บทที่ 1187 คนเขียนจดหมายคือใคร

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 1187 คนเขียนจดหมายคือใคร

บทที่ 1187 คนเขียนจดหมายคือใคร

อีกทั้งเกาต้าผิงยังชอบดื่มเหล้า ตราบใดที่บ้านมีเงิน เขาก็จะไปดื่มเหล้าก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

ถึงแม้ว่าตระกูลเกาจะได้รับการช่วยเหลือจากเกาซื่อ แต่ทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตแบบอัตคัดขัดสน

สวีซื่อเห็นเกาต้าผิงกำลังจะดื่มอีก ไหเหล้าบนโต๊ะนี้เกรงว่าต้องจ่ายอีกไม่น้อย

นางรู้สึกลำบากใจ แต่ก็ไม่กล้าไปสะกิดต่อมโทสะของเกาต้าผิงอีกครั้ง

เกาต้าผิงชอบดื่มเหล้า นั่นเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของงานอดิเรก สวีซื่อนับว่าเป็นคนเข้าใจและเห็นใจคน ครั้นเห็นเขาดื่มเหล้าแค่วันธรรมดา นางก็เลยไม่ได้สนใจเขามาก

“ท่านหัวหน้าครอบครัว ข้าเพิ่งไปดูเหลียนจือมา ทำไมอาการของลูกเรายังไม่ดีขึ้นเลย” สวีซื่อถามอย่างเป็นห่วง

ตอนนี้เกาต้าผิงดื่มไปเยอะจนปากสั่นไปหมด “ไม่เป็นไร ป่วยก็คือป่วย เจ้าไม่เห็นหรือว่าตระกูลกู้ใจกว้างเสียขนาดนั้น สักวันจะต้องไปที่ตระกูลกู้อีกครั้ง ขอให้พวกเขาจ่ายเงินเพื่อรักษาเหลียนจืออีก”

สวีซื่อรู้สึกตื่นเต้นเมื่อนึกถึงคำพูดที่เกาเหลียนจือพูดกับนางในวันนี้ แล้วถามอย่างเป็นห่วง “ข้าเกรงว่าอาการป่วยของเหลียนจือคงยังไม่ดีขึ้นในเร็ววัน สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว”

“มีอะไรเปลี่ยน?” เกาต้าผิงพูดตะกุกตะกัก “ถ้าเขากล้าเปลี่ยน ก็ต้องไปบอกเขา อย่าคิดว่าเขาเป็นซิ่วไฉแล้วจะทำตัวโอหังได้ เขาจะต้องรับผิดชอบครอบครัวผู้หญิงที่ประพฤติดีของข้า”

เกาต้าผิงลุกขึ้น ในมือยังถือจอกเหล้าอยู่ ใบหน้าแดงก่ำ เซไปเซมาพร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ

สวีซื่อรู้ว่าเกาต้าผิงดื่มไปเยอะจริง ๆ จึงรีบรุดไปประคองเขาไว้ “สามี ข้าไม่ได้กลัวว่าตระกูลกู้จะเปลี่ยนใจ แต่ข้ากลัวว่าเหลียนจือจะเปลี่ยนใจต่างหาก”

เพราะตอนนี้เกาเหลียนจือยังคงคิดถึงถังซ่านจู่อยู่ มันไม่ง่ายเลยที่นางจะโน้มน้าวเปลี่ยนใจลูกสาวได้ ถ้าวันหนึ่งถังซ่านจู่มายืนอยู่ตรงหน้านาง เหลียนจือเป็นคนใจอ่อน ไม่แน่อาจถูกถังซ่านจู่ปั่นหัวและพ่ายแพ้อีกครั้ง

“กลัวอะไร” เกาต้าผิงโบกมือแล้วพูดว่า “ถ้าเขาอยากแต่งงานกับลูกสาวข้า ให้เขาเอาเงินมาสิ ถ้าไม่มีเงินก็ไปให้พ้นจากตระกูลเกาของข้า ข้าไม่ต้องการลูกเขยจน ๆ แบบนี้”

สวีซื่อเห็นเกาต้าผิงดื่มไปเยอะจริง ๆ ไหนจะยังพูดจาได้แค่ครึ่งประโยค นางจึงถอนหายใจ รู้สึกว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินข่าวจากอาจั่วเรื่องที่เกาเหลียนจือกับสวีซื่อพูดถึงถังซ่านจู่ กู้เสี่ยวหวานก็คลี่ยิ้ม

นางมอบจดหมายในมือให้ฉินเย่จือ หลังจากฉินเย่จืออ่านจบก็คลี่ยิ้มออกมา “เจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป”

“พวกเรา! นี่ไม่ใช่จดหมายของถังซ่านจู่ที่เขียนให้เกาเหลียนจือหรอกหรือ ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเอามันออกมาใช้ประโยชน์ งั้นคงต้องลำบากเจ้าอีกรอบ แอบพาถังซ่านจู่มาโดยอย่าให้ใครพบเห็น เกาเหลียนจือคนนั้นเกรงว่าจะชอบถังซ่านจู่คนนี้มาก ถ้าสามารถใช้ถังซ่านจู่มาจัดการกับเกาเหลียนจือได้ ข้าว่าเรื่องนี้คงจะได้ผลไม่น้อย”

ขอแค่คนของตระกูลเกาไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เกิดความบาดหมางต่อกัน นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด

วันต่อมา กู้เสี่ยวหวานไปหาเกาเหลียนจืออีกครั้ง และยังนำยาบำรุงไปให้นางด้วย

เกาต้าผิงได้ยินกู้เสี่ยวหวานมาแล้ว เขาก็รั้งกู้เสี่ยวหวานไว้ไม่ให้เข้าไป ทุกคำพูดที่หลุดออกมาเผยให้เห็นว่าเขาต้องการใช้เงินมากเพียงใด

คำพูดนี้มีเพียงว่า เพราะเกาเหลียนจือป่วย นางต้องกินยาบำรุง เลยต้องใช้เงิน

กู้เสี่ยวหวานได้กลิ่นเหล้าเหม็นฉุนจากตัวเขา ทว่านางก็เอาแต่คลี่ยิ้มและไม่ปฏิเสธ ทั้งยังให้เงินเขาไปสิบสองตำลึง เกาต้าผิงจึงรับเงินแล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข

เงินสิบสองตำลึงนี้ เพียงพอให้เขาใช้ถึงสองสามวัน

ขอเพียงพึ่งต้นขาทองคำของกู้เสี่ยวหวาน เกาต้าผิงไม่เชื่อว่าจะไม่ได้เงินจากกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานปล่อยเขาไป เพราะนางตั้งใจที่จะให้เกาต้าผิงมาขอเงินจากนาง

ขอแค่เกาต้าผิงมาขอเงิน ถึงตอนนั้นถ้าทะเลาะกันจริง ๆ กู้เสี่ยวหวานจะใช้ข้ออ้างที่ว่านางให้เงินไปหาหมอ เพื่อหยุดแผนการร้ายของตระกูลเกา

ตอนที่กู้เสี่ยวหวานให้จดหมายแก่เกาเหลียนจือ ทั้งยังบอกอีกว่ามีคนแอบฝากจดหมายฉบับนี้มาให้เกาเหลียนจือ

เกาเหลียนจือตกตะลึงจนพูดไม่ออก นางเหม่อมองซองจดหมายข้างหน้านานมากกว่าจะรู้สึกตัว

กู้เสี่ยวหวานส่งสัญญาณให้นางเปิดดู เกาเหลียนจือรอไม่ไหวจนแทบอยากจะเปิดจดหมายเสียเดี๋ยวนั้น

คำที่คุ้นเคยลอยมาปะทะหน้า เกาเหลียนจือคิดถึงตอนที่พี่ถังเขียนจดหมายฉบับนี้ เขาจะมีสีหน้าแบบไหน

เกาเหลียนจือติดตามถังซ่านจู่ นางจึงรู้จักคำมากมาย และคำที่เขียนออกมา เกาเหลียนจือล้วนเคยได้ยินถังซ่านจู่สอนในวันธรรมดา

แม้ว่าเกาเหลียนจือจะไม่เคยไปสำนักศึกษา แต่การอ่านจดหมายฉบับนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา

กู้เสี่ยวหวานประหลาดใจมากที่เกาเหลียนจือรู้หนังสือ แต่มีคนบอกว่าเกาเหลียนจือมักจะไปที่สำนักศึกษาเมื่อมีเวลาว่าง นางจึงเดาว่าอาจเป็นถังซ่านจู่ที่สอนนาง

เมื่ออ่านจดหมายจบแล้ว เกาเหลียนจือก็ยกมือขึ้นปิดหน้าพลางร้องไห้ออกมา

กู้เสี่ยวหวานมองอีกฝ่าย อาจั่วออกไปยืนที่ประตูเพื่อฟังความเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกทันนี้

ในห้องมีเพียงกู้เสี่ยวหวานกับเกาเหลียนจือ กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถาม “น้องเหลียนจือ เกิดอะไรขึ้นกับคนที่เขียนจดหมายให้เจ้า คนผู้นั้นเป็นคนของเจ้าหรือ”

กู้เสี่ยวหวานแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วพูดต่ออีกว่า “คนผู้นั้นส่งจดหมายมา เขาฝากข้ามาให้เจ้า ท่าทางของเขาดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก ทั้งยังกำชับข้าว่าต้องให้เจ้าตอนที่พ่อแม่เจ้าไม่อยู่”

ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากเกาเหลียนจือได้ยินแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

“พี่เสี่ยวหวาน พี่เสี่ยวหวาน ข้า… ข้า…” เกาเหลียนจือพูดไม่ออก เอาแต่เรียกกู้เสี่ยวหวานอยู่เช่นนั้น กู้เสี่ยวหวานจึงพยักหน้า บอกให้นางพูดช้า ๆ และยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้เกาเหลียนจือด้วยความรักใคร่

เกาเหลียนจือร้องไห้ฟูมฟาย ดวงตาคู่งามพลันแดงก่ำ ครั้นเงยหน้าขึ้นมองกู้เสี่ยวหวาน สีหน้าของคนตรงหน้านางเต็มไปด้วยความกังวล ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตัว…

ว่าตัวเองไม่ควรพูด…

เกาเหลียนจือนึกถึงสิ่งนี้ นางจึงซ่อนจดหมายไว้ใต้ผ้าห่มอย่างใจเย็นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

กู้เสี่ยวหวานเห็นความแตกต่างที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในใจพลันเกิดความสงสัย จากนั้นก็ได้ยินเกาเหลียนจือพูดว่า “ขอบคุณพี่เสี่ยวหวาน สหายคนหนึ่งเขียนจดหมายมาถึงข้า เขาบอกว่าเมื่อรู้ว่าข้าป่วย แต่เขาไม่สามารถมาเยี่ยมข้าได้ ในใจเขาเป็นห่วงข้ามาก จึงขอให้ข้าพักรักษาตัวให้หายดี”

น่าขันยิ่งนัก! แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น แต่ดูจากที่เกาเหลียนจือเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เห็นได้ชัดว่าเนื้อความในจดหมายไม่ใช่แบบที่นางบอก