เล่ม-1 ตอนที่ 289-1 สืบหาความจริง เด็กน้อยทั้งสาม

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 289-1 สืบหาความจริง เด็กน้อยทั้งสาม

ด้วยความยืนกรานของจีซวง ฉินเฉียวเลยเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจี

คนตระกูลจีปฏิบัติต่อท่านเขยฉินอย่างดียิ่ง ไม่เคยมองลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลมาด้วยสายตาดูแคลนมาก่อน เวลานี้เมื่อมีน้องสาวเข้ามาอยู่อีกคน ตระกูลจีย่อมต้องดูแลเป็นอย่างดี เพียงแต่ที่ช่างไม่ประจวบเหมาะก็คือ บุตรชายของฉินเฉียวนามว่าถงเกอร์เป็นโรคหัด ฉินเฉียวจึงไม่สะดวกเข้าไปทำความเคารพผู้อาวุโสทั้งหลายอย่างเหล่าไท่ไท่ ทุกคนก็ไม่สะดวกจะเข้ามา ดังนั้นจึงสั่งให้คนเอาของขวัญแรกพบหน้าไปให้ที่เรือนสี่

เฉียวเวยก็เตรียมของขวัญไว้เช่นกัน ชิ้นใหญ่ๆ เป็นพวกผ้าไหมหลิวหลัวกับเครื่องประดับอัญมณี

ปี้เอ๋อร์คัดเลือกเครื่องประดับพลางบ่นกระปอดกระแปดว่า “ให้ของดีเพียงนี้ไปไยกัน ไม่ได้บอกว่าเป็นเพียงน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาหรือ ตามปกติไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ท่านเขยเองยังไม่สู้จะต้อนรับนางเลยกระมัง”

เฉียวเวยปลอกส้มพลางเอ่ยอย่างกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “หากท่านเขยไม่ต้อนรับนาง ก็คงไม่เลี้ยงดูนางลับหลังท่านน้าหรอก”

“ฮูหยินสี่คงโกรธแทบแย่เลยกระมัง น้องสาวของท่านเขยมาก็ไม่ยอมบอกนางเช่นนี้” สำหรับคำเรียกขานจีซวง ปี้เอ๋อร์ไม่สู้จะคุ้นปากเท่าไรนัก ว่ากันตามลำดับในตระกูลแล้ว บุตรสาวที่แต่งงานแล้วควรเปลี่ยนไปเรียกว่ากูหน่ายนาย แต่การเรียกขานเช่นนี้ฟังดูห่างเหิน เวลาจีหว่านกลับมาบ้าน บ่าวไพร่ที่ใกล้ชิดสนิทสนมหน่อยยังคงเรียกขานนางว่าคุณหนูใหญ่ จีซวงอาวุโสกว่ารุ่นหนึ่ง ไม่เหมาะจะอยู่ในฐานะคุณหนูอีก จึงเรียกขานตามลำดับของนางคือลำดับที่สี่ แล้วเปลี่ยนไปเรียกฮูหยินแทน

เฉียวเวยไม่ถือสาเรื่องการเรียกขาน แต่นางรู้ดีว่าจีซวงไม่พอใจมากจริงๆ เพียงแต่เวลานี้ก็ถูกกล่อมจนหายโกรธแล้ว

ปี้เอ๋อร์เอาเครื่องประดับใส่กล่องเสร็จก็หันมาเห็นว่าเฉียวเวยกำลังยิ้ม ยิ้มนั้นของนางช่างดูน่าประหลาด นางจึงอดถามไม่ได้ว่า “ฮูหยิน ท่านยิ้มอะไรหรือ”

เฉียวเวยกินส้มเข้าไปกลีบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้ากำลังยิ้มที่ในโลกหล้านี้ช่างมีสตรีบ้าอำนาจมากมายยิ่งนัก สตรีที่มีสมองก็มาก แต่สตรีที่บ้าอำนาจแต่มีมันสมองดูจะมีเพียงไม่กี่คน พี่หว่านอาจจะนับว่าเป็นหนึ่งในนั้นกระมัง”

ปี้เอ๋อร์งุนงงอย่างหนัก “ฮูหยิน ท่านพูดอะไรน่ะ เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ”

เฉียวเวยระบายยิ้มเรียบๆ “ต่อไปเจ้าก็คอยระวังไว้หน่อย อย่าดูแต่ว่าเสี่ยวเว่ยเป็นคนซื่อแล้วคิดเอาเองว่าในท้องเขาไม่มีน้ำเน่าอยู่”

“เหตุใดถึงพูดไปถึงเสี่ยวเว่ยได้” ปี้เอ๋อร์นับว่าเป็นคนปราดเปรื่อง แต่คราวนี้นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเฉียวเวยกำลังเล่นปริศนาอะไรอยู่

เฉียวเวยเหลือบมองนาฬิกาทรายที่อยู่บนกำแพงแล้วเอ่ยว่า “นี่ยังเช้าอยู่ ข้าจะไปนั่งเล่นที่เรือนสี่ ของนั่นเอามาให้ข้าเถิด”

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “ให้ข้าไปดีกว่าเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยจึงบอกว่า “เจ้ายังไม่เคยออกหัด อย่าได้ไปที่นั่นจะดีกว่า”

ปี้เอ๋อร์มองผ้าไหมบนโต๊ะแล้วบอกว่า “ข้าช่วยท่านถือไปถึงหน้าประตูก็แล้วกัน”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “กลัวข้าถือไม่ไหว?”

ปี้เอ๋อร์งึมงำบอกว่า “เวลานี้ไม่เหมือนตอนอยู่ในหมู่บ้าน หากฮูหยินทำอะไรเองมากเกินไป จะกลายเป็นว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่”

“อย่างนั้นหรือ” เฉียวเวยพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าถือแล้วกัน!”

ปี้เอ๋อร์ระบายยิ้ม หอบเอาผ้าไหมกับกล่องผ้าเดินออกจาบ้านชิงเหลียนไป

ตอนที่นายบ่าวสองคนมาถึงเรือนสี่นั้น ฉินเฉียวเพิ่งย้ายเข้าไปในห้องที่เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ห้องนี้อยู่ไม่ไกลจากห้องของจีซวง กว้างขวางและโปร่งโล่ง ดูหรูหรามีเอกลักษณ์ พอจะนับว่าเป็นห้องที่ดีที่สุดรองจากห้องหลักเลยก็ว่าได้ ภายในมีข้าวของเครื่องใช้อยู่พร้อมพรัก อาภรณ์เครื่องประดับล้วนเป็นของจีซวงที่สั่งทำขึ้นแต่ยังไม่มีเวลาได้ใส่เลยสักครั้ง ได้แต่วางอยู่ในห้องเฉยๆ

จีซวงยังได้กำชับกับบ่าวไพร่ว่า ห้ามทุกคนเพิกเฉยต่อน้องสาวของท่านเขย พวกนางให้ความเคารพต่อหว่านอวี๋เช่นไร ก็ต้องเคารพต่อฉินเฉียวเช่นนั้น

คิดถึงเมื่อครานั้นที่ครอบครัวสวินชิงเหยาเข้ามาพักที่เรือนกุ้ยหยวนแล้วเห็นที่จีซวงปฏิบัติต่อฉินเฉียว ก็รู้ได้ทันทีว่าจีซวงให้เกียรติท่านเขยฉินเพียงใด

“กะละมังล้างหน้านี้หว่านอวี๋เคยใช้แล้วครั้งหนึ่ง เปลี่ยนใหม่ก็แล้วกัน!” จีซวงยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน ชี้สั่งการบ่าวไพร่อย่างสงบนิ่ง

“ท่านน้า” เฉียวเวยเดินเข้าไปในเรือน อมยิ้มพลางกล่าวทักทาย

เฉียวเวยเวลานี้เป็นถึงท่านหมอหลักที่ช่วยรักษาคุณชายห้า จีซวงไม่มีเหตุให้เสียมารยาทกับนาง จึงยิ้มพลางเดินลงบันไดมาจับมือนางเอ่ยว่า “เหตุใดถึงมาที่นี่ได้”

เฉียวเวยอมยิ้มพลางบอกว่า “ข้ามาดูอาการน้องห้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง เลยถือโอกาสเอาของมาให้แม่นางฉินด้วย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านางเป็นน้องสาวของท่านเขยจึงละเลยไปบ้าง ขอท่านน้าโปรดอภัยด้วย”

เฉียวเวยนั้นเรียกไม่ได้ว่าละเลยฉินเฉียว นางแย่งกระเป๋าเงินฉินเฉียวกลับมาได้ จับหัวขโมยที่ลอบทำร้ายฉินเฉียวได้ ทั้งยังตรวจโรคให้บุตรชายของฉินเฉียว ถึงอย่างไรก็นับว่าฉินเฉียวติดค้างน้ำใจนางหนึ่งครั้ง เหตุที่กล่าวเช่นนี้แค่เพียงเพราะให้เกียรติฉินเฉียวกับท่านเขยเท่านั้นเอง หากท่านฉินมีเกียรติ จีซวงก็จะสบายใจ

แล้วก็เป็นเช่นนั้น จีซวงได้ยินที่ฉินเฉียวกล่าว รอยยิ้มในแววตาจึงล้ำลึกขึ้นหลายส่วน “เรื่องของเฉียวเฉียวข้ายังไม่ได้ขอบคุณเจ้าเลย”

เฉียวเฉียว…

เฉียวเวยถึงกับขนลุกจนร่วงเกรียวเต็มพื้น…

จีซวงจูงมือเฉียวเวยเข้าไปในห้องหลัก ปี้เอ๋อร์เอาของวางลงบนโต๊ะเสร็จก็ถูกเฉียวเวยไล่กลับบ้านชิงเหลียนไป “ดูยา”

เฉียวเวยดูอาการให้คุณชายห้า อาการป่วยของโรคหัดตามธรรมดาจะอยู่ที่ประมาณสองสัปดาห์ คุณชายห้าเพิ่งเริ่มป่วยได้ไม่นาน ยังต้องมีอาการไปอีกระยะหนึ่ง

“น้องห้าของเจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง” จีซวงถามอย่างเป็นกังวล

เฉียวเวยไม่ปิดบังนาง กล่าวไปตามจริงว่า “เดี๋ยวจะตัวร้อนไปอีกสองสามวัน ซึ่งอยู่ในช่วงอันตรายทั้งสิ้น ต้องคอยระวังตลอดเวลา หากเกิดตัวร้อนไข้ไม่ลง ก็ต้องรีบไปตามข้ามาทันที”

จีซวงขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล พอคิดอะไรได้ก็เรียกเถาจือให้เข้ามา

“ฮูหิยน ท่านเรียกข้า?” เถาจือถาม

จีซวงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าไปบอกให้แม่นางฉินอุ้มถงเกอร์มาที เสี่ยวเวยอยู่ที่นี่ จะได้ช่วยดูอาการให้ถงเกอร์ไปด้วยเลย”

“เจ้าค่ะ” เถาจือถอยออกไป

สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา

เฉียวเวยเพิ่งกินส้มเข้าไป หากดื่มชาตอนนี้จะได้ฤทธิ์แรงเกินไปนางจึงไม่ได้แตะต้องถ้วยชานั้น นางเหลือบมองจีซวงทีหนึ่งแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านน้าช่างดีกับแม่นางฉินเหลือเกิน”

จีซวงถอนหายใจช้าๆ “เฮ่อ ข้าเห็นว่านางน่าสงสาร สตรีตัวคนเดียวพาลูกชายเดินทางรอนแรมมาตามหาสามีถึงเมืองหลวง แต่กลายเป็นไม่พบอะไรทั้งสิ้น ทั้งยังทำบุตรชายป่วยอีก”

เฉียวเวยถือเสียว่าตนเองเชื่อเช่นนั้น

ไม่นานฉินเฉียวก็อุ้มบุตรชายเดินเข้ามา นางทำความเคารพตัวเกร็งทีหนึ่งแล้วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม

จีซวงชี้ไปยังเก้าอี้ข้างๆ เฉียวเวย “เจ้าถือเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตนก็แล้วกัน ไม่ต้องเกร็งไป รีบนั่งลงเถิด”

ฉินเฉียวอุ้มบุตรชายไปนั่งลง

ถงเกอร์ปีนี้อายุได้สองขวบแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะป่วยหรือไม่จึงไม่ค่อยส่งเสียงเท่าไรนัก เอาแต่ซบอยู่กับอกมารดาอย่างเกียจคร้าน สายตาเขากวาดมองไปรอบๆ เป็นระยะ เห็นได้ชัดว่าสนใจสภาพแวดล้อมใหม่ๆ แห่งนี้ไม่น้อย

เฉียวเวยตรวจชีพจรให้ถงเกอร์ ถงเกอร์ป่วยมาก่อนคุณชายห้า จึงมีตุ่มขึ้นมากกว่าเล็กน้อย อาการอย่างอื่นไม่ต่างอะไรกันมากนัก ทั้งสองอายุต่างกัน ปริมาณและสัดส่วนสมุนไพรที่ใช้จึงต่างกันพอสมควร ส่วนฤทธิ์ของยานั้นต้องดูที่สภาพร่างกายของแต่ละคน

เฉียวเวยดึงมือกลับมา “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง กินยาตามเวลาก็พอ”

ฉินเฉียวโค้งกายให้หลายครั้ง ในขณะที่กำลังจะอุ้มลูกออกไปนั้น จู่ๆ เฉียวเวยก็พูดขึ้นว่า “แม่นางฉิน ข้ายังไม่ได้ถามถึงแซ่ของตระกูลสามีเจ้าเลย”

“แซ่โจวเจ้าค่ะ” ฉินเฉียวตอบเสียงเบา

เฉียวเวยระบายยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายโจวมาทำอะไรที่เมืองหลวงหรือ แม่นางฉินอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสอบถามเรื่องส่วนตัวของคุณชายโจว เพียงแต่แม่นางฉินมาเมืองหลวงตั้งนานเพียงนี้แล้วแต่กลับไม่ได้ข่าวคราวของคุณชายโจวเสียที ข้าเองจึงอยากใช้ความสามารถที่มีลองดูว่าจะพอช่วยอะไรได้หรือไม่”

ฉินเฉียวก้มหน้าก้มตาไม่ยอมตอบ

จีซวงเอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “เฉียวเฉียว เจ้าไม่ต้องกลัว เสี่ยวเวยเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”

ฉินเฉียวจึงตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าเขามาทำอะไร ตอนเขาออกเดินทางเขาไม่ได้บอกไว้”

เฉียวเวยจึงถามต่อว่า “เช่นนั้นที่บ้านของพวกเจ้ามีฝีมือในการทำอะไรบ้างหรือไม่ หากรู้ว่าเขาทำอะไรได้จะตามหาได้ง่ายขึ้นมาก”

ฉินเฉียวนิ่งเงียบไม่ตอบ

จีซวงเอ่ยด้วยความร้อนใจ “เจ้าก็บอกมาเถิด พี่ใหญ่ของเจ้าช่วยเจ้าหามานานเพียงนี้แล้วก็ยังไม่ได้ข่าวคราวสักที คิดแล้วด้วยความสามารถของเขาอย่างไรก็คงหาไม่เจอ เวลานี้คงฝากความหวังไว้ได้แค่ที่หลานชายข้าแล้ว!”

ฉินเฉียวอุ้มบุตรชายแน่นขึ้น “เขาตีเหล็กเป็นเจ้าค่ะ”

“ช่างเหล็ก?” จีซวงถามเสียงเบา

ฉินเฉียวหลุบตา “ข้าไม่ทราบ”

จีซวงเอ่ยอย่างไม่ได้อย่างใจว่า “ดีร้ายอย่างไรเจ้าก็เป็นน้องสาวของสามีข้า เหตุใดถึงแต่งงานกับช่างเหล็กคนหนึ่งได้ ครอบครัวเจ้าไม่ช่วยหาสามีดีๆ สักคนมาแต่งงานกับเจ้าหรือ หากหาเองไม่ได้ ขึ้นเมืองหลวงมาหาข้าก็ได้นี่! ข้าจะทำให้เจ้าเสียเปรียบงั้นหรือ!”

ฉินเฉียวกอดบุตรชายต่อไปเงียบๆ

สายตาของเฉียวเวยจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉินเฉียวตลอดเวลา ฉินเฉียวไม่ใช่คนช่างพูด ไม่ชอบประจบประแจงใครไปทั่ว นิสัยนิ่งเงียบ ระแวดระวังกับทุกอย่างรอบตัว ทว่านางกลับไม่ดูว่าเป็นหน้าเป็นตาไม่ได้ บนตัวนางมีรัศมีบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คล้ายต้นโยวหลันใต้แสงจันทร์ อบอุ่น อ่อนโยน แต่กลับมีแววดื้อรั้นเจืออยู่ให้เห็น

หากว่าเรื่องรูปลักษณ์แล้ว จีซวงทิ้งห่างนางไปถึงสองช่วงถนน แต่หากเฉียวเวยเป็นบุรุษคนหนึ่ง นางคิดว่านางจะถูกฉินเฉียวดึงดูดได้ง่ายกว่า

สตรีเช่นฉินเฉียวนี้ ทำให้บุรุษอดที่จะกางปีกปกป้องนางไม่ได้

คงเพราะถูกมองจนเริ่มรู้สึกอึดอัด ฉินเฉียวเลยเบี่ยงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย