ตอนที่ 292-1 สืบรู้ความจริง (2)

ท่านเขยฉินไปขอลาหยุดที่สำนักศึกษาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาและบุตร อธิการพอได้ทราบว่าคุณชายห้าป่วยเป็นโรคหัด ก็อนุญาตทันทีโดยไม่พูดอะไรให้มากความ ทั้งยังกำชับท่านเขยฉินว่าไม่ต้องรีบร้อนกลับมา การอยู่เป็นเพื่อนบุตรชายนั้นสำคัญ

ตอนท่านเขยฉินกลับไปถึงเรือนสี่นั้น ฉินเฉียวก็บังเอิญอุ้มถงเกอร์กลับมาจากบ้านชิงเหลียนพอดี ด้านหลังฉินเฉียวมีสาวใช้เด็กคนหนึ่งของเรือนรองตามมา สาวใช้เด็กพอเห็นท่านเขยฉินก็รีบทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ท่านเขย”

ท่านเขยฉินก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วถามฉินเฉียวว่า “พวกเจ้าไปที่ใดกันมา”

ฉินเฉียวไม่ตอบ

สาวใช้เด็กยิ้มตอบว่า “เรียนท่านเขย พวกเขาไปที่บ้านชิงเหลียนกันมาเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยช่วยตรวจดูอาการให้ถงเกอร์เจ้าค่ะ”

“อ้อ” ท่านเขยฉินมองฉินเฉียวด้วยสีหน้ายินดี แล้วหันไปบอกสาวใช้ว่า “ข้ากระหายน้ำ เจ้าไปรินน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่งที”

“เจ้าค่ะ ท่านเขย” สาวใช้เด็กเดินเข้าเรือนไปด้วยความดีใจระคนตกใจที่ผู้เป็นนายกล่าวกับตน

ท่านเขยฉินเดินเข้าไปหาฉินเฉียว ฉินเฉียวเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองเขาสักนิด ได้ยินเพียงเขาถามว่า “ฮูหยินน้อยว่าอย่างไรบ้าง ถงเกอร์เป็นอะไรมากหรือไม่”

“ไม่เป็นอะไรมาก” ฉินเฉียวตอบ

ท่านเขยฉินขยับเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง ครั้งนี้เขาอยู่ห่างกับฉินเฉียวเพียงหนึ่งฉื่นเท่านั้น

“นอกจากตรวจดูอาการแล้ว ฮูหยินน้อยยังพูดอะไรกับเจ้าอีก” ท่านเขยฉินถาม

ฉินเฉียวเหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่งก่อนจะอุ้มบุตรเข้าห้องไป

ท่านเขยฉินมองแผ่นหลังของนางแล้วเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

หลังจากมื้อกลางวัน มีสาวใช้หลายคนมาให้ช่วยตรวจอาการให้ที่บ้านชิงเหลียน ช่วงที่เฉียวเวยไม่อยู่นั้น เวลามีสาวใช้ล้มป่วยโดยมากมักจะไปกันทีหอหลิงจือ หอหลิงจือคิดค่ารักษาไม่แพง โดยทั่วไปพวกนางพอจ่ายกันไหว เพียงแต่ก็มีบางคนที่ป่วยเป็นโรคที่ยากจะบอกกล่าว จึงไม่สะดวกจะไปตรวจกับหมอบุรุษสักเท่าไร

“ปวดจะไม่ไหล ไหลจะไม่ปวด ข้าจะให้ยาอี้หมู่เฉ่ากับเจ้าเพื่อให้เลือดเดินสะดวก กินจนหมดขวดนี้ก็น่าจะหายเป็นปกติแล้ว” เฉียวเวยจ่ายยาให้สาวใช้คนหนึ่ง

สาวใช้ลุกขึ้นด้วยความยินดี “ขอบคุณฮูหยินน้อยมากเจ้าค่ะ!”

เฉียวเวยหยิบขวดยาอี้หมู่เฉ่าจากในตู้มาให้ “เก็บไว้ให้ดีล่ะ กินครั้งละหนึ่งช้อน วันละสามครั้ง”

สาวใช้พอได้ยาก็กลับออกไปด้วยความซาบซึ้ง

เฉียวเวยยืดเอวบิดขี้เกียจแล้วหันไปมองทางประตู “ไม่มีแล้วกระมัง ถ้าไม่มีแล้วก็รีบไปเตรียมรถเร็วเข้า ข้าจะไปรับลูกๆ”

“ยังมีคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าฮูหยินน้อยมีเวลาตรวจให้ข้าหรือไม่”

เป็นเสียงของบุรุษคนหนึ่ง

เฉียวเวยที่บิดขี้เกียจอยู่พลันชะงัก ขยับยืดตัวนั่งตรง พอมองไปทางประตูก็เห็นว่าผ้าม่านเลิกขึ้น เป็นท่านเขยฉินที่เดินเข้ามา

บนหน้าท่านเขยฉินมีรอยยิ้มบางๆ ประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิประดับอยู่ การที่คนในบ้านตระกูลจีชอบเขานั้นไม่ใช่เพราะไม่มีเหตุผล เขามีรูปลักษณ์ที่เป็นเลิศ ขยันขันแข็ง ไม่เพียงเป็นบัณฑิตชั้นดี แต่ยังวางตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ถึงแม้จะมีชาติกำเนิดที่ต่ำเตี้ยไปสักนิด แต่กลับไม่ดูด้อยกว่าใครสักนิด ทั้งยังไม่ได้ใช้เสน่ห์หลอกล่อนางหงส์ ทุกอย่างเป็นไปอย่างพอดิบพอดี

แน่นอนว่าการที่บุรุษแต่งงานเข้าตระกูล ถึงอย่างไรก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องมีเกียรติ หลายปีมานี้น่ากลัวว่าคงเป็นขี้ปากคนไปไม่น้อย ท่านเขยผู้นี้ก็ยังมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ที่เรื่องยังไม่แดงขึ้น เฉียวเวยนึกนับถือเขามาก แต่เวลานี้พอรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไรแล้ว เฉียวเวยก็ยิ่งนับถือเขาขึ้นไปอีก เพราะถึงอย่างไรการแสดงละครได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่ง่ายเลยจิรงๆ

“ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ได้” เฉียวเวยฉีกยิ้มกว้างส่งให้ ลุกขึ้นไปต้อนรับท่านเขยฉินให้เข้ามาในห้องแล้วตะโกนสั่งการว่า “ปี้เอ๋อร์ ชงชาให้ท่านเขยที!”

“เจ้าค่ะ!”

ปี้เอ๋อร์ตอบรับ

“ท่านเขย เชิญนั่ง” เฉียวเวยเชิญท่านเขยฉินให้นั่งในตำแหน่งประธาน

ท่านเขยฉินระบายยิ้มด้วยความเกรงใจ “ข้ามาให้เจ้าช่วยดูอาการสักหน่อย ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”

เฉียวเวยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มาดูอาการแต่อย่างไรก็เป็นท่านเขยของข้านี่ จะเกรงใจกับเจ้าก็ถือเป็นเรื่องสมควร”

ท่านเขยฉินยิ้มรับ

ปี้เอ๋อร์ไปชงชาเข้ามา “ท่านเขยเชิญเจ้าค่ะ”

ท่านเขยฉินยกถ้วยขึ้น ใช้ฝาถ้วยเขี่ยไล่ใบชาที่ลอยอยู่แล้วดื่มเข้าไปเบาๆ “ชานี้ข้าไม่เคยดื่มมาก่อน เป็นชาบรรณาการหรือ”

เฉียวเวยบอกว่า “ชาบรรณาการของปีนี้ไม่ได้ส่งเข้ามาเมืองหลวง นี่เป็นใบชาที่บ้านท่านตาข้าปลูกเอง”

เป็นใบชาจากภูเขาด้านหลังตำหนักธิดาเทพ

ชนเผ่าถ่าน่ามีดินที่อุดมสมบูรณ์ ต่อให้เป็นส้มธรรมดาก็ยังรสเลิศกว่าที่ขายกันข้างนอกมากนัก รสชาติของชาย่อมยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ท่านเขยฉินกล่าวเสียงนุ่มว่า “ช่างปลูกชาได้รสเลิศยิ่งนัก ถ้ามีโอกาส อยากไปเยี่ยมคารวะท่านตาเจ้าสักครั้งจริงๆ

เฉียวเวยระบายยิ้มเอยว่า “มีอะไรยากกัน ข้าจะกลับไปเยี่ยมท่านตาทุกปี หากท่านเขยไม่ถือสา จะกลับไปพร้อมข้าก็ย่อมได้ ท่านตาข้าชอบรับแขก โดยเฉพาะแขกชั้นดีเช่นท่านเขยเช่นนี้ เขาจะต้องชอบท่านมากเป็นแน่!”

ท่านเขยฉินยิ้มอย่างเขินๆ “ดูเจ้าพูดเสียข้าไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเลย”

เจ้ายังไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรอีก เรื่องที่น่าอายกว่านี้เจ้าก็ทำมาแล้ว

อีกอย่าง ข้าก็แค่พูดตามมารยาทไปอย่างนั้น จะพาคนนอกเข้าไปที่ชนเผ่าลึกลึบจริงๆ ได้อย่างไร เนื้อติดมันอย่างชนเผ่าถ่าน่าเช่นนี้ เมื่อใดก็ตามที่ทุกคนรับรู้ น่ากลัวว่าคงได้นำภัยรอบด้านเข้าไปสู่ที่นั้น ข้าใจแคบไว้หน่อยจะดีกว่า

เฉียวเวยดื่มชาไปด้วยสีหน้าคงเดิมก่อนจะอมยิ้มถามว่า “ท่านเขยบอกว่ามาให้ข้าตรวจอาการ ไม่ทราบว่าเจ้าไม่สบายตรงใดหรือ”

ท่านเขยฉินจึงบอกว่า “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแต่เวลากลางคืนข้ามีไอบ้าง กลัวว่าจะแพร่เชื้อให้ซวงเอ๋อร์กับเจ้าห้าเข้า เลยมาให้เจ้าช่วยดูสักหน่อย”

“ท่านเขยเชิญยื่นมือออกมา”

ท่านเขยฉินก็ยื่นมือ

เฉียวเวยคิดถึงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอันแรงกล้าของจีซวงแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาวางลงบนข้อมือเขาก่อน แล้วจึงค่อยจับชีพจรให้เขา

“ดูจากชีพจรแล้วไม่ได้มีอะไรน่าเป็นกังวล คงไม่ต้องกินยา ท่านเขยดื่มน้ำให้มาก กินของเผ็ดให้น้อย เรื่องในห้องหับพยายามลดน้อยลงให้มาก” เฉียวเวยเอ่ยบอกอย่างหน้าไม่แดงใจไม่เต้นแรง

ท่านเขยฉินพลันหน้าซับสีเลือด “ท่านน้าเจ้าเพิ่งออกจากอยู่เดือน พวกเรายังไม่ได้…”

เขาพูดถึงตรงนี้ก็นิ่งไป คล้ายว่าพูดต่อไม่ออกอีก

เฉียวเวยกะพริบตา พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ที่แท้ท่านเขยกับท่านน้าก็ยังไม่ร่วมหอกันเลยหรือ เช่นนี้ก็น่าประหลาดแล้ว ชีพจรของท่านเขยดูอ่อนทั้งหยิน เสียหายทั้งหยาง เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นต้องดื่มยาเท่านั้น แค่ต้องระมัดระวังเรื่องในห้องหับให้น้อยหน่อยก็พอ”

ท่านเขยฉินกระแอมให้ลำคอโล่งแล้วหัวเราะแห้งๆ สองครั้ง “ใช่ว่าเจ้าตรวจผิดหรือไม่”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างใสซื่อว่า “ชีพจรเป็นเช่นนี้ ทว่า…ในเมื่อท่านเขยไม่ได้ร่วมหอกับท่านน้า เช่นนั้นก็คงเป็นข้าที่ตรวจผิดเองกระมัง!”

ท่านเขยฉินเช็ดหน้าผาก

“ท่านเขยร้อนมากหรือ” เฉียวเวยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

ท่านเขยฉินยิ้มออกมา “อ่า มิได้”

เฉียวเวยพับผ้าเช็ดหน้า เอาไปใส่ในตะกร้าที่เตรียมซักแล้วหันไปเหลือบมองนาฬิกาทรายบนกำแพง “หากท่านเขยไม่มีธุระอื่น เช่นนั้นข้าขอตัวไปรับพวกจิ่งอวิ๋นเขาก่อน”

ท่านเขยฉินเอ่ยปากว่า “ข้ายังอยากถามเรื่องอาการป่วยของถงเกอร์กับเจ้าห้า”

เฉียวเวยตอบด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “เวลานี้ทั้งสองไม่เป็นอะไรมาก กินยาต่อไปอีกเพียงสิบกว่าวันก็จะหายเป็นปกติเอง”