาทำอะไร คิดจะมาดูว่าข้าจะวางแผนหนีหรือไม่หรือ”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ข้าจะบอกเจ้าว่า ในเมืองหลวงไม่สงบเรียบร้อยนัก ด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มอย่างเจ้า ออกไปคงมีทั้งบุรุษทั้งสตรีที่อยากได้ตัวเจ้า ถ้าไม่กลัวว่าต้องเข้าไปอยู่ในหอนางโลมอีกครั้ง เจ้าก็หนีไปเลย!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่นางอย่างไม่พอใจ!

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้ามาพาเจ้าออกไปข้างนอก จะได้ไม่อยู่แต่บ้านจนเบื่อเสีย”

ใต้เท้าเจ้าสำนักบิดผ้าห่ม “เจ้าดูขาข้านี้ ดูเหมือนเดินได้อย่างนั้นหรือ”

เฉียวเวยดึงผ้าห่มออกแล้วมองเท้าเขา ยังไม่หายบวมดีจริงๆ เสียด้วย จึงเอ่ยว่า “งั้นก็ได้ เจ้าอยู่รักษาตัวไปก่อน ไว้เจ้าเดินได้แล้วข้าค่อยพาเจ้าออกไปเดินเล่นอีกที”

“หึ” ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบนใส่

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ากึ่งขันกึ่งบึ้ง แล้วอาศัยช่วงที่เขาไม่ทันระวังตัวดึงของที่เขาซ่อนอยู่ใต้หมอนออกมา

สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน “นางยักษ์ขมูขี! เอาคืนมา!”

เฉียวเวยกระโดดออกไปไกลสามฉื่อ แล้วค่อยๆ กางพัดทองในมือออกช้าๆ กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก หอมหวนเสียจนนางแทบจะมึนเมา นางจำได้ว่าตนเอาของจากตัวเขาออกมาจนหมดสิ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพัดเล่มนี้ก็ไม่เหมือนของบ้านชิงเหลียนอีกด้วย

เฉียวเวยขยับพัดเบาๆ “จีหว่านให้หรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกผ้าห่มออกแล้วกระโดดขาเดียวตามมา “เอาคืนข้ามา!”

เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน “หวงแหนของที่พี่หว่านให้เช่นนี้ ดูท่าถึงแม้เจ้าจะรังเกียจพวกข้า แต่กลับชื่นชอบพี่สาวคนนี้สินะ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดอย่างไม่สนุกด้วยว่า “ใครบอกว่าข้าชอบนาง คนตระกูลจีของพวกเจ้าไม่มีดีกันสักคน!”

เฉียวเวยเดินไปตรงหน้าต่างแล้วยื่นพัดออกไปข้างนอก กระหยิ่มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ชอบหรอกหรือ เช่นนั้นข้าโยนพัดอันนี้ทิ้งไปดีรึไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันเดือดดาล “นางยักษ์เจ้ากล้าหรือ!”

เฉียวเวยเหวี่ยงพัดไปมา “ลองเรียกข้าว่านางยักษ์ดูอีกทีสิ”

มุมปากใต้เท้าเจ้าสำนักพลันกระตุก

เฉียวเวยดึงพัดกลับมาไว้ตรงหน้าอกเช่นเดิม ก่อนจะเอาตีกับมือแล้วเอ่ยอย่างไม่เดือนร้อนว่า “เอาล่ะ ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ถ้าไปช้าเดี๋ยวคนจะมากเสีย มีแต่คนอยากไปดูผลคะแนนกันทั้งนั้น”

พอกินมื้อเช้าเสร็จ เฉียวเวยก็พาซาลาเปาน้อยทั้งสามนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังสถานศึกษา

เด็กทั้งสามตื่นเต้นกันมาก เลิกผ้าม่านรถขึ้น แล้วยื่นศีรษะกลมๆ ของพวกตนออกไปมองด้านนอกกันตาปริบๆ

บนถนนมีรถม้าแล่นอยู่หลายคัน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ มีบางคนเห็นเด็กๆ บนรถม้า ครอบครัวหนึ่งมีบุตรหน้าตางดงามสักคนก็นับว่าน่ายินดีแล้ว แต่บ้านนี้กลับมีถึงสามคน แต่ละคนงดงามไม่เป็นรองใครทั้งสิ้น

เด็กน้อยทั้งสามแน่นอนว่าไม่พอใจแค่เพียงเมียงมองเท่านั้น พอเห็นร้านขายถังหูลู่ขายขนมเปี๊ยะกุ้ยฮวาหรืออะไรก็ร้องอยากจะลองชิมไปหมด

เฉียวเวยซื้อถังหูลู่ให้สามไม้ พวกเขาก็นั่งกินกันบนรถไปอย่างเอร็ดอร่อย

วั่งซูกินเร็วที่สุด ตอนจิ่งอวิ๋นเพิ่งกินถึงลูกที่สาม นางก็กินจนหมดไม้แล้ว นางหันไปมองพี่ชายของตนอย่างน่าสงสาร จิ่งอวิ๋นถอนหายใจด้วยความจนใจ มองถังหูลู่ในมือแล้วจู่ๆ ก็ยื่นลิ้นออกมาเลียน้ำตาหวานๆ ข้างนอกจนหมด!

วั่งซู “…”

ตอนรถม้าไปถึงสำนักศึกษา ที่หน้าประตูมีผู้เข้าสอบมากันไม่น้อยแล้ว ทุกคนยืนกันอยู่หน้าป้ายประกาศ คอยชะเง้อมองเข้าไปด้านใน

เฉียวเวยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางกระโดดลงจากรถม้าเดินเข้าไปถามสตรีนางหนึ่งที่ลูกตาแทบจะถลนออกมาเสียให้ได้ “พี่สาว ไม่ได้บอกว่ายามเฉินจะประกาศผลหรอกหรือ นี่ยามซื่อเข้าไปแล้ว เหตุใดถึงไม่เอามาแปะอีก”

สตรีนางนั้นถอนใจเอ่ยว่า “ออกมาแปะแล้วๆ แต่อาจารย์ท่านหนึ่งวิ่งออกมาบอกว่าตรวจกระดาษคำตอบของเด็กคนหนึ่งผิด พอผิดคนหนึ่งลำดับเลยรวนไปหมด จึงต้องเอากลับไปแก้ใหม่”

เฉียวเวยพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ “เช่นนี้นี่เอง ขอบคุณพี่สาวมาก”

สตรีนางนั้นส่งยิ้มให้ “ไม่เป็นไร”

ตรวจผิดคนหนึ่ง ดีไม่ดีอาจจะตรวจผิดทั้งหมดเลยก็เป็นได้ กระดาษคำตอบหลายร้อยแผ่นต้องตรวจใหม่ทั้งหมดไม่ใช่งานเล็กๆ เลย ทั้งยังต้องรวมคะแนนกับการสอบสายบู๊และการเลือกสอบแล้วเอามาจัดอันดับใหม่อีก น่ากลัวว่าคงต้องรออีกพักใหญ่ทีเดียว

เฉียวเวยไปจองห้องส่วนตัวของภัตตาคารที่อยู่ตรงข้ามสำนักศึกษา เป็นห้องที่ติดหน้าต่างและอยู่ริมถนน นางสั่งชาปี้ฉานชุนกับน้ำร้อนมาอย่างละกา กับเครื่องเคียงสดใหม่อีกสามสี่อย่าง

เด็กทั้งสามมีให้กินมีให้เล่น จึงสนุกสนานกันยิ่งนัก

เฉียวเวยนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เอามือเท้าคางมองไปทางสำนักศึกษาอย่างเบื่อหน่าย

เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปจนจวนใกล้จะถึงเวลามื้อกลางวันเต็มที สำนักศึกษาถึงได้เอาผลคะแนนสุดท้ายออกมาแปะ

เฉียวเวยจึงสั่งอาหาร อีกเดี๋ยวดูผลคะแนนแล้วก็กินมื้อกลางวันกันที่นี่เสียเลยแล้วค่อยกลับบ้าน

เฉียวเวยลุกขึ้นยืน ปัดมือแล้วบอกว่า “ไปเถอะ ไปดูผลคะแนนกัน”

เด็กทั้งสามตามไปพร้อมเหงื่อที่เปียกปอน

เฉียวเวยมือซ้ายจูงหลิวเกอร์ มือขวาจูงวั่งซู แล้ววั่งซูจูงมือจิ่งอวิ๋น พวกนางเดินเร็วๆ กันไปที่หน้าประตูสำนักศึกษา ตรงหน้าป้ายประกาศมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด มีหลายคนที่ดูเสร็จแล้ว มีทั้งคนที่ดีใจ มีทั้งคนที่เสียใจ มีคนที่ตื่นเต้นจนส่งเสียงขึ้นมา และมีคนที่ผิดหวังจนร้องไห้โฮ สรุปแล้วบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก

ในขณะที่พวกนางสี่คนเบียดเสียดกันอยู่ในฝูงชนนั้น คุณชายน้อยตระกูลลิ่นกับองค์ชายน้อยจากซยงหนีว์ก็มาถึงเช่นกัน

เฟ่ยเหลียนมีกำลังมาก จึงแหวกฝูงชนไปอยู่ข้างหน้าสุดได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องผิดหวังที่พบว่าตนจำชื่อของพวกตนในภาษาฮั่นไม่ได้เลยสักคนเดียว!

เขาจึงเบียดเสียดผู้คนกลับออกมา…

วั่งซูน้อยเปิดทางอยู่ข้างหน้า เบียดไปถึงแถวแรกอย่างไม่เปลืองแรงสักเท่าไร เฉียวเวยเริ่มดูจากที่สุดท้ายขึ้นมา ไม่มีวั่งซู ไม่มีหลิวเกอร์ ไม่มีจิ่งอวิ๋น…

สิบอันดับสุดท้าย ไม่มี

ยี่สิบอันดับสุดท้าย ไม่มี

สามสิบอันดับสุดท้าย ไม่มี

ใจดวงน้อยๆ ของเฉียวเวยเริ่มเต้นตึกตักอย่างรุนแรง ขณะที่นางดูห้าสิบอันดับสุดท้ายแล้วยังไม่เห็นชื่อของเด็กทั้งสาม เหงื่อเย็นๆ ของนางก็ถึงกับผุดออกมาเลยทีเดียว เหตุใดถึงยังไม่มีอีก คงไม่ได้สอบไม่ติดจริงๆ กระมัง

ที่สี่สิบแปด ไม่ใช่

ที่สี่สิบเจ็ด ไม่ใช่

หัวใจของเฉียวเวยหล่นไปอยู่ที่ก้นบ่อ

ในขณะที่นางใกล้จะไม่กล้าดูต่อไปเต็มที ชื่อที่คุ้นตาชื่อหนึ่งก็กระโดดเข้ามาสู่สายตานาง

เฉียวเวยพลันตาเป็นประกาย “หลิวเกอร์! เจ้าสอบติดแล้ว! เจ้าได้ที่สามสิบเก้า!”

หลิวเกอร์เบิกตาโต “ที่สามสิบเก้าเก่งหรือไม่”

เฉียวเวยตอบไปตามจริงว่า “เก่งมากเลย!”

นี่ไม่ใช่คำพูดปลอบใจแต่อย่างใด แต่เพราะหลิวเกอร์ยังเด็กนัก การที่เขาสามารถเบียดผู้เข้าสอบกว่าหกร้อยคนขึ้นมาอยู่ในสี่สิบอันดับแรกได้ นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากแล้วจริงๆ

เพียงแต่ กระทั่งหลิวเกอร์ยังสอบติด แล้วเหตุใดจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยนะ

วั่งซูไม่มีทางรู้จักตัวอักษรมากเท่าหลิวเกอร์ แต่ถัดจากหลิวเกอร์ลงไปก็ไม่เห็นมีชื่อของวั่งซู คงไม่ใช่ว่า…วั่งซูสอบไม่ติดกระมัง

เฉียวเวยกลั้นใจมองต่อไป สามสิบอันดับแรก ไม่มี

ยี่สิบอันดับแรก ไม่มี

เฉียวเวยยังคิดล้อเลียนในใจว่า เจ้าเด็กนี้คงไม่ใช่ว่าสอบติดสิบอันดับแรกกระมัง เป็นไปไม่ได้

อันดับที่สิบ อันดับที่เจ้า อันดับที่แปด…

อันดับที่สาม: ลิ่นจื่อเซวียน

คุณชายน้อยตระกูลลิ่นได้อันดับสาม ช่างน่ายินดี เพียงแต่เดิมทีเขามาเพื่ออันดับหนึ่ง ผลงานเขาในตอนนี้ย่ำแย่กว่าที่เขาคาดหวังไปสองอันดับ ในใจเขาจึงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย

เขาเหลือบตามองสองอันดับแรก เขาอยากรู้ว่าใครกันที่นำหน้าตนไป

สายตาของเฉียวเวยในเวลานี้ก็มองอยู่ที่สองชื่อสุดท้าย ในขณะที่นางเห็นชัดเจนว่าเป็นชื่อใครนั้น นางก็ถึงกับตาค้าง

บนกระดาษสีแดงแผ่นใหญ่ เขียนด้วยหมึกสีดำเป็นตัวอักษรตัวใหญ่เป็นประกาย –

ปั้งเหยี่ยน: จีวั่งซู

ปั้งโส่ว: จีจิ่งอวิ๋น