ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 151 ตราบชั่วฟ้าดินสลาย (4)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ชิวอวี้เฟยใจสะท้าน ท่านอ๋องหนุ่มผู้นี้เอ่ยแต่ละคำแทงลึกลงในหัวใจคน ทำให้เขายากจะโต้แย้ง ทว่าเมื่อสายตาเลื่อนไปจับบนใบหน้าซีดเผือดของหลิงอวี่ เขาก็มิอาจผละจากไปได้ แม้นกายแหลกสลายเป็ยผุยผงก็ยากตัดใจจากคนรู้ใจเช่นนี้

เขาเงยหน้าตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้ารับการสั่งสอนจากค่ายกลโลหิตสังหารของจยาจวิ้นอ๋องสักหน่อยเถิด หากผู้แซ่ชิวพาหลิงอวี่จากไปได้ เรื่องนี้ก็จบตรงนี้ใช่หรือไม่”

หลิงอวี่ได้ยินคำนี้พลันตกตะลึง นางร่อนเร่อยู่ในโลกแห่งคาวโลกีย์มาหลายปี เคยเห็นคนทรยศเห็นแก่ตัวมาจนชิน ประตูหัวใจของนางถูกลั่นกลอนไว้นานแล้ว นางก้มหน้าก้มตาฝึกฝนเพียงศาสตร์พิณ มิยินดีเอาตัวไปยุ่งกับเรื่องทางโลก

ช่วงเวลายาวนานหลายปีมีเพียงหลิ่วหรูเมิ่งที่ได้ความไว้เนื้อเชื่อใจและความนับถือจากนางไปทีละเล็กทีละน้อยระหว่างสองปีที่ผ่านมา ส่วนชิวอวี้เฟย แม้เขาจะเป็นคนที่นางหลงรักหัวใจคะนึงหา แต่นางกลับมิได้เชื่อถือเขานัก ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ หากชิวอวี้เฟยถูกบีบให้ทอดทิ้งตน นางก็มิรู้สึกผิดคาดแต่อย่างใด ทว่าสุดท้ายชิวอวี้เฟยกลับมิทอดทิ้งนาง

น้ำตาใสสองสายไหลรินลงมาอย่างมิรู้ตัว กระซิบแผ่วเบาว่า “ไยต้องทำเช่นนี้ เดิมทีคุณชายสี่มีอนาคตอันรุ่งโรจน์รออยู่เบื้องหน้า ไยต้องล่วงเกินผู้คนทั้งหลาย อกตัญญูต่ออาจารย์เพื่อหลิงอวี่”

หัวใจของชิวอวี้เฟยหนักอึ้ง พอก้มหน้าลงก็เห็นดวงตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำของหลิงอวี่เหลือแต่ความแน่วแน่ หลังจากนั้นมืองามดั่งหยกที่ถูกเขากุมไว้จู่ๆ ก็อ่อนยวบดุจไร้กระดูก ลื่นหลุดจากฝ่ามือของชิวอวี้เฟยอย่างง่ายดาย เบื้องหน้าพร่าลายเพียงวูบเดียว หลิงอวี่ผู้เดิมทีนั่งอยู่บนเก้าอี้บรรเลงพิณก็เหินร่างออกไปอีกทางหนึ่ง เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นพลิ้วไหวเลี้ยวลดข้ามเวหาดุจมัจฉา ชื่ออันเลือนรางชื่อหนึ่งผุดขึ้นในความคิดของชิวอวี้เฟย เขาร้องตะโกนอย่างตกใจ “วิชาหยกดาราสังหาร หลิงอวี่อย่าวู่วาม”

กล่าวจบก็พลันเอื้อมสองแขน กระโจนตรงไปหาหลิงอวี่ หมายจะหยุดนางไว้ แม้วิชาหยกดาราสังหารจะเป็นวิชาต่อสู้ประชิดตัวที่น่ากลัวที่สุดวิชาหนึ่ง ทว่าก็มีข้อจำกัดมากมายนัก ยามใดใช้วิชานี้ ส่วนมากมักมีจุดจบแหลกลาญทั้งสองฝั่ง หลิงอวี่มิใช่คนจิตใจโหดเหี้ยม หากใช้มัน เกรงว่ากลับจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม

ทว่าการเคลื่อนไหวของหลิงอวี่ลื่นไหลดั่งมัจฉา เรือนร่างอรชรคล้ายอสรพิษไร้กระดูก ยามใดชิวอวี้เฟยใกล้จะคว้าตัวนางจากกลางอากาศได้ นางก็จะหมุนตัวหลบกลางเวหาอย่างกะทันหันคล้ายกับมัจฉาแหวกว่าย แม้ชิวอวี้เฟยจะเปลี่ยนกระบวนท่าได้ทันท่วงที แต่ก็คว้าจับมาได้เพียงเศษกระโปรงของนางเท่านั้น คลาดไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด หลิงอวี่ก็พุ่งทะลุหน้าต่างของโถงบุปผาออกไปด้านนอกเสียแล้ว

ชิวอวี้เฟยมิสนใจอาการบาดเจ็บอีกต่อไป เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วรีดเค้นลมปราณ ร่างกายไล่ตามผ่านหน้าต่างไปราวกับลูกธนู เดิมทีหลิงอวี่ตั้งใจจะตายอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อโผร่างออกมาแล้ว นางจึงมิเร่งเร้าพลังภายในต่อ เพียงปล่อยให้ร่างร่วงหล่นลงไปหาพื้น ทว่าร่างกายของนางยังมิทันตกต้องพื้น นางกลับร่วงลงในอ้อมแขนของคนผู้หนึ่ง หลังจากนั้นนางรู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบด้านพร่าเลือนจากสายตา สายลมหนาวพัดโถมปะทะใบหน้าทำให้นางแทบจะลืมตามิขึ้น แต่นางไม่ดิ้นรน เพราะนางมิจำเป็นต้องหันหลังกลับไปก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยและห่างเหิน หูได้ยินเสียงลูกธนูแหวกอากาศดังหวีดหวิว ทว่าในหัวใจนางกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่เศษเสี้ยว นางเพียงพยายามกระตุ้นลมปราณใช้วิชาตัวเบาอย่างสุดความสามารถโดยที่มิกล้าขยับแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าการเคลื่อนไหวใดๆ ของตนจะส่งผลกระทบต่อชิวอวี้เฟย

ชิวอวี้เฟยมิเสียใจแม้แต่น้อย ห้วงจิตอันใสกระจ่างดุจกระจกสะท้อนภาพเส้นทางและพละกำลังที่มากพอจะทะลวงเหล็กกล้าของลูกธนูเหล่านั้น ลุกธนูทั้งหมดสามสิบหกดอกถักทอเป็นตาข่ายสวรรค์จู่โจมเข้ามาหาทั้งสองคน สกัดเส้นทางรอดทั้งหมดเอาไว้จนสิ้น ต่อให้เขายังมิบาดเจ็บก็มิกล้ารับประกันว่าจะหนีรอดไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน นับประสาอะไรกับเมื่อยามนี้บาดเจ็บหนักยังมิทันได้รักษาแล้วยังพาสตรีนางหนึ่งมาด้วย ทว่าเขาก็ยังพยายามใช้ร่างกายบังหลิงอวี่ไว้จนมิด มิสนใจแม้แต่น้อยว่าอาการบาดเจ็บจะหนักขึ้น ในหัวใจมีเพียงหนึ่งความคิด ต้องช่วยหลิงอวี่ออกไปจากที่แห่งนี้ให้จงได้

หัวใจของเขารู้ดีว่าหลิงอวี่มิได้ต้องการจะหนี แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ยังรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนั้นหากพุ่งออกไปย่อมมีโอกาสมากกว่าครึ่งที่จะรนหาที่ตาย หลิงอวี่เป็นสตรีจิตใจงดงามฉลาดเฉลียว จะมิทราบได้เช่นไร นางเพียงแต่มิอยากลากตนเข้ามาเคราะห์ร้ายด้วย ตนเองเป็นบุรุษผู้หนึ่ง แต่กลับปกป้องหญิงที่รักไว้มิได้ แล้วมีชีวิตอยู่ไปจะมีความหมายอันใด

ชั่วขณะที่ลูกธนูคมกริบพุ่งทะลุอาภรณ์ของเขา ชิวอวี้เฟยก็ใช้กำลังที่มีทั้งหมดปัดป้องห่าลูกธนูระลอกแรกจนแทบหมดสิ้นเรี่ยวแรง ทว่าทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงสายธนูดีดผึง ห่าลูกธนูระลอกที่สองพุ่งเข้าจู่โจมเขาในยามอ่อนแอที่สุด ชิวอวี้เฟยฝืนโคจรลมปราณ สะบัดแขนเสื้อ ทว่าทันใดนั้นเขาก็หน้ามืดตาลาย เขาทราบทันทีว่าอาการบาดเจ็บเดิมของตนเองกำเริบแล้ว

ขณะที่เขากำลังสิ้นหวัง ทันใดนั้นสุ้มเสียงที่ราวกับน้ำแข็งกระทบกับหยกก็ดังลอยเข้ามาในหู “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้”

ในเวลาเดียวกันนี้เสียงอันเข้มงวดน่าเกรงขามอีกเสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบด้วย “อวี้เฟยหยุดมือ”

สองประโยคนี้ล้วนเอ่ยออกมามิดังกังวานนัก ทว่ากลับทะลวงตรงเข้าไปยังหัวใจของทุกคน แต่ละคนเกิดความรู้สึกหลอนว่าคนที่เอ่ยวาจายืนอยู่ข้างกายตนเอง ฝ่ายชิวอวี้เฟย แทบจะในเวลาเดียวกับที่เขาได้ยินเสียงสองเสียงนี้ เขาก็เลิกล้มการขัดขืนทั้งปวง ปล่อยร่างให้ร่วงลงไปเบื้องล่างราวกับว่าวสายขาด

ลูกธนูที่พุ่งมาหาเขาเหล่านั้นถูกพละกำลังสายหนึ่งกระแทกสะบั้นหักกระเด็นออกไปรอบด้าน เศษลูกศรที่หักร่วงเกลื่อนพื้น แต่ชิวอวี้เฟยมิมีเวลาสนใจ พอหล่นลงมาถึงพื้น เขาก็ปล่อยหลิงอวี่ ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ ทว่าเส้นลมปราณที่แต่เดิมลมปราณไหลลื่นดุจเม็ดไข่มุกยามนี้กลับขาดเป็นห้วงๆ บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อซึมออกมาอย่างช่วยมิได้

หลิงอวี่รู้สึกราวกับตนเองตกอยู่ในความฝัน เมื่อครู่นางยังดิ้นรนอยู่บนขอบเหวแห่งความเป็นความตาย ทว่าทันใดนั้นจู่ๆ ลูกธนูเหล่านั้นก็หักครึ่งดีดกลับไป ส่วนตนเองกับชิวอวี้เฟยร่วงตกลงมาพื้น แม้แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ชิวอวี้เฟยก็ยังปกป้องตนเองอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มนั่งโคจรลมปราณบนทางเดินปูหินที่ยังมีสัมผัสเปียกชื้นหลังหิมะตก หลิงอวี่ทำได้แต่คุกเข่าอย่างร้อนใจอยู่ข้างเขา

เวลานี้เอง จู่ๆ ในสวนกลับมีคนเพิ่มมาสองคน หลิงอวี่แทบจะมองเห็นมิชัดว่าทั้งสองคนนี้มาอยู่ข้างกายตนเองได้เช่นไร คนหนึ่งในนั้นเป็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์สีเทา โครงหน้ารูปสี่เหลี่ยมดูเที่ยงธรรมน่าเกรงขาม เพียงเขาเหลือบมองหลิงอวี่อย่างเฉยชา หลิงอวี่ก็พลันรู้สึกว่าเลือดลมปั่นป่วนจนเกือบจะฟุบลงไปบนพื้น ทว่าทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าลมปราณเย็นเฉียบสายหนึ่งข้ามผ่านอากาศแทรกซึมเข้ามาในร่าง นางรู้สึกว่าสติกลับมาแจ่มชัด ลมหายใจสงบลงอย่างฉับพลันทันใด นางเงยหน้ามองก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาสีหน้าเย็นชาดุจหิมะหนึ่งในสองคนนั้นกำลังยิ้มละไมให้ตนเอง

นางย่อมมิทราบว่าบุรุษสองคนนี้แอบเอาร่างของตนเป็นที่ประลองฝีมือกันหนึ่งกระบวนท่า นางเอาแต่มองชิวอวี้เฟยอย่างกังวลใจ แม้แต่ภาพที่บุรุษเส้นผมสีเทาจอนผมสีขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาท่ามกลางองครักษ์มากมายห้อมล้อมแล้วออกคำสั่งเสียงเบา ไล่องครักษ์ที่ดักซุ่มอยู่ในสวนทั้งหมดออกไป นางก็มิสนใจสักนิด นางเอาแต่มองเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากของชิวอวี้เฟยอย่างกลัดกลุ้มกังวล ทว่ามิกล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปเช็ดหยดเหงื่อบนหน้าผากให้เขา