ต้วนหลิงเซียวครุ่นคิดในใจหลายตลบก็รู้สึกว่ามีเหตุผล มิว่าอย่างไรเรื่องราวระหว่างสตรีนางนี้กับอวี้เฟยก็ยากจะปกปิดแล้ว หากปล่อยให้สตรีนางนี้ร่อนเร่ในยุทธภพ นางหาที่พักพิงสักแห่งพบได้ก็ดีไป แต่หากโชคร้ายถูกผู้อื่นเอาไปเป็นนางบำเรออนุภรรยาแล้วเล่าลือออกไป ไฉนมิใช่ทำให้อวี้เฟยอับอายขายหน้า มิสู้ทำตามวิธีของเจียงเจ๋อจะดีกว่าหน่อย
ชั่วความคิดแล่น เขาก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างอดมิอยู่ แม้ฉากหน้าจียงเจ๋อจะทำเพื่อหน้าตาของพรรคมาร แต่ในความคิดของเขา เจียงเจ๋อคงจะตั้งใจให้หลิงอวี่ผู้มีรูปโฉมล้ำเลิศผู้นั้นได้มาอยู่ข้างกายอวี้เฟยสักสองสามปี มิเพียงทำให้ความรักระหว่างทั้งสองคนยิ่งลึกซึ้ง แม้แต่ท่านอาจารย์บางทีก็อาจจะใจอ่อน
ถึงจะมองความตั้งใจของเจียงเจ๋อออก แต่อย่างไรเสียเขาก็ใจอ่อนไปแล้ว ในที่สุดจึงถอนหายใจยาวบอกว่า “ในเมื่อเจียงโหวกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่ต้วนจะรับภาระนี้ พาพวกเขาสองคนกลับไปขอขมาท่านอาจารย์”
ชิวอวี้เฟยได้ฟังก็ยินดียิ่งนัก โขกศีรษะซ้ำๆ กล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่ที่เมตตา”
หลิงอวี่สับสนมึนงง นางคำนับขอบคุณตามชิวอวี้เฟยอย่างมิค่อยมีสติแจ่มชัดนัก เมื่อเห็นต้วนหลิงเซียวเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ถึงทราบว่าในที่สุดตนเองก็หลุดพ้นจากชีวิตอันแสนเศร้าแล้ว ทว่าหัวใจเพิ่งยินดีปรีดาเพียงชั่วครู่ก็นึกถึงหลิ่วหรูเมิ่งผู้มีชะตาเดียวกันขึ้นมา
จากบทสนทนากระท่อนกระแท่นที่นางเคยได้ยินทำให้ทราบว่าตอนนี้หลิ่วหรูเมิ่งอยู่ที่จวนของเจียงเจ๋อ นางคิดจะขอร้องวิงวอน ทว่าทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องสมัยก่อนที่อาจารย์มักจะด่าทอเจียงเจ๋อว่าชั่วช้าเลวทราม โหดเหี้ยมอำมหิต เป็นศัตรูที่มิอาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันกับสำนักเฟิงอี้ วันนี้เขาช่วยพูดแทนตนเอง คงเป็นเพราะเห็นแก่ชิวอวี้เฟย หากตนขัดใจเขา เขาเพียงพูดจาง่ายๆ ไม่กี่ประโยคก็คงทำให้ตนตกสู่ห้วงทะเลแห่งความทุกข์ได้อีกหน ในใจจึงบังเกิดความขลาดกลัว
นางลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากด้วยการประคองของชิวอวี้เฟย ขณะที่มองเห็นเจียงเจ๋อกับคุณชายใหญ่ต้วนผู้นั้นกำลังจะพากันจากไป ทันใดนั้นนางพลันบังเกิดความกล้าหาญมากมายมหาศาล ขืนตัวออกจากแขนของชิวอวี้เฟยแล้วคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง ตะโกนว่า “เจียงโหว ผู้น้อยมีเรื่องจะขอร้อง!”
เดิมทีข้ากำลังสนทนาเรื่องเก่ากับต้วนหลิงเซียวอยู่ เชื้อเชิญเขาให้ค้างแรมที่จวนของข้าสักสองสามวัน แต่แล้วก็ได้ยินน้ำเสียงแน่วแน่แต่แฝงความหวั่นกลัวของหลิงอวี่ดังมาจากเบื้องหลัง ข้างงงันอย่างห้ามมิได้ ความจริงข้ามิได้ใส่ใจสตรีนางนี้นัก เพราะว่านางมิได้อันตรายอย่างใด อีกทั้งอวี้เฟยก็รักปักใจต่อนาง รักเรือนย่อมต้องรักวิหคในเรือนด้วย ทว่าจู่ๆ นางกระทำเช่นนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจ ข้าหยุดฝีเท้าถามเสียงเรียบเฉย “เรื่องใดหรือ”
หลิงอวี่มิทราบว่าเกิดอันใดขึ้น จู่ๆ นางพลันรู้สึกว่ารอบด้านเงียบกริบ แม้บุรุษเรือนผมสีเทาจอนผมสีขาวผู้นั้นจะหันหลังให้ตนอยู่ แต่ตนกลับรู้สึกเหมือนว่าสายตาอันทะลุทะลวงถึงจิตใจผู้คนของเขากำลังหยุดอยู่บนร่างของนาง ห้วงเวลานั้นนางบังเกิดความหวาดกลัวท่วมท้น ฉับพลันรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นี้จู่ๆ ก็น่ากลัวอย่างที่สุด แม้นชิวอวี้เฟยกับต้วนหลิงเซียวมีใจจะช่วยนางก็คงไร้กำลังทำสิ่งใด
ทว่ามินานนางก็สงบใจได้อย่างรวดเร็ว พอหวนนึกถึงสภาพโศกเศร้าแทบวางวายของหลิ่วหรูเมิ่ง นางก็เชิดหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพ “ผู้น้อยหาใช่มิประมาณตน เพียงแต่พี่หรูเมิ่งเคยมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อผู้น้อย ผู้น้อยมิอาจมิตอบแทน สองปีก่อนผู้น้อยชีวิตพลิกผัน หากมิใช่เพราะหลิ่วหรูเมิ่งยื่นมือมาช่วย ผู้น้อยคงอยู่มิสู้ตาย
หนนี้เจ้าแคว้นต้องการเจรจาสงบศึก ใช้กำลังบีบบังคับพาตัวพี่หรูเมิ่งกับผู้น้อยมาอยู่ในรายการของบรรณาการ ผู้น้อยโชคดีได้คุณชายสี่ช่วยเหลือ ได้ท่านโหวละเว้นโทษจึงรอดพ้นจากหายนะ แต่พี่หรูเมิ่งยังติดอยู่ในห้วงทุกข์ ขอท่านโหวโปรดเมตตาสักหน คืนอิสระให้พี่หรูเมิ่งด้วยเถิด”
ข้าต้องมองหลิงอวี่ผู้นี้ใหม่เสียแล้ว มิใช่สตรีทุกคนจะระลึกถึงพี่น้องร่วมชะตาได้ในเวลาเช่นนี้ แล้วยังนึกตอบแทนบุญคุณอีก หัวใจข้าเกิดความรู้สึกชื่นชม กำลังคิดจะบอกนางว่ามิต้องกังวลเรื่องของหลิ่วหรูเมิ่ง ทว่าหลี่หลินที่อยู่ด้านข้างกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน “เฮ้ย เจ้ายุ่งมิเข้าเรื่องมากเกินไปแล้ว อาเขยของข้าฐานะสูงส่งอำนาจมากมาย จะดูแลพี่หรูเมิ่งของเจ้ามิได้หรือไร”
ข้านิ่งอึ้งชั่วขณะ หลี่หลินพูดจาเหลวไหลอันใดกัน เขาคิดว่าข้าลุ่มหลงนารีจริงๆ หรือไร ยังมิทันคิดตกว่าจะอธิบายเช่นไร หลิงอวี่ก็ก้มลงคำนับอีกหน “ท่านโหวย่อมสูงศักดิ์เปี่ยมอำนาจ ผู้น้อยทราบว่าบทกวีของท่านโหวเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า หากได้รับความโปรดปรานจากท่านโหว พี่หรูเมิ่งย่อมมิรู้สึกคับแค้น
เพียงแต่พี่หรูเมิ่งมีคนรักที่สาบานจะครองรักกันมิว่าเป็นหรือตายอยู่แล้ว เมื่อคืนวานคุณชายซ่งบุกเข้ามาในค่ายหวังจะช่วยพี่สาวจากไป แต่กลับบาดเจ็บหนักถูกจับตัวไป ยังมิทราบว่าเป็นหรือตายอย่างไร ผู้น้อยเคยได้ยินว่าท่านโหวกับองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อแห่งต้ายงรักมั่นดุจทองคำ คิดว่าท่านคงเข้าใจความทุกข์ตรมของคนรักที่มิอาจครองคู่ ขอวอนท่านโหวปล่อยพี่หรูเมิ่งด้วยเถิด!”
คุณชายซ่งบาดเจ็บหนักถูกจับตัวไป ข้ากระซิบถามเสี่ยวซุ่นจื่อที่อยู่ด้านข้าง “คุณชายซ่งคนนี้คงมิใช่อวี๋หลุนหรอกกระมัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อแววตาไหววูบ ตอบว่า “คงเป็นเขาแน่แล้ว เขาอยู่ข้างกายหลิ่วหรูเมิ่งมาสามปีกว่า หากมิใช่เขา ยังจะมีผู้ใดขวัญกล้าถึงเพียงนี้บุกค่ายเพื่อช่วยคนอีกเล่า แต่เขาก็ออกจะหัวรั้นเกินไปแล้ว หากมาขอร้องคุณชายให้ช่วยเหลือ ไฉนจะต้องตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บหนักถูกจับตัวเอาไว้”
ข้าขมวดคิ้วนิดๆ ทันใดนั้นก็บังเอิญหันไปเห็นแววตาที่แปรเปลี่ยนไปมาในดวงตาของต้วนหลิงเซียว ข้ามิคิดจะปล่อยให้เขาล่วงรู้ความลับมากเกินไปนัก จึงหันไปสั่งฮูเหยียนโซ่วว่า “ส่งคนไปคณะทูตหนานฉู่ ขอตัวคนมา”
ทันใดนั้นดวงตาของข้าก็ปรากฏจิตสังหารวูบหนึ่ง หากอวี๋หลุนถูกพวกเขาสังหารไปแล้ว ก็อย่าถือโทษที่ข้าคงจะต้องฝังคณะทูตหนานฉู่ทั้งคณะเป็นพิธีส่งดวงวิญญาณให้เขา
หลิงอวี่ได้ฟังดังนี้ก็พลันยินดียิ่งนัก แต่เดิมนางมิกล้าวาดหวัง คิดมิถึงว่าเจียงเจ๋อมิทันรอให้นางหว่านล้อมอ้อนวอนต่อก็ออกคำสั่งให้ช่วยคนแล้ว หากสวรรค์คุ้มครอง พี่หรูเมิ่งกับคุณชายซ่งอาจยังฝ่าฟันความลำบากกลับมาเคียงคู่กันได้อีกครา นางจึงโขกศีรษะคำนับอีกหน “ท่านโหวน้ำใจมากล้น ผู้น้อยโขกศีรษะขอบพระคุณท่านโหวแทนพี่หรูเมิ่ง”
ข้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เหลือบไปมองชิวอวี้เฟยกับต้วนหลิงเซียว พลางคิดในใจว่า คนที่ข้าจะช่วยคือลูกศิษย์มิได้เรื่องของข้าเอง ข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำที่แจ้งข่าวให้ทราบ
ชิวอวี้เฟยย่อมคาดเดาความจริงออกแล้ว เขาก้าวเข้ามาประคองหลิงอวี่ ในดวงตามีความขบขันกับความภาคภูมิใจแฝงอยู่เลือนราง ส่วนสายตาของต้วนหลิงเซียวที่มองมายังหลิวอวี่ก็อ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน มีเพียงตัวหลิงอวี่เองที่มิทราบว่าคำพูดครั้งนี้ทำให้โชคชะตานับจากนี้ของนางถูกกำหนดแน่นอนแล้ว
หลี่หลินลอบยินดีปรีดาอยู่ด้านข้าง แม้เดิมทีจะมีวิธีทำให้ท่านอาเขยทราบเรื่องอวี๋หลุนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้หลิงอวี่ผู้นี้เอ่ยออกมาจึงทำให้เรื่องสำเร็จโดยมิต้องออกแรง ลดเรื่องที่ตนเองต้องวุ่นวายไปได้มาก เขาจึงจงใจพูดขึ้นมาว่า “อาเขยพูดถึงมือสังหารแซ่ซ่งผู้นั้นหรือ เมื่อวานตอนข้าลาดตระเวนค่ายพบว่าเกิดปัญหาในค่ายของคณะทูต จึงเอาตัวคนผู้นั้นมาแล้ว ข้าเห็นคนผู้นั้นใจกล้าดี จึงมิได้สร้างความลำบากให้เขา กำลังให้หมอของกองทัพรักษาแผลให้เขาอยู่”
ข้าได้ยินคำนี้ก็รู้สึกตกใจระคนยินดี แต่แล้วก็ขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “เขามิได้บอกตัวตนของตนเองกับเจ้าหรือ”
หลี่หลินแสร้งตอบอย่างมิใส่ใจ “ไม่นะ ข้าเห็นเขามิเอ่ยปากสักคำ จึงมิได้ถามไถ่สิ่งใดมาก ในเมื่ออาเขยต้องการคนผู้นี้ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปที่ค่ายพาเขาไปส่ง”
ข้าขุ่นเคืองเล็กน้อย อวี๋หลุนดื้อรั้นเกินไปแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้วก็ยังมิยอมก้มหัวให้ข้า ในใจถอนหายใจ ข้ารู้ปมในใจของเด็กคนนี้มาตลอด ช่างเถิด เห็นแก่เพียวเซียง ข้าจะมิทำให้พวกเขาลำบากก็แล้วกัน
ข้ากำชับหลี่หลินให้อีกประเดี๋ยวส่งคนมา จากนั้นข้าก็เชื้อเชิญต้วนหลิงเซียว ชิวอวี้เฟยกลับไปยังที่พำนักด้วยกัน ทว่าดูอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าสองคนนี้ท่าทางเหมือนกำลังชมดูเรื่องน่าขบขันบางอย่าง ต้วนหลิงเซียวนั่นช่างเถิด ความขัดแย้งในอดีตระหว่างพวกเรา เขาคงจะยังมิลืมเลือน แต่ชิวอวี้เฟยออกจะเนรคุณเกินไปหน่อยแล้ว ข้าต่อว่าต่อขานทั้งสองคนในใจ ทว่ากลับยิ้มน้อยๆ ให้พวกเขาไปตลอดทาง มิว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้ผู้อื่นเห็นเรื่องขายหน้าของข้ามิได้ใช่หรือไม่เล่า