ทุกคนเห็นเจียงเจ๋อเริ่มแรกสีหน้าเขียวคล้ำ ต่อมาสีหน้าแดงก่ำ สุดท้ายกลายเป็นสีหน้าซีดเผือดก็ล้วนกังวลใจ ต่างมองหน้ากัน ผู้ใดก็มิกล้าเข้าไปเร่งเร้า
เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นมาเอ่ยเสียงเย็นว่า “โหรวหลันอยู่นี่ คนที่เหลือออกไปก่อน”
เวลาเช่นนี้แม้แต่ต้วนหลิงเซียวกับชิวอวี้เฟยก็มิคิดจะล่วงเกินเสี่ยวซุ่นจื่อ เพียงครู่เดียวทุกคนก็เดินออกไป แม้แต่เสี่ยวซุ่นจื่อก็มิใช่ข้อยกเว้น
ข้าถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง มองไปยังโหรวหลัน โหรวหลันเดินมาตรงหน้าข้าแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าหัวเข่าของข้า นางเงยหน้าขึ้นมองข้าแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ขออภัยด้วย หลันหลันกับพวกเขาร่วมมือกันหลอกท่าน”
ข้าเอื้อมมือมาลูบเรือนผมสลวยของนาง สายตาจับจ้องดวงหน้างามพิลาสที่ทำให้ผู้คนหวั่นไหวดวงนั้น เวลานี้ดวงตาดำขลับสุกสกาวคู่นั้นของโหรวหลันเต็มไปด้วยความอาลัยรักและรู้สึกผิด ข้าถอนหายใจถามว่า “หลันเอ๋อร์ เจ้ามิเข้าใจความตั้งใจของพ่อหรือไร”
ดวงตาของโหรวหลันเริ่มมีหมอกจางๆ ตอบว่า “หลันเอ๋อร์เข้าใจ ครอบครัวของจักรพรรดิ คนส่วนมากจิตใจชั่วร้าย น้อยคนจะจริงใจต่อกัน ท่านพ่อมิปรารถนาให้ลูกทุกข์ใจในภายหน้า พระคุณนี้ความเมตตานี้ หลันเอ๋อร์ชั่วชีวิตก็มิกล้าลืม
แม้นทุกคนมิพูด แต่ข้าทราบดีว่าตนเองมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านพ่อ ทว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาท่านพ่อดีกว่าหลันเอ๋อร์เสียยิ่งกว่าน้องชาย แม้แต่เรื่องที่มิยอมให้หลันเอ๋อร์กับพี่จวิ้นอยู่ด้วยกันก็ล้วนทำไปเพื่อหลันเอ๋อร์ ทว่าข้ารักพี่จวิ้นเพียงผู้เดียว หากมิได้อยู่เคียงคู่กับเขา ชั่วชีวิตนี้ลูกคงมิอาจมีความสุข”
ข้าฝืนกลั้นน้ำตา เอ่ยว่า “สาวน้อยโง่เขลา หากเขาเปลี่ยนใจเล่า บางทีสุดท้ายพวกเจ้าอาจจะมิได้ครองคู่กันตราบจนเส้นผมขาวโพลน เจ้าจะมิเสียใจหรือ”
โหรวหลันร้องเพลงเบาๆ ออกมาท่อนหนึ่ง “ตะวันยามวสันต์ลาลับ ดอกซิ่งปลิวว่อนเต็มผม มอบค่ำคืนวสันต์แก่บุรุษแปลกหน้า หวังตกแต่งเคียงคู่จนแก่เฒ่า แม้ถูกทอดทิ้งไร้ปรานีก็มิเขินอาย”
ข้าใจสะท้านอย่างรุนแรง ยามมองดูโหรวหลันผู้มีสีหน้าเต็มไปด้วยความรักอันหวานล้ำคล้ายกับมองเห็นเพียวเซียงในอดีต ในที่สุดข้าก็อดกลั้นมิไหว ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้า น้ำตาไหลรินเป็นสาย หูได้ยินเสียงอันอ่อนหวานแต่หนักแน่นของโหรวหลันบอกว่า “ท่านพ่อ ต่อให้มิอาจอยู่เคียงคู่ตราบจนเส้นผมขาวโพลน หรือต่อให้ภายภาคหน้าพี่จวิ้นเปลี่ยนใจ ลูกก็จะมิเสียใจเด็ดขาด”
มิรู้ผ่านไปนานเท่าใด ข้าจึงสะอื้นเอ่ยว่า “ได้ บุตรสาวโตแล้วย่อมรั้งไว้ข้างกายมิได้ เจ้าออกไปบอกพวกเขา บอกว่าข้ายอมรับการแต่งงานครั้งนี้แล้ว จำไว้ว่าต้องบอกหลี่จวิ้น หากมีวันใดเขาทำผิดต่อเจ้า อย่าได้โทษข้าหากข้าจะมิละเว้นเขา”
หูข้าได้ยินเสียงโหรวหลันอุทานด้วยความดีใจ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงนางร่ำไห้เพราะดีใจอย่างสุดแสน ตามมาด้วยเสียงเปิดประตู ยังมิทันที่ประตูจะปิดลง ข้าก็ได้ยินเสียงโห่ร้องเปรมปรีดาดังมาจากด้านนอก
ข้าหมุนตัวหันเข้าหามุมห้อง มิปรารถนาจะให้ผู้ใดเห็นสภาพยามข้าน้ำตาไหลนองหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีคนเดินมาอยู่ข้างกาย ข้ามิจำเป็นต้องเงยหน้ามองก็ทราบว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อ เขารู้ใจข้าที่สุดแล้ว เวลานี้เขามิมีทางปล่อยให้ผู้อื่นรบกวนข้าอย่างแน่นอน
ข้าร่ำไห้อย่างเต็มที่ยกหนึ่งก็รับผ้าเช็ดหน้าจากเสี่ยวซุ่นจื่อมาเช็ดคราบน้ำตา ข้าถามว่า “พวกเขารู้กันหมดแล้วหรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้ม “รู้กันหมดแล้วขอรับ คิดว่าตอนนี้ฉีอ๋องก็คงจะรู้แล้วเช่นกัน ข่าวลับที่จะส่งให้ฝ่าบาท ไม่แน่ว่าอาจจะถูกส่งออกไปแล้ว ผ่านไปสองสามวันก็คงมีราชโองการเรียกตัวโหรวหลันกลับเมืองหลวง หลังจากนั้นก็น่าจะเป็นพิธีคัดเลือกพระชายา มิว่าเช่นไรพิธีคัดเลือกภายในก็ต้องมีพอเป็นพิธี เมื่อครู่องค์รัชทายาทบอกข้าว่าเขาแจ้งฮองเฮาแล้วว่าหนนี้จะมิเลือกชายารอง หากหลังจากแต่งงานสามปียังไร้บุตรธิดาค่อยเลือกพระชายารองก็มิสาย”
ข้าพึมพำ “ยังนับว่าเจ้าหนูคนนี้มีมโนธรรมอยู่บ้าง เอาเถิด นับว่าเอาเปรียบเขาแล้วจริงๆ เรื่องอวี๋หลุนเป็นอย่างไร ฮั่วฉงคงมิข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรอกกระมัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อกลั้นขำ “เมื่อครู่คุณชายฉงฝากข้ามาบอกลาท่าน เขาลาออกจากตำแหน่งในกองทัพฝั่งรัชทายาทแล้ว ได้ยินว่าช่วงก่อนหน้านี้เขาส่งจดหมายติดต่อกับภิกษุฟ่าเจินจากวัดไป๋หม่าที่ลั่วหยาง เห็นว่าจะเดินทางไปช่วยภิกษุฟ่าเจินแปลคัมภีร์พุทธศาสนาภาษาสันสกฤต เมื่อครู่เขาออกเดินทางไปแล้ว องครักษ์ที่ติดตามข้างกายเขา ข้าก็ให้เขาพาไปด้วยกัน ถึงอย่างไรยามนี้สงครามก็ยังมิสงบ ระหว่างทางยังมิปลอดภัย
ส่วนเรื่องของอวี๋หลุนกับหลิ่วหรูเมิ่ง แม้แต่การแต่งงานของรัชทายาทกับโหรวหลัน ท่านยังพยักหน้าแล้ว ยังจะสร้างความลำบากให้พวกเขาอีกหรือ ถึงแม่นางหลิ่วจะยังขุ่นเคืองหลังจากทราบว่าอวี๋หลุนเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่บ้าง แต่เห็นแก่ที่อวี๋หลุนยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อนาง นางก็คงมิโกรธจนตัดสัมพันธ์หรอก ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ข้าคิดว่าพวกเขาคงจะมาคารวะท่านเอง”
ข้าถอนหายใจ “ฮั่วฉง เจ้าเด็กคนนี้นับว่าฉลาดทีเดียว ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ดึงผู้คนตั้งแต่บนจดล่างของต้ายงมายุ่งเกี่ยวด้วย หากเขามิไปหลบหน้าหลบตาสักพักย่อมหลงระเริงเกินไป เสี่ยวซุ่นจื่อ พอมองดูเด็กน้อยเหล่านี้ เหตุไฉนข้าจึงรู้สึกว่าตนเองแก่แล้วกันนะ”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างเฉยชา “แก่แล้วก็แก่สิ มิมีสิ่งใดไม่ดีเสียหน่อย ข้าก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
ข้าโต้อย่างมิพอใจ “เหมือนกันเช่นไร ข้ายังอายุมิถึงสี่สิบห้าก็ผมเป็นสีเทาเป็นสีขาวแล้ว แต่เจ้าอ่อนกว่าข้าหกปี ดูอย่างไรก็เหมือนเด็กหนุ่มวัยยี่สิบ ช่างมิยุติธรรมเสียงจริง”
เสี่ยวซุ่นจื่อแววตาวาววับวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “เรื่องนั้นจะสำคัญอันใด อยากคงความเยาว์วัยย่อมมิง่าย แต่อยากดูแก่สักหน่อยง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ ตอนคุณชายผมหงอกเต็มหัวเป็นปู่เป็นตาคนแล้ว ข้าย่อมมิปล่อยให้ผู้อื่นคิดว่าข้าเป็นหลานชายของท่าน”
ข้าหัวเราะลั่นอย่างห้ามตนเองมิได้ การหยอกล้อกับเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นเรื่องสำราญใจเช่นนี้เสมอ มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก ยามนี้หลันเอ๋อร์มีที่พักพิงแล้ว ข้าเองจึงมิมีห่วงอันใดอีกต่อไป ส่วนเซิ่นเอ๋อร์ เจ้าเด็กโง่คนนั้น ข้ามิวุ่นวายใจแทนเขาหรอก
เรื่องของตระกูลลู่ก็จัดการเรียบร้อย แม้แต่ศาลบรรพชนในหนานฉู่ก็มีคนจุดธูปเซ่นไหว้ต่อแล้ว ฝ่าบาทตกลงแล้วว่าเมื่อถึงวสันต์ปีหน้า เจียงไห่เทาจะยกพลบุกตีค่ายทหารหนิงไห่กับกองเรืออู๋เย่ว์ หลังจากนั้นจะล่องขึ้นเม่น้ำบีบเจี้ยนเย่ ต่อจากนั้นกองทัพใหญ่ห้าทางของฉินหย่ง จ่างซุนจี้ จิงฉือ เผยอวิ๋นกับเจียงไห่เทาย่อมกำราบแผ่นดินกว้างใหญ่ของเจียงหนานสำเร็จ วันที่ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งอยู่อีกมิไกลแล้ว ในที่สุดข้าก็มิจำเป็นต้องจมปลักอยู่ในราชสำนักอีก
ข้ายืดเอวบิดขี้เกียจหนหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน เสี่ยวซุ่นจื่อประคองข้าเข้าไปในห้องนอน รอบด้านเงียบสงัดไร้สรรพเสียง แม้แต่เงาคนสักคนก็มิมีให้เห็น เสี่ยวซุ่นจื่อคงรู้ใจข้า ดังนั้นจึงมิอนุญาตให้พวกเขาเข้ามาก่อกวนข้าข้างในนี้ ข้ากลับเข้ามาในห้อง เห็นตั่งนุ่มก็มิอาจฝืนอีกต่อไป ตลอดทั้งวันอารมณ์แล่นพล่านอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้เรี่ยวแรงทั้งหมดของข้าจึงถูกผลาญไปหมดสิ้นแล้ว
จนกระทั่งข้าเอนกายนอนลงบนเตียงถึงเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ข้าครึ่งหลับครึ่งตื่นบอกว่า “จริงสิ เขียนฎีกาแทนข้าที เรื่องโหรวหลันกลับเมืองหลวงคงต้องเลื่อนออกไปอีกสักหน่อย รอตอนที่ยึดเจี้ยนเย่ได้แล้ว ข้ายังต้องพานางไปเยี่ยมเพียวเซียง นางเป็นมารดาในนามของโหรวหลัน ย่อมมิอาจมิไปเซ่นไหว้สุสาน…”
เสี่ยวซุ่นจื่อขานตอบแต่กลับมิได้ยินเสียงเจียงเจ๋อพูดตอบมา เขาหันไปมองจึงเห็นว่าเจียงเจ๋อหลับเสียแล้ว หูได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็ทราบว่าเขาคงเหนื่อยล้าถึงขีดสุด เสี่ยวซุ่นจื่ออดยิ้มน้อยๆ มิได้ เขาจุดธูปหอมสงบจิตใจ จากนั้นถอยออกไปอย่างมือเบาเท้าเบา
เมื่อเดินออกมาด้านนอกจึงเห็นว่าหิมะเริ่มโปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ พวกมันโปรยปรายลอยละล่อง ปุยหิมะละม้ายคล้ายขนห่านคลี่อาภรณ์สีเงินห่มขุนเขาธาราเบื้องหน้าในชั่วพริบตา โลกเงียบสงบ ไร้สุ้มเสียง ราวกับทราบว่านายท่านของตนเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใดจึงมิกล้ารบกวนการพักผ่อนของเขา
จบบริบูรณ์