ท่านอ๋องชมชอบรูปโฉมและฝีมือของนาง หมายจะรับนางเข้ามาในตำหนัก แต่แม่นางหลิ่วปฏิเสธว่า “ผู้น้อยเป็นคนฉู่ มิรับใช้ศัตรู” ท่านอ๋องสดับฟังพลันพิโรธ หมายจะลงโทษ ฉู่กั๋วโหวเจียงเจ๋ออยู่ในกองทัพพอดีจึงเกลี้ยกล่อมห้ามปรามท่านอ๋อง ท่านอ๋องจึงเปลี่ยนใจ ยกแม่นางหลิ่วให้เจียงเจ๋อ
เจียงเจ๋อมอบทองคำให้และปล่อยนางไป แม่นางหลิ่วออกจากค่ายทัพของต้ายงได้ก็เอาอย่างห่านป่าโผผินลาลับจากจร บางคนกล่าวว่านางออกเดินทางไปกับสามีแล้ว!
อนิจจา ยามแผ่นดินตกอยู่ในวิกฤต ทุกครั้งยามข้าเห็นบัณฑิตสวามิภักดิ์ต่อศัตรู ทหารกล้าถอดชุดเกราะ ล้วนรู้สึกว่าพวกเขาต่างสู้แม่นางหลิ่วมิได้ ดังนั้นจึงบันทึกเรื่องราวของนางไว้ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกโฉมสะคราญแซ่หลิ่ว
ข้าก้าวลงมาจากรถม้าอย่างแช่มช้าก่อนจะเดินผ่านเข้าประตูจวน โหรวหลันกำลังจัดเรียงเอกสารราชการในตู้หนังสือแทนข้า จากนั้นเขียนรายการเพื่อให้ข้าอ่านตรวจทานได้อย่างรวดเร็ว พอเห็นข้าเข้ามานางก็ลุกขึ้นมาประคองอย่างน่ารักน่าเอ็นดู รอจนข้านั่งลงแล้วจึงยกชาชั้นดีมาให้ด้วยตนเอง ข้ายกชากลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมาแล้วมองนางอย่างพออกพอใจ มีบุตรสาวกตัญญูเช่นนี้ ช่างเป็นความสุขของคนแก่เสียจริง
ข้าหยิบรายการเครื่องบรรณาการของหนานฉู่ที่โหรวหลันนำมาวางตรงหน้าขึ้นมาเปิดดู เพียงอ่านถึงบรรทัดที่สองข้าก็พ่นน้ำชาที่อยู่ในปากออกมาดังพรวด ยกมือชี้รายการของบรรณการแล้วร้องลั่น “นี่มันเรื่องอะไรกัน แม่นางหลิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในของบรรณาการด้วย แล้วเหตุไฉนค่ายลับไม่ส่งข่าวมาสักนิด รีบส่งคนไปสืบดู คนถูกส่งไปที่ใดแล้ว หากมีอะไรพลาดพลั้งขึ้นมา จะให้ข้าเอาชีวิตไปชดใช้หรือ”
โหรวหลันทำหน้างุนงง ถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ แม่นางหลิงอวี่คือผู้ใดหรือเจ้าคะ”
ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าโหรวหลันไม่ทราบเรื่องราวในเจียงหนาน จึงร้อนใจลุกขึ้นเดินวนไปวนมาภายในห้องหนังสือ ข้าออกจากตำหนักอิ๋นอานมาสามชั่วยามกว่าแล้ว ตามปกติอย่างที่เคยเป็นก่อนหน้านี้ หลิงอวี่ผู้นี้จักต้องถูกมอบเป็นรางวัลให้แม่ทัพคนไหนสักคนแล้วเป็นแน่ ข้าเคยรับปากไว้แล้วว่าจะดูแลหญิงสาวผู้นี้แทนชิวอวี้เฟย หากเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นมา ข้ายังจะมีหน้าไปพบสหายได้อีกหรือ
เวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อออกไปสั่งการแล้ว รอจนกระทั่งเขาเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ข้าก็เริ่มสงบใจลงได้แล้วจึงสั่งเสียงนิ่งสงบว่า “ให้ฮูเหยียนโซ่วไปดูที่พักของจิงฉือ ในเมื่อหลิ่วหรูเมิ่งอยู่กับข้า ก็เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าฉีอ๋องจะมอบหลิงอวี่ให้จิงฉือ หากคนอยู่ที่นั่นจริงก็ให้ฮูเหยียนโซ่วขอตัวมาทันที คิดว่าจิงฉือคงมิหักหน้าข้า
โหรวหลัน เจ้าตรวจดูว่ากรมวินิจการณ์ส่งข่าวที่เกี่ยวข้องมาหรือไม่ หลิงอวี่เป็นทั้งศิษย์สำนักเฟิงอี้ แล้วยังเป็นคนในดวงใจของอวี้เฟย ฐานะเช่นนี้ กรมวินิจการณ์ย่อมมีบันทึกไว้เป็นแน่ หากนางอยู่ในรายการเครื่องบรรณาการ เวลานี้ก็สมควรมีข่าวกระจายไปทั่วเจียงหนานแล้ว กรมวินิจการณ์สมควรส่งรายงานมาแล้วถึงจะถูก แต่ข้าจำได้ว่าหลายวันนี้มิเคยเห็นรายงานทำนองนี้เลย หากไม่มีจริงๆ ก็เท่ากับกรมวินิจการณ์ทำงานสะเพร่า”
โหรวหลันขานตอบ นางเดินไปที่ชั้นหนังสือแล้วเริ่มพลิกดูรายงานที่กรมวินิจการณ์ส่งมา นางก้มหน้าอ่านอยู่พักหนึ่งก็แอบเหลือบมองบิดา ทว่ากลับเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อมองตนด้วยสีหน้าแปลกพิกล ทันใดนั้นหัวใจก็สั่นระริก รีบหลบสายตาของเขาแล้วตั้งหน้าตั้งตาหาต่อ นางย่อมทราบว่าจะต้องหาไม่พบ เพราะนางแอบเอารายงานที่กรมวนิจการณ์ส่งมาไปซ่อนไว้ก่อนแล้ว ปกติเจียงเจ๋อมิค่อยสนใจงานยิบย่อยพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงถูกนางปิดบังเอาไว้ได้
ชั่วขณะนั้นภายในห้องเงียบสนิทอย่างยิ่ง นอกจากเสียงพลิกหน้ากระดาษของโหรวหลันก็มิมีเสียงอื่นใดอีก ข้ากลับไปนั่งบนเก้าอี้ ตั้งสมาธิขบคิดเรื่องราว ค่ายลับเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุไฉนจึงไม่มีข่าวเรื่องนี้ส่งมา จากนั้นก็คิดโยงไปถึงเรื่องของหลิ่วหรูเมิ่ง แม้จะมั่นใจว่าค่ายลับมิมีทางหักหลังข้า แต่ก็น่าสงสัยยิ่งนัก ขณะที่ข้ากำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดก็มีองครักษ์เข้ามารายงาน บอกว่าชิวอวี้เฟยมาขอพบอยู่ข้างนอก
ข้าขมวดคิ้วจนเป็นปม เหตุใดชิวอวี้เฟยจึงโผล่มาตอนนี้ เขาเก็บตัวฝึกฝนวิชาอยู่มิใช่หรือ สองปีที่ผ่านมากระทั่งส่งข่าวสารให้ก็ยังยากเย็นนัก ตามหลักแล้วเขามิสมควรทราบเรื่องหลิงอวี่แม้แต่น้อยสิ หรือว่าประมุขพรรคมารจะปล่อยเขาออกมาก่อนเวลา
ข้าให้เสี่ยวซุ่นจื่อไปต้อนรับแขกแทนข้า หัวใจข้าหวาดวิตก หวังว่าแม่นางหลิงอวี่จะมิเป็นอันใด แต่หากหลี่เสี่ยนมอบนางให้จิงฉือจริงก็คงมิเป็นอันใด แม้จิงฉือจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่เขามิใช่พวกบ้าตัณหา หากแม่นางหลิงอวี่มิยินยอม เขาย่อมมิฝืนใจบังคับ
ขณะที่ข้ากำลังลอบปลอบใจตนเอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็นำทางชิวอวี้เฟยเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ข้าลุกขึ้นมาต้อนรับ สายตาเลื่อนไปจับบนใบหน้าของชิวอวี้เฟย ทันใดนั้นข้าก็ตกตะลึง เมื่อเห็นดวงตาที่เคยเปล่งประกายของเขาหม่นแสง ดวงหน้าก็ซีดเผือด สภาพเหมือนบาดเจ็บหนัก
ข้ามุ่นคิ้วทันควัน เดินตรงเข้าไปจับชีพจรของเขา ผ่านไปพักใหญ่ ข้าจึงถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “อวี้เฟย เหตุไฉนท่านจึงบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ แล้วยังเหมือนจะมิได้รักษาให้ดีอีก หากมาถึงช้ากว่านี้อีกสักสองสามวัน เกรงว่าคงต้องรักษาตัวเนิ่นนานหลายปีแน่” กล่าวจบ ข้าก็หันไปสั่ง “เสี่ยวซุ่นจื่อไปหยิบล่วมยากับเข็มทองมา หลันเอ๋อร์หลบไปก่อน บอกแม่ทัพฮูเหยียนว่ามิว่าคนอยู่ที่ใดก็ต้องรับกลับมาให้จงได้ แล้วฝากบอกว่าผู้แซ่เจียงขอบคุณยิ่งนัก วันพรุ่งนี้จักต้องไปกล่าวขออภัยถึงประตูด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
เสี่ยวซุ่นจื่อทราบว่าเจียงเจ๋อใช้ถ้อยคำคลุมเครือเช่นนี้ก็เพราะมิอยากให้ชิวอวี้เฟยร้อนใจจนอาการบาดเจ็บหนักขึ้น โหรวหลันว่าง่ายยิ่งนัก นางมิพูดมาก ทั้งสองคนเดินออกไปด้านนอกด้วยกัน รอจนกระทั่งประตูห้องปิดลง พ้นจากสายตาของเจียงเจ๋อแล้ว แววตาของเสี่ยวซุ่นจื่อก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก จ้องมองโหรวหลันวาววับแต่มิเอ่ยคำใด
โหรวหลันหัวใจสั่นระริก คุกเข่าลงกับพื้นเงียบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าวิงวอนร้องขอ เสี่ยวซุ่นจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจแล้วเดินตรงดิ่งจากไป โหรวหลันทราบว่าเสี่ยวซุ่นจื่อตกลงจะมิยุ่งเรื่องนี้แล้ว ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มสว่างไสวออกมา นางลุกขึ้นยืนแล้วเร่งรีบก้าวเท้ากลับไปยังห้องของตนเอง ต้องส่งข่าวว่าชิวอวี้เฟยเดินทางมาถึงแล้ว พี่ฮั่วจะได้ตัดสินใจว่าก้าวต่อไปสมควรทำเช่นไร
รอจนกระทั่งเสี่ยวซุ่นจื่อหยิบล่วมยากับเข็มทองกลับมาแล้ว ข้าก็ให้ชิวอวี้เฟยนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มในห้องหนังสือ จากนั้นให้เขาปลดอาภรณ์ออก แรกสุดใช้เข็มทองเปิดทางให้เลือดลมของเขาไหลคล่อง จากนั้นจึงให้เขากินยารักษาอาการบาดเจ็บภายในสูตรลับของข้า เรื่องที่เหลือต้องอาศัยตัวเขาเองค่อยๆ โคจรลมปราณรักษาตัวทีละน้อย ยอดฝีมือขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเมื่อได้รับบาดเจ็บ อยากจะรักษาตัวให้หายดียากเย็นยิ่งนัก
การรักษาเสร็จสิ้น ชิวอวี้เฟยสวมเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นคำนับขอบคุณ “ขอบคุณสุยอวิ๋นยิ่งนักที่ยื่นมือช่วยเหลือ”
ข้าตอบอย่างอึ้งๆ “อวี้เฟยทำตัวห่างเหินเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ท่านกับข้าคบหากันมาหลายปี ข้าก็พอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ไฉนมีเหตุผลที่จะมิยื่นมือช่วย”
ชิวอวี้เฟยตอบอย่างหม่นหมอง “ข้าขอบคุณที่สุยอวิ๋นช่วยเหลือหลิงอวี่ ตอนข้าเข้าเมืองมาได้ยินข่าวลือว่านักดนตรีหญิงที่ทูตหนานฉู่ส่งมาเป็นบรรณาการล้วนถูกฉีอ๋องประทานให้แม่ทัพทั้งหลายเป็นรางวัล สองคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกนาง ถูกมอบให้สุยอวิ๋นกับแม่ทัพผิงเป่ยจิงฉือ สุยอวิ๋นมิเคยลุ่มหลงนารี หากมิใช่เพื่อช่วยหลิงอวี่แล้ว เหตุไฉนจึงยอมรับของรางวัลเช่นนี้เล่า”
ข้าอับอายจนเหงื่อซึมออกมาอย่างมิรู้ตัว คิดกับตนเองว่ารอรับหลิงอวี่กลับมาเรียบร้อยแล้วค่อยขอโทษอีกทีก็แล้วกัน เพื่อเบี่ยงประเด็น ข้าจึงคลี่ยิ้มถามว่า “อวี้เฟย ใต้หล้านี้หากกล่าวถึงความสูงส่งของวรยุทธ์ ท่านก็อยู่ในสิบนิ้วนับ ผู้ใดกันทำร้ายท่านจนตกอยู่ในสภาพนี้ได้”
ความจริงข้าสงสัยยิ่งนักว่าประมุขพรรคมารเป็นคนทำร้ายเขา ดังนั้นจึงอยากถามให้รู้ชัด
ชิวอวี้เฟยเหมือนจะเข้าใจความสงสัยของข้า เขาส่ายศีรษะแล้วตอบเรียบๆ “มิใช่ท่านอาจารย์” ข้าพรูลมหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่กำลังจะถามต่อนั่นเอง คิดมิถึงว่าชิวอวี้เฟยกลับตอบออกมาอย่างหม่นหมอง “ศิษย์พี่ใหญ่ทำร้ายข้าจนบาดเจ็บหนัก”
ข้าเกือบจะสำลักลมหายใจ ลำบากนักกว่าจะทำจิตใจให้สงบได้ มิต้องถามก็ทราบแล้วว่าชิวอวี้เฟยต้องทราบเรื่องของหลิงอวี่แล้วแอบหนีออกมาเองอย่างแน่นอน ประมุขพรรคมารวาจาหนักแน่นดุจขุนเขา ย่อมโกรธจัด เขาจะส่งต้วนหลิงเซียวมาพาตัวชิวอวี้เฟยกลับไปก็สมเหตุสมผล รายละเอียดระหว่างนั้นย่อมมิต้องถามอีกแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าผู้ใดเป็นคนส่งข่าวบอกเขา ข้าจึงถามว่า “อวี้เฟยเก็บตัวฝึกวิชามาสองปี มิยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก แม้แต่จดหมายของข้าก็ยังเหมือนศิลาจมลงในมหาสมุทร มิทราบว่าผู้ใดส่งข่าวไปจนถึงมืออวี้เฟย”