บทที่ 1159 ปรารถนาดี
คุณย่าซูคิดว่าการที่ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งมีสามีแย่ ก็ถือว่าชีวิตโดนทำลายแล้ว
วันนี้หูเสี่ยวเหลียนต้องออกมาทำธุระนาน เลยเกรงใจที่จะฝากเจ้าของบ้านช่วยดูแลเด็ก ๆ จึงพามาด้วยกัน
ทว่าคุณย่าซูที่เราเพิ่งพบกันครั้งแรกกลับแสดงความตั้งใจจะช่วยดูแลลูกให้
แต่เธอเป็นคนเข้มแข็ง
แม้อีกฝ่ายปรารถนาดี ก็ยังปฏิเสธอย่างแน่วแน่
พวกเขาไม่สามารถช่วยเราไปได้ตลอดอยู่แล้ว
เพราะเธอกับลูกก็ต้องข้ามผ่านชีวิตที่แสนลำบากไปอยู่ดี
ถ้าวันนี้ฝากท่านดูลูก แล้วอนาคตล่ะ?
สุดท้ายปัญหาพวกนี้ก็ต้องแก้เองอยู่ดี
“ขอบคุณค่ะคุณย่าซู เดี๋ยวฉันพาพวกเขาไปเองดีกว่าจะได้ไปดูเองว่าพวกเขาชอบหรือเปล่า ตอนนี้มีสองพี่น้อง อยากให้มีส่วนร่วมในการใช้ชีวิตที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ”
หูเสี่ยวเหลียนมองลูกด้วยสายตาอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความรัก
ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้มีเรื่องอะไรเราจะคุยกัน
ถึงจะยังเด็ก แต่พวกเขามีเหตุผลมาก และไม่เคยสร้างปัญหาให้เลย
ไว้อีกสักสองปีค่อยมาช่วยงานกัน จะได้มาเป็นที่พึ่งให้ด้วย
ไม่ต้องแปลกใจที่คิดแบบนี้ เพราะทำหมันแล้วจะมีลูกก็ไม่ได้แล้ว
ซึ่งมีความเป็นไปได้เดียวคือพึ่งพาลูกสาวทั้งสอง
คุณย่าซูหมายจะพูดอย่างอื่น แต่หลานสาวส่ายหัว
“ไม่เป็นไรค่ะคุณย่า หนูว่าเด็ก ๆ ไม่ซนเลย รู้ความด้วย พาไปด้วยไม่น่ารบกวนอะไร”
“แต่ถ้าเด็กวัยขนาดนี้ตามไปด้วยจะเหนื่อยเอานะ!”
“เด็ก ๆ หนูจะเป็นเด็กดีกันใช่ไหม? ไปกับแม่ต้องลำบากนะ?”
ซูเสี่ยวเถียนก้มหน้าถาม
เธอเข้าใจที่หูเสี่ยวเหลียนจะสื่อ
มันคือความต้องการของคนเป็นแม่ เราต้องเคารพความคิดเธอ
ถึงยังไงอนาคตก็ต้องดูแลตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะช่วยยังไงก็ต้องมีขอบเขตจำกัดอยู่ดี
น้ำเสียงเป็นมิตรทำสาวน้อยชื่นชอบมาก
ทว่าพวกเขาจำได้ราง ๆ ว่าแม่บอกพี่สาวคนนี้เป็นคนไม่ดี
ตอนนั้นแม่ไม่ให้คุยด้วย
แต่ดูตอนนี้พี่เขาเป็นคนดีมากเลย
เหมือนแม่จะชอบด้วย
นั่นหมายความว่าเธอเป็นคนดีใช่ไหม?
เหวินอินลังเล เธอไม่เข้าใจเรื่องนี้ อีกทั้งแม่ยังไม่พูดอะไรให้ฟังด้วยเลยสับสน
“พวกเราจะเชื่อฟังค่ะ!”
เหวินจวินผู้เป็นน้องพยักหน้า
ด้วยความที่อายุน้อยเลยจำอะไรไม่ได้ จึงตอบกลับไปทันที
เหวินอินมองมารดาให้มั่นใจว่าจะไม่โดนคัดค้านถึงค่อยเอ่ย “หนูจะช่วยดูน้องเองค่ะ! หนูจะไม่ดื้อ!”
คุณย่าซูฟังด้วยความปวดใจ
แทบหลั่งน้ำตาออกมาทีเดียว
เด็กตัวแค่นี้รู้ความขนาดนั้นได้ยังไง?
ไม่แปลกใจที่คนมักบอกว่าเด็กจากครอบครัวยากจนจะเก่งตั้งแต่เนิ่น ๆ
เฮ้อ! ต้องมาเจอพ่อคนไร้ความรับผิดชอบแบบนั้น คงไม่แปลกหากจะรู้ความน่ะ
หญิงชราเห็นว่าเด็ก ๆ จะไปด้วยจึงรีบเข้าครัวไปเตรียมของกินไว้ให้
“ฉันรับไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า!” หูเสี่ยวเหลียนรีบปฏิเสธ
คุณย่าซูกล่าว “บ้านเราทำเองจ้ะ ให้เด็ก ๆ กินเถอะ เดินทางไกลเผื่อหิวจะได้มีไว้รองท้อง”
ซูเสี่ยวเถียนรีบกอดแขนแก “คุณย่าใส่ใจดีจัง! นึกถึงเรื่องนี้ไว้ด้วย!”
แววตาหูเสี่ยวเหลียนแสดงความขมขื่นยามได้รับความห่วงใยจากคนแปลกหน้า
แต่เธอทำได้แค่เข้มแข็ง ไม่มีสิทธิ์ที่จะร้องไห้
หลังจากบอกลาคุณปู่คุณย่าซู คนทั้งสีเดินทางไปขึ้นรถประจำทางมุ่งหน้าไปยังเมืองอาหารว่าง
การเดินทางค่อนข้างไกล โคลงเคลงกันมาตลอดทางในที่สุดก็ถึงจุดหมาย
ตอนนี้เป็นช่วงมื้อกลางวันพอดี ที่เมืองอาหารว่างคลาคล่ำไปด้วยลูกค้า
หูเสี่ยวเหลียนที่ตั้งแผงขายข้างทางยังมีลูกค้าเข้าเยอะเลย แต่ไม่เคยเห็นแผงขายแบบไหนที่ลูกค้าเยอะได้ขนาดนี้
เธอมองด้วยความตกใจอยู่นาน ก่อนจะมั่นใจว่านี่คือเมืองอาหารว่างจริง ๆ
“เจ้านาย ที่นี่คือร้านที่บอกไว้หรือ? ต่างจากที่คิดไว้เยอะเลย”
หูเสี่ยวเหลียนไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีระดับขนาดนี้
ถ้าเปิดธุรกิจเล็ก ๆ ของตนไว้ที่นี่คงไม่พอให้เช่าใช่ไหม?
ยังไม่ทันได้ลงมือก็กลัวเสียแล้ว!
“เข้าไปดูกันเถอะค่ะ ฉันเชื่อว่าพี่ต้องชอบที่นี่แน่”
ซูเสี่ยวเถียนดึงเด็ก ๆ เข้าไปในร้าน
แต่คนแม่ดูอยากถอยหลังกลับ
ไม่ได้หรอกนะ ถ้าถอยคราวนี้อนาคตลำบากแน่ ๆ
เด็กสาวคิดเรื่องพื้นที่ไว้ให้แล้ว ก็แบ่งร้านตัวเองที่ขายหลู่เซียงเซียงให้พี่เขาครึ่งหนึ่ง
เพราะเราขายผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ถึงจะมีสำเร็จรูปในบางครั้งแต่กรรมวิธีไม่ได้ยุ่งยาก
พื้นที่ครัวก็ยกให้พี่เขาแล้วกัน
แบ่งเคาน์เตอร์กันคนละครึ่งก็พอแล้ว
ถึงหูเสี่ยวเหลียนจะลังเล แต่ซูเสี่ยวเถียนและลูกสาวทั้งสองกลับผลักประตูกระจกเข้าไปเสียแล้ว จึงทำได้แค่เดินตามเข้าไป
ทว่าตอนที่เห็นด้านนอกยังไม่น่าตะลึงเท่าเข้าไปเห็นในร้าน
ร้านขนาดใหญ่มีที่นั่งมากมาย แต่โดนจับจองหมดแล้ว จะบอกว่าเต็มทุกที่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง
บางส่วนก็มานั่งต่อแถวรอคิวกัน
ธุรกิจดีกันจัง
ไม่อยากเชื่อสายตาสักนิด
แผงร้านทั้งสองฝั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย เจ้าของร้านยุ่งมาก เรียกได้ว่าตัวเป็นเกลียวเลย
หากเป็นตนคงไม่ยอมถอยแน่ ๆ แล้วทำไมเสี่ยวเถียนถึงบอกว่าเราจะตั้งแผงขายได้ล่ะ?
ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ จนมั่นใจว่าทุกร้านมีคนจองหมดแล้ว ไม่มีแผงไหนว่างเลย
“ที่นี่เต็มหมดแล้วนะ” หูเสี่ยวเหลียนตัวหดเล็กอีกครั้ง