ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 147 หนึ่งระบำงามล่มเมือง (5)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้ารู้สึกว่าใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ตั้งแต่หัวจดเท้ารู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่ง สายตาของทุกคนเหมือนจะแผดเผาทะลุร่างของข้า จะว่าไปแล้ว แม้ข้าจะมีฐานะเป็นพระราชบุตรเขย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น การมีอนุภรรยาสักสองสามคนก็เป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ข้ามิชื่นชอบนารี ต่อให้ฝ่าบาทพระราชทานหญิงงามมาเป็นรางวัล ข้าก็ปฏิเสธอย่างเฉยชาทุกครั้ง แต่วันนี้ข้ากลับต้องยอมรับหลิ่วหรูเมิ่งอย่างจำยอม ชื่อเสียงยอดบุรุษชั่วชีวิตย่อยยับดั่งสายน้ำไหลแล้วจริงๆ

ข้าสะบัดแขนเสื้อลุกขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจ เดินออกจากตำหนักอิ๋นอานอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงโดยมิสนใจมารยาทอันใดอีกต่อไป ข้ามิได้กลับที่พักและมิเรียกหารถม้า แต่ใช้เท้าต่างรถม้าพาตนเองเดินออกมาจากวัง พอมาถึงถนนเห็นผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนถึงพรูลมหายใจออกมา

เวลานี้โหรวหลันพลันถามเสียงเบาจากด้านหลังของข้า “ท่านพ่อ ท่านคงมิคิดจะรับแม่นางหลิ่วผู้นั้นเข้ามาเป็นอนุภรรยาจริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ ต่อให้ท่านแม่มิถือสา ลูกก็รู้สึกว่ามิเหมาะ”

ข้าได้ยินคำพูดนี้ก็เกือบสำลักน้ำลายตนเองทันที สาวน้อยคนนี้ช่างเลือกพูดได้ตรงกับเรื่องที่ข้ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก ทว่าเมื่อสายตาหันไปมองใบหน้าของนาง ข้ากลับเห็นว่าดวงตาของนางเต็มไปด้วยความวิตกและกลัดกลุ้ม หัวใจพลันอ่อนยวบ คิดในใจว่าโหรวหลันสนิทสนมกับฉางเล่อตั้งแต่เล็ก มารดากับบุตรสาวรักกันอย่างลึกซึ้งมิแพ้สายเลือดเดียวกัน นางจะกังวลกับเรื่องนี้ก็สมเหตุสมผล

ข้าละสายตาออกกวาดมองรอบด้าน เพิ่งพบว่าผู้คนที่สัญจรบนถนนต่างกำลังลอบเมียงมอง ดูเหมือนโหรวหลันผู้สวมอาภรณ์หรูหรางดงามและมีดวงหน้างามเลิศล้ำออกจะสะดุดตามากเกินไปสักหน่อย ข้าถอนหายใจบอกว่า “สาวน้อยโง่เขลา ไม่มีอะไรหรอก ข้ากับอาซุ่นของเจ้าจะไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย เจ้ากลับไปก่อนเถิด วันสองวันนี้ฉงเอ๋อร์น่าจะกลับมาแล้ว หนนี้ข้าตั้งใจใช้คำสั่งกองทัพเรียกตัวเขามา คงมิมีผู้ใดขัดขวางได้ เจ้าตระเตรียมที่พักให้เขาสักหน่อย แล้วก็เตรียมให้แม่นางหลิ่วผู้นั้นด้วย อย่ากลั่นแกล้งนาง”

แม้จะลำบากใจอยู่บ้าง แต่เพราะกังวลว่าโหรวหลันจะรังแกหลิ่วหรูเมิ่งเพื่อระบายโทสะแทนมารดาของนาง ข้าจึงต้องกำชับเพิ่มมาอีกหนึ่งประโยค กล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป มิกล้ามองสีหน้าของโหรวหลัน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิทราบว่าในดวงตาของโหรวหลันเต็มไปด้วยแววตาเลื่อมใส นางกำลังลอบภาวนาในใจอย่างเงียบเชียบ พี่ฮั่วช่างวางแผนการได้ล้ำเลิศจริงแท้ สวรรค์โปรดคุ้มครองให้แผนการของเขาสำเร็จด้วยเถิด ขอให้บิดาของข้ายิ่งเลอะเลือนยิ่งดี อย่าให้เขามองสายสนกลในของเรื่องนี้ออกเชียว

เวลานี้ในสมองของข้าสับสนอลหม่านอยู่จริงๆ ข้ามิรู้ตัวว่าเดินมานานเท่าใด จนกระทั่งเสี่ยวซุ่นจื่อรั้งข้าไว้แล้วบอกว่า “คุณชาย ร่างกายของท่านไม่แข็งแรง ห้ามเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป มิสู้หาสถานที่สงบสักแห่งพักผ่อนสักหน่อยเถิด”

ข้าหยุดฝีเท้า ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งสังเกตว่าบนหน้าผากมีเหงื่อผุดพราย วันนี้แสงตะวันค่อนข้างจะอบอุ่น ทว่าก็ยังมีลมหนาวพัดมา หากข้าเดินมั่วซั่วเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงต้องลมหนาวจนเจ็บไข้แน่ ข้ายิ้มจืดเจื่อน หันไปเห็นเหลาสุราแห่งหนึ่งอยู่ด้านหน้าจึงเดินตรงเข้าไป ข้ามิสนใจลูกจ้างที่ก้าวเข้ามาต้อนรับ แต่เดินตรงไปที่ชั้นสอง เมื่อเห็นห้องส่วนตัวห้องหนึ่งม้วนม่านกั้นเก็บไว้ด้านบนก็ทราบว่าไม่มีคนจึงเดินเข้าไป

เสี่ยวซุ่นจื่อสั่งไม่กี่ประโยคก็ปล่อยม่านลงมา ข้าทราบดีว่าราชองครักษ์หู่จีที่คอยปกป้องข้าอยู่ในที่ลับคงจะเชิญลูกค้าในเหลาสุราออกไปอย่างรวดเร็วแล้ว หากจะสนทนาก็มิจำเป็นต้องระวัง ข้าทรุดนั่งบนเก้าอี้ สัมผัสความอบอุ่นภายในห้อง จากนั้นก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดอีกหน

สิบแปดปีแล้ว เพียวเซียงจากโลกนี้ไปสิบแปดปีเต็มแล้ว มือของข้าลูบคลำแหวนหยกบนนิ้ว หวนนึกถึงเสียงและรอยยิ้มของคนงาม หัวใจเจ็บปวดยิ่งนัก นับตั้งแต่แก้แค้นให้นางสำเร็จ ข้าก็กลบฝังความรักในอดีต แม้ยามเห็นแหวนหยกจะหวนนึกถึงนางขึ้นมาบ้าง แต่ก็บังคับให้ตนเองนึกถึงแต่เรื่องราวอันมีความสุข

หลังจากแต่งงานกับฉางเล่อ ความรักอันลึกล้ำดั่งมหาสมุทรของนางช่วยสลายความเจ็บปวดในหัวใจของข้า อีกทั้งข้ามิต้องการให้ฉางเล่อคลางแคลงใจ ดังนั้นข้าจึงซ่อนทุกสิ่งเกี่ยวกับเพียวเซียงไว้ลึกสุดห้วงหัวใจ

เวลาผ่านไปนานเข้า ข้าคิดว่าตนเองลืมเลือนเพียวเซียงได้แล้ว จวบจนวันนี้ข้าจึงเพิ่งตระหนักว่าความจริงแล้วความเจ็บปวดในหัวใจของข้ามิเคยได้รับการเยียวยา หากมิใช่เพราะเหตุนี้ ข้าไหนเลยจะยอมปล่อยให้อวี๋หลุนทำตามใจ ปล่อยให้เขาออกจากค่ายลับ ความเจ็บปวดของอวี๋หลุนเป็นความเจ็บปวดเดียวกันกับข้า เพียงคิดว่าบนโลกยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่ยังเก็บเงาของเพียวเซียงไว้ในหัวใจเฉกเช่นเดียวกับข้า ข้าก็มิรู้สึกเดียวดาย ดังนั้นขอเพียงอวี๋หลุนมิทำลายการใหญ่ของข้า ข้าก็มิคิดจะเอาชีวิตเขา

หวนนึกถึงบุคลิกท่าทางของหลิ่วหรูเมิ่งที่ละม้ายคล้ายเพียวเซียง หัวใจข้าพลันเจ็บปวดรวดร้าว สตรีบอบบางตัวคนเดียวเช่นนางต้องประจันหน้ากับฉีอ๋องผู้เคยเข่นฆ่าสังหารคนมามากมาย ยามอยู่ต่อหน้าบารมีน่าเกรงขามที่แม้แต่ยอดวีรุบุรุษยังต้องยอมก้มหัว นางกลับกล้าต่อสู้ขัดขืน ความทระนงเช่นนี้ทำให้ข้าหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เพียวเซียงประณามหานอ๋องในอดีต เพียวเซียงในยามนั้นก็คงเข้มแข็งไร้ความหวาดกลัวเฉกเช่นนี้กระมัง

ข้าค่อยๆ หวนนึกเรื่องราวของเพียวเซียงทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่ความทรงจำอันยากจะรับไหวยามตกตะลึงกับข่าวการตายอย่างน่ารันทดของเพียวเซียงก็ผุดขึ้นมาในหัวใจอีกหน ข้าปล่อยให้ความเจ็บปวดรวดร้าวทำร้ายหัวใจ มิทราบว่านึกอยู่นานเท่าใด จู่ๆ ก็กระอักโลหิตสีดำออกมาคำหนึ่ง ทว่าหัวใจกลับปลอดโปร่ง รู้สึกว่าความกลัดกลุ้มที่สั่งสมเวียนวนอยู่ในหัวใจมานานหลายปีสลายหายไปหมดสิ้น

ข้าเอื้อมมือมาดันเสี่ยวซุ่นจื่อผู้เข้ามาดูด้วยสีหน้าตื่นตระหนกออก แล้วเงยหน้าหัวเราะบอกว่า “ไม่ต้องร้อนใจ นี่เป็นเพียงอาการกำเริบเพราะเศร้าเสียใจเท่านั้น หลังจากกระอักเลือดก็มิเป็นอันใดแล้ว สรุปว่าเกิดอันใดขึ้น เป็นฝีมือของผู้ใด”

เสี่ยวซุ่นจื่อปล่อยวางความกังวลใจ เขารู้สึกว่าสีหน้าของเจียงเจ๋อผ่อนคลายอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาปลอดโปร่งไร้กังวล ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกเหมือนย้อนกลับไปยามพบหน้ากันหนแรกที่เจี้ยนเย่ เวลานั้นเจียงเจ๋อก็มีสีหน้าเช่นนี้ จู่ๆ หัวใจพลันรู้สึกปลาบปลื้มยินดี จมูกแสบขัด น้ำตาเกือบจะหยดร่วงลงมา

เขารีบร้อนหันหน้าหนี ผ่านไปเนิ่นนานถึงหันกลับมาตอบว่า “ตอนออกมาจากตำหนัก ข้าออกคำสั่งให้สืบเรื่องนี้แล้ว ผู้อื่นมิทราบ แต่เฉินเจิ่นกับแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับมากกว่าครึ่งล้วนเคยพบหน้าหลิ่วฮูหยิน หลิ่วหรูเมิ่งลักษณะท่าทางคล้ายฮูหยิน เรื่องนี้พวกเขามิเคยรายงาน คงเป็นเพราะกลัวว่าจะทำให้คุณชายโศกเศร้าเสียใจ เรื่องนี้มีเหตุผลให้อภัยได้

ทว่ายามนี้หลิ่วหรูเมิ่งถูกส่งมายังค่ายทัพของต้ายงแล้ว พวกเขากลับยังมิรายงานเรื่องนี้ ทำให้คุณชายต้องพบหน้าสตรีนางนี้อย่างมิทันตั้งตัว เรื่องนี้ยอมมิได้เด็ดขาด ขอคุณชายออกคำสั่งลงโทษ ตักเตือนมิให้เอาเยี่ยงย่าง”

ข้าส่ายหน้าตอบว่า “ช่างเถิด ตอนแรกมิพูดก็เป็นเพราะพวกเขาเจตนาดี ข้าจำได้ว่าอวี๋หลุนกับสตรีนางนี้มีสัมพันธ์กันอยู่ ยามนี้คิดดูแล้วคงเป็นเพราะสตรีนางนี้ลักษณะท่าทางคล้ายหลิ่วเพียวเซียง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตั้งอกตั้งใจปิดบังเรื่องนี้ยิ่งนัก ส่วนเรื่องในวันนี้ แม้สมควรลงโทษ แต่อย่างไรเสียก็ทำให้ข้าได้คลายปมที่ฝังในใจนานปี เช่นนั้นก็อย่าลงโทษพวกเขามากเกินไปนักเลย เพียงสืบให้ชัดเจนก็พอแล้ว แต่ข้ากลับรู้สึกตะหงิดๆ ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ทว่ากลับคิดไม่ออก ช่างเถิด พวกเรากลับกันก่อนก็แล้วกัน”

เสี่ยวซุ่นจื่อลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย แม่นางหลิ่วผู้นั้นจะจัดการเช่นไรดีขอรับ”

ข้าฟังจบก็ชะงัก สายตาจับบนใบหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อ เห็นสีหน้าเขาคล้ายแฝงความกลัดกลุ้มอยู่ก็ยิ้มน้อยๆ กวักมือส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาหาใกล้ๆ รอจนเขาเดินทำหน้ามึนงงมาถึงตรงหน้าข้าแล้ว ข้าจึงยื่นนิ้วออกมาดีดเบาๆ

เสี่ยวซุ่นจื่อกุมหน้าผาก ทำหน้าเหมือนผู้บริสุทธ์ที่มิได้รับความเป็นธรรม แม้รู้ดีอยู่แล้วว่าการดีดหน้าผากของข้ามิต่างจากยุงกัดสำหรับเขา อีกทั้งหากเขามิยินยอมพร้อมใจ ข้าคงมิอาจลงมือสำเร็จ แต่กระนั้นข้าก็ยังห้ามใจมิให้หัวเราะอย่างลำพองมิได้ “เจ้าเด็กเวร เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร ข้าใช่คนที่ปล่อยวางมิลงหรือ ข้ามิมีวันทำเรื่องอย่างการเอาสาลี่มาแทนต้นท้อ หากทำเรื่องเช่นนั้น มิเพียงจะผิดต่อความรักอันลึกซึ้งของฉางเล่อ ยังจะผิดต่อเพียวเซียงอีกด้วย

สตรีนางนี้ทั้งน่านับถือและน่าสงสาร ผ่านไปสองสามวันก็ถามความตั้งใจของนางแล้วค่อยตัดสินใจเถิด เพียวเซียงโชคร้ายไปคนหนึ่งแล้ว ข้ามิปรารถนาให้นางต้องเป็นหญิงงามชะตาอาภัพอีกคน”

กล่าวจบข้าก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องส่วนตัว ข้าเห็นราชองครักษ์หู่จีคอยคุ้มกันอยู่ด้านนอกจริงดังคาด ข้าเดินตรงดิ่งออกจากเหลาสุรา ก้าวขึ้นรถม้าที่มิทราบว่าเตรียมมาตั้งแต่เมื่อใดแล้วเดินทางตรงกลับจวน มิทันสังเกตสักนิดว่าตลอดทางเสี่ยวซุ่นจื่อประเดี๋ยวก็มีแววตาฉงน ประเดี๋ยวก็แววตาทอประกายวิบวับ ก่อนที่สุดท้ายแววตาจะกลับมาใสกระจ่างดุจผลึกน้ำแข็งเย็นเฉียบ

เสี่ยวซุ่นจื่อผินหน้าไป มุมปากเผยรอยยิ้มน้อยๆ ทำสีหน้าเหมือนเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง แม้จะรู้สึกว่าตนเองสมควรเตือนเจียงเจ๋อสักหน่อย ทว่าเมื่อครุ่นคิดในใจหลายตลบแล้วเหล่มองเจียงเจ๋อที่ยังคงขมวดคิ้วครุ่นคิด ในที่สุดก็มิพูดสิ่งใดทั้งสิ้น