ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 150 ตราบชั่วฟ้าดินสลาย (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

การพุ่งพรวดเข้ามากะทันหันของชิวอวี้เฟยทำให้คนทั้งห้องโถงตกตะลึง เสียงพิณชะงักเงียบหาย สีหน้าของหลิงอวี่เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี แววตาเปลี่ยนไปมาจนมองมิออก คล้ายกังวล แต่ก็เหมือนโล่งใจ

แววตาของชิวอวี้เฟยวูบไหว เขาเห็นว่าในโถงบุปผานอกจากหลิงอวี่กับเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้ว ยังมีองครักษ์วัยกลางคนอยู่อีกสองนาย พวกเขาล้วนมีท่าทางอันตราย สองตาซ่อนประกายเจิดจ้าไว้เลือนราง เวลานี้พวกเขามาขวางอยู่หน้าตนเองแล้ว บรรยากาศข่มขวัญหนักอึ้งเท่าขุนเขา คนหนึ่งในนั้นตวาดเกรี้ยวกราด “ท่านคือผู้ใด เหตุไฉนจึงล่วงล้ำจวนของจยาจวิ้นอ๋อง”

สายตาเย็นยะเยือกของชิวอวี้เฟยทะลุผ่านทั้งสองคนตรงไปจับจ้องร่างของเด็กหนุ่มอาภรณ์สีดำผู้นั้นแล้วถามอย่างเย็นชา “หลี่หลิน เจ้าตั้งใจจจะสังหารภรรยาที่ยังมิได้จัดงานแต่งของชิวอวี้เฟยผู้นี้หรือ”

ใบหน้าของหลี่หลินเผยสีหน้าประหลาดออกมา แววตาวูบไหวเอ่ยว่า “ท่านอาชิวไยจึงเอ่ยเช่นนี้ สตรีนางนี้คือทายาทที่เหลือรอดมาของสำนักเฟิงอี้ ข้าตั้งใจจะสังหารนางเพื่อล้างแค้น ชำระความแค้นให้มารดาผู้ให้กำเนิด พรรคมารกับสำนักเฟิงอี้เป็นศัตรูคู่แค้นกัน เหตุไฉนนางจะเป็นภรรยาของท่านอาได้”

ชิวอวี้เฟยตอบอย่างเกรี้ยวกราด “เรื่องของข้ากับนางมิจำเป็นต้องให้จยาจวิ้นอ๋องเข้ามายุ่ง ผู้แซ่ชิวจะถามเจ้าเพียงคำเดียว จะยอมให้ข้าพาตัวนางไปหรือไม่”

หลี่หลินยิ้มเย็นชาตอบว่า “ท่านอ๋องเช่นข้าวาจาหนักแน่นเท่าขุนเขา แม้แต่คุณชายสี่ก็มิอาจเปลี่ยนความตั้งใจของข้าได้ ท่านเห็นกระถางธูปหรือไม่ เมื่อครู่ข้ากับแม่นางหลิงอวี่สัญญากันไว้แล้วว่า จะยอมให้นางบรรเลงพิณก่อนตายอีกสักหน ยามธูปหมดก็คือเวลาที่ศีรษะนางต้องร่วงสู่พื้น ยามนี้ธูปไหม้หมดสิ้นแล้ว แต่คนยังอยู่ เท่านี้ข้าก็เป็นคนผิดสัจจะวาจาแล้ว คุณชายสี่รีบไปจากที่นี่เสียจะดีกว่า เห็นแก่พรคมารและอาเขยของข้า ข้าจะมิสืบสาวราวเรื่องความผิดที่ท่านบุกรุกจวนของข้า”

หัวใจชิวอวี้เฟยเย็นยะเยือก เขาเคยพบหน้าท่านอ๋องเยาว์วัยผู้นี้ในจวนของเจียงเจ๋อมาก่อน ทราบว่าเขาเป็นคนเด็ดขาดมากยิ่งกว่าฉีอ๋องในอดีต หากเขาจะทำร้ายหลิงอวี่ให้จงได้ แม้นตนสละชีวิตเข้าปกป้องก็ต้องมีสักวันที่มิอาจปกป้องนางได้อีก จิตสังหารผุดขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ เอ่ยถามเน้นย้ำทีละคำ “หลิงอวี่เป็นเพียงสตรีบอบบางผู้ไร้ความผิด เหตุใดเจ้าจึงต้องบีบคั้นบังคับคนจะเอาชีวิตนางให้จงได้ เจ้าเป็นถึงจวิ้นอ๋องแห่งต้ายงผู้สูงศักดิ์ มาข่มแหงผู้อ่อนแอเฉกเช่นนี้ได้หรือ”

ดวงตาของหลี่หลินเผยความเคียดแค้นที่สลักลึกถึงกระดูก กล่าวขึ้นว่า “แต่เดิมข้าเป็นบุตรชายในพระชายาเอกของเสด็จพ่อ ซื่อจื่อของฉีอ๋อง หากมิใช่เสด็จแม่หลงเข้าไปยุ่งกับสำนักเฟิงอี้จนทำความผิดมหันต์ก่อการกบฏ ถูกลบนามออกจากราชวงศ์ ข้าจะสูญเสียตำแหน่งซื่อจื่อได้เช่นไร

ข้ากับสำนักเฟิงอี้มิอาจอยู่ร่วมฟ้า หนนี้เดินทางลงใต้ ตั้งแต่แรกก็หมายจะเข่นฆ่าสำนักเฟิงอี้ให้สิ้น ยามนี้สตรีชั่วช้าเหล่านั้นต่างถูกกรรมตามสนองกันหมดแล้ว แต่น่าเสียดายมิได้ตายใต้เงื้อมมือของข้า ยามนี้แม่นางหลิงอวี่ตกอยู่ในมือของข้าแล้ว นี่เป็นโชคร้ายของนาง ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสล้างแค้นที่สวรรค์มอบให้ข้า ข้ามิสังหารนาง ไฉนมิผิดต่อเจตนาของสวรรค์”

ความคิดจะสังหารคนของชิวอวี้เฟยรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เขามองหลี่หลินแล้วหัวเราะหยัน “ได้ ได้ หากเจ้าสังหารนาง ข้าก็จะสังหารเจ้าเสีย”

เสียงเอ่ยคำพูดยังมิทันจางหาย ร่างกายของเขาพลันเคลื่อนผ่านการขวางกั้นขององครักษ์ทั้งสองคนโดยที่มิมีผู้ใดเห็นสักนิดว่าเขาเคลื่อนไหวเช่นไร เขามาปรากฏตัวตรงหน้าหลี่หลินอย่างน่ามหัศจรรย์ จากนั้นยกเท้าถีบหลี่หลินทีเดียวกระเด็นลอยออกไป เสียงโครมดังสนั่น ร่างของหลี่หลินชนเข้ากับกำแพง ฝุ่นควันฟุ้งกระจายรอบด้าน แม้ในใจชิวอวี้เฟยจะอยากสังหารคนยิ่งนัก แต่เมื่อคิดถึงฐานะของหลี่หลิน สุดท้ายก็มิได้ลงมือสังหาร

แม้จะเป็นเช่นนี้ หลี่หลินก็ยังรู้สึกหน้ามืด หวานวูบอยู่ในปากก่อนจะกระอักเลือดออกมา สี่แขนขาร้อยกระดูกเจ็บปวดแสนสาหัส ฟุบหมอบลงไปกับพื้นลุกไม่ขึ้น เขาตวาดด่าทอในใจ ฮั่วฉงเจ้าคนสมควรตาย เจ้าบอกว่าเกราะอ่อนบนร่างข้าลดทอนกำลังภายในได้ห้าส่วน จะทำให้ข้ามิบาดเจ็บหนักมิใช่หรือ แล้วยังบอกอีกว่าชิวอวี้เฟยเห็นแม่นางหลิงอวี่ปลอดภัยคงจะมิเลือกลงมือสังหารคน แล้วเหตุไฉนลูกเตะเดียวข้าก็ยังรับไว้มิได้เล่า

เวลานี้องครักษ์สองนายนั้นทะยานร่างเข้ามาพร้อมกับความอับอายและโกรธเกรี้ยว ทว่าในสายตาของหลิงอวี่กับหลี่หลินกลับเห็นเพียงร่างของชิวอวี้เฟยพร่าเลือนวูบหนึ่ง องครักษ์สองคนนี้ก็ถูกบีบให้ถอยกลับไปอีกหน ทว่าชิวอวี้เฟยกลับมิได้ลงมือกับหลี่หลินต่อ แต่ถอยมาอยู่ข้างกายหลิงอวี่

องครักษ์สองนายนั้นคุ้มกันอยู่หน้าหลี่หลิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะหนกและโกรธแค้น มิรู้สักนิดว่าแม้ฉากหน้าชิวอวี้เฟยจะมิบาดเจ็บแต่อย่างใด ทว่าเลือดลมของเขาปั่นป่วนแล้ว หากสองคนนี้ลงมือตอนนี้จะต้องทำให้ชิวอวี้เฟยเจ็บหนักแน่นอน

สายตาของชิวอวี้เฟยจับจ้องบนร่างขององครักษ์สองคนนั้น สองคนนี้คนหนึ่งใช้วิชาหมัดเทพร้อยก้าว คนหนึ่งใช้วิชาหมัดกรงเล็บอินทรี ล้วนพอจัดได้ว่าเป็นระดับยอดฝีมือชั้นยอดแล้ว หากเทียบกับโอวหยวนหนิง อย่างน้อยก็เทียบได้กับความสามารถหกเจ็ดส่วนของเขา แต่ตนเองบาดเจ็บภายในยังมิหายดี จึงมีกำลังภายในห้าส่วนจากปกติเท่านั้น เมื่อครู่ที่ลงมือได้เปรียบก็เป็นเพราะอาศัยวิชาท่าร่างอันว่องไวเท่านั้น หากต้องการจะเอาชีวิตสองคนนี้จริงๆ มีโอกาสมากกว่าครึ่งที่ตนจะเป็นฝ่ายถูกพวกเขาสวนกลับจนบาดเจ็บหนัก มีองครักษ์ฝีมือเช่นนี้สองคนอยู่ข้างกาย แม้แต่ฐานะจวิ้นอ๋องเช่นหลี่หลินก็ดูออกจะฟุ่มเฟือยเกินไปอยู่บ้าง

เวลานี้หลี่หลินลุกขึ้นมายืนได้แล้ว เขาเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก เอ่ยเสียงดังว่า “ตั้งค่ายกลโลหิตสังหาร หากปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว พวกเจ้าก็จงเชือดคอตัวเองไปเสียเถิด”

ด้านนอกโถงบุปผามีเสียงขานตอบดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินตอบกลับมา หลังจากนั้นเสียงคมศาสตราวุธ เสียงสายธนูน้าวสายก็ดังขึ้น ท่ามกลางเสียงเหล่านี้ ชิวอวี้เฟยได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นดั่งขุนเขากับเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดุจสายลมมากมาย ฝีมือของคนเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า ในหมู่พวกเขายังมีสองคนที่วรยุทธ์เหนือกว่าองครักษ์ทั้งสองที่อยู่ด้านในห้องโถง ขบวนองครักษ์เช่นนี้มิด้อยกว่าของฉีอ๋อง

จู่ๆ ชิวอวี้เฟยก็รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าตนเดินเข้ามาติดกับดักเสียแล้ว แต่ผู้ใดจะสิ้นเปลืองความคิดถึงขนาดนี้เพื่อจัดการตน ต่อให้เชื้อพระวงศ์ต้ายงต้องการกำจัดพรรคมารก็คงไม่เลือกช่วงเวลานี้ที่ยังกำราบเจียงหนานมิได้

เพียงแต่เวลานี้ชิวอวี้เฟยมิมีเวลาขบคิดเรื่องราวเหล่านี้แล้ว เขาทำได้เพียงหันกลับไปมองหลิงอวี่ ในดวงตามีแต่ความรู้สึกผิด เขารู้แล้วว่าอาศัยกำลังของตนคงไม่มีหนทางช่วยนางออกไปได้ เขาเอื้อมมือมากุมมืองามของหลิงอวี่ หลิงอวี่เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาสุกสกาวกระจ่างใสดุจธารามีแต่ความซาบซึ้ง ดวงตาสี่ข้างสบประสาน สายตาถักทอเข้าด้วยกัน ยากจะแยกจากกันอีก

ผ่านไปเนิ่นนาน ชิวอวี้เฟยก็ถอนหายใจยาวเอ่ยขึ้นว่า “จยาจวิ้นอ๋อง เจ้าคงทุ่มกำลังขบคิดอย่างยากลำบากจริงๆ ดูเหมือนเจ้าจะวางกับดักรออยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าระหว่างผู้แซ่ชิวกับเจ้ามีความแค้นลึกล้ำประการใด จึงทำให้เจ้าต้องสิ้นเปลืองความคิดวางกับดักกันเช่นนี้”

ดวงตาของหลี่หลินทอประกายเย็นยะเยือก เอ่ยเสียงเรียบเฉยว่า “ข้างกายของข้ามีองครักษ์คุ้มกันมากมายดุจมวลเมฆเช่นนี้ตลอดมาอยู่แล้ว ท่านอาชิวกล่าวเกินไป ข้าเคารพคุณชายสี่อย่างยิ่งมาตลอด ต่อให้มิเห็นแก่พรรคมาร ก็ต้องเห็นแก่มิตรภาพระหว่างท่านอาเขยกับคุณชายสี่ ขอเพียงทิ้งสตรีนางนี้ไว้ ให้ข้าจัดการตามใจ เรื่องราวในวันนี้ ข้าจะถือเสียว่ามิเคยเกิดขึ้น”

ดวงตาของชิวอวี้เฟยฉายแววเศร้าสร้อย ตอบอย่างนิ่งสงบว่า “หลิงอวี่เป็นภรรยาที่ยังมิเข้าพิธีของผู้แซ่ชิว หากจยาจวิ้นอ๋องต้องการทำร้ายคน ถ้าเช่นนั้นก็นับรวมผู้แซ่ชิวเข้าไปด้วยเถิด”

หลี่หลินฟังจบ ในใจก็รู้ว่าชิวอวี้เฟยเริ่มคิดจะยอมแพ้แล้ว ทว่าตามที่หารือกับฮั่วฉงก่อนหน้านี้ ตนเองจะปล่อยไปง่ายๆ มิได้ ดังนั้นเขาจึงจงใจทำสีหน้ามาดร้าย กล่าวอย่างหยิ่งยโส “คุณชายสี่กล่าวเกินไปแล้ว มิว่าฝ่าบาทหรือเสด็จพ่อของข้าก็เคารพพรรคมารอย่างยิ่ง แล้วคุณชายสี่ยังเป็นสหายคนสนิทของท่านอาเขยอีก แม้หลี่หลินใจกล้าอีกเท่าใดก็มิกล้าล่วงเกินคุณชายสี่

เพียงแต่สตรีนางนี้เป็นทายาทที่เหลืออยู่ของสำนักเฟิงอี้ แม้แต่พรรคมารก็ยังมิยอมให้สตรีนางนี้ก้าวเข้าสำนัก มิเช่นนั้นคุณชายสี่จะถูกบีบให้เก็บตัวฝึกวิชาได้เช่นไร ดูท่าการมาของคุณชายสี่ในวันนี้ก็คงมิได้รับอนุญาตจากประมุขพรรคมาร ต่อให้ข้าละเว้นสตรีนางนี้ คุณชายสี่จะเป็นอริกับพรรคมารได้หรือ

ช้าเร็วต้ายงย่อมรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งสำเร็จ แม้ข้าจะเคยแต่ได้ฟังเรื่องเล่าความสามารถของพรรคมาร แต่ข้าก็ทราบว่าพรรคมารมิธรรมดา ต่อให้ใต้หล้ากว้างใหญ่ก็มิมีที่ใดให้คุณชายสี่อาศัย ทิ้งสตรีนางนี้แล้วกลับไปขอขมาประมุขพรรคมารจึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง”