ตอนที่ 292-2 สืบรู้ความจริง (2)

ท่านเขยฉินหลุบตามองใบชาในถ้วย “ข้าได้ยินว่าวันนี้เจ้าเรียกถงเกอร์มาที่นี่คนเดียวเพราะอาการป่วยของเขาค่อนข้างรุนแรง”

เฉียวเวยตอบไปตามที่อีกฝ่ายถามว่า “เขามีตุ่มขึ้นมากว่าน้องห้า ข้ากลัวว่าหากเขาเกาจนตุ่มแตก จะแพร่เชื้อได้ เลยให้ยาทาแก้คันกับเขาไปเล็กน้อย”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ท่านเขยฉินถอนหายใจ “เรื่องของฉินเฉียว… เป็นเพราะพี่ชายอย่างข้าดูแลไม่ดีเองเลยทำให้พี่ใหญ่ต้องเจ็บตัว”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ คล้ายเห็นใจ

ท่านเขยฉินดื่มชาไปอึกหนึ่ง “ฉินเฉียวเป็นคนใจไม่กล้า ทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องกฎระเบียบ คงไม่ได้พูดอะไรให้เจ้าไม่พอใจกระมัง”

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคงเดิมแล้วจึงยิ้มน้อยๆ ถามว่า “นางไม่ค่อยพูดอะไรเลย ยามนางอยู่ที่บ้านก็เป็นเช่นนี้หรือ”

ท่านเขยฉินหัวเราะเสียงเบา “ใช่แล้ว นางพูดน้อย เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร นี่ก็สายมากแล้ว เจ้าไปรับเด็กๆ เถิด ข้าก็จะไปดูน้องห้าของเจ้าเช่นกัน”

เฉียวเวยไปส่งเขาถึงหน้าประตูพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านเขยค่อยๆ เดิน”

ท่านเขยฉินพยักหน้า แล้วก้าวเท้าออกจากบ้านชิงเหลียนไป

ปี้เอ๋อร์เดินถือถาดเข้ามาถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ฮูหยิน ท่านเขยป่วยเป็นอะไรหรือ”

เฉียวเวยมองแผ่นหลังท่านเขยฉินที่หายไปตรงปลายทางเดินแล้วตอบเรียบๆ ว่า “ป่วยใจ”

อัครเสนาบดีกักตัวอยู่หลายปี งานในราชสำนักจึงคั่งค้างสุมกันเป็นกองใหญ่ ฮ่องเต้ “ทรงงานหนักจนไม่แข็งแรง” ในที่สุดบ่ายวันหนึ่งที่ลมพัดแรงแสงอาทิตย์เจิดจ้า ร่างกายก็ทนรับต่อไปไม่ไหวจน “ล้มป่วย” ลง ฮ่องเต้เรียกอัครเสนาบดีเข้าไปหาที่พระแท่น บอกว่าตนทำให้การงานล่าช้า บอกให้เขาช่วยแบ่งเบา จากนั้นก็เอาแท่นประทับหยกโยนให้จีหมิงซิว แล้วให้เขาทำหน้าที่แทนทั้งหมด

จีหมิงซิวรู้ดีแก่ใจ ไม่อาจบอกปัดได้ จึงต้องอยู่ในวังต่อตามระเบียบ

เฉียวเวยไม่เห็นจีหมิงซิวกลับมาที่บ้าน นางจึงไปที่บ้านสี่ประสานด้วยตนเอง นางไปหาจีอู๋ซวงแล้วให้เขาส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ไห่สือซาน

วันต่อมา จีหว่านก็ออกมาจากจวนกั๋วกง พร้อมเอาอาหารอันโอชะจำนวนไม่น้อยมาเยี่ยมน้องชาย

ขาของใต้เท้าเจ้าสำนักใกล้จะหายเป็นปกติแล้ว แต่ความสำออยของเขาจึงยังไม่ยอมลงมาเดินเอง ดังนั้นจึงยังใช้เก้าอี้รถเข็นต่อไป ดูจากจุดนี้แล้วก็ไม่แปลกใจที่เขามีบิดาคนเดียวกับหลิวเกอร์

จีหว่านกลัวว่าน้องชายอยู่แต่ในห้องจะอุดอู้ จึงบังคับพาน้องชายเข็นออกมาที่บ้านชิงเหลียน

นางเป็นสตรีกำลังมีครรภ์ ย่อมไม่อาจให้นางเหน็ดเหนื่อยเกินไปได้ แต่ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่ยอมให้มีสาวใช้ หันไปมองหน้าหัวหน้าพรรคเฉียวด้วยความเกียจคร้านก่อนเอ่ยออกมาอย่างกึ่งทอดถอนใจว่า “ให้นางเข็น ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ไป!”

เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “ได้ๆๆ พี่สาวคนนี้จะเข็นให้เอง จะเข็นให้ดีเลย!”

พูดจบนางก็ยกล้อรถเข็นขึ้น

ตัวใต้เท้าเจ้าสำนักหงายไปด้านหลัง สองขาลอยอยู่กลางอากาศ ตกใจจนหน้าขาวซีด “เจ้าทำอะไรน่ะ!”

เฉียวเวยเลยบอกยิ้มๆ “เข็นเจ้าอย่างไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักจับที่เท้าแขนไว้แน่น “เจ้า…เจ้าวางข้าลงมาเดี๋ยวนี้!”

เฉียวเวยเขยิบเข้าไปใกล้หูอีกฝ่ายแล้วเอ่ยยิ้มๆ อย่างมาดร้ายว่า “เจ้าเป็นคนให้ข้าเข็นเองนะ ข้าแค่ทำตามคำสั่งของเจ้า”

หัวใจของใต้เท้าเจ้าสำนักเต้นระรัวโดยพลัน “ข้า…ข้าๆๆ… ข้าไม่เอาแล้ว! เจ้าวางข้าลงเดี๋ยวนี้!”

“สายไปแล้ว”

ใครใช้ให้เจ้าใช้งานข้ากันเล่า ถ้าไม่ “เข็น” จนเจ้าร้องขอชีวิต ข้าก็คงไม่ใช้แซ่เฉียว!

เฉียวเวยเปลี่ยนจากเก้าอี้นั่งรถเข็นเป็นเก้าอี้นอนรถเข็นแทน นางเข็นอย่างเร็วจี๋ไปตลอดทาง ทั้งขึ้นเขาลงห้วย ทางไหนไม่ราบเรียบก็ไปทางนั้น ตอนขึ้นเนิน ใต้เท้าเจ้าสำนักแทบจะตีลังกาอยู่แล้ว ได้แต่จับที่เท้าแขนไว้แน่น ตัวเขาถึงไม่ลื่นตกเก้าอี้ไป ตอนลงเนิน ใต้เท้าเจ้าสำนักแทบจะตัวพุ่งไปข้างหน้า ก็ได้แต่จับที่เท้าแขนเอาไว้ให้มั่นเช่นกัน จับแน่นจนรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้ว ถึงได้ไม่ล้มหน้ากระแทกลงไป

ตอนผ่านขั้นบันได ตัวเขากระแทกตึกๆ ลงไปทีละขั้น สั่นสะเทือนจนท้องไส้แทบขาด!

พอมาถึงสวนดอกไม้ด้วยสภาพทุลักทุเล เฉียวเวยถึงได้ปล่อยเก้าอี้รถเข็น ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักทั้งๆ ที่ตกใจจนแข้งขาอ่อน แต่กลับไม่รู้เอาไปแรงมาจากไหน ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน กระโดดดึ๋งๆ ไปจับต้นไม้แล้วอาเจียนโอ้กอ้ากๆ เสียยกใหญ่…

กว่าจีหว่านจะแบกท้องโย้ๆ ของตนเดินช้าๆ มาถึงสวนดอกไม้ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ถูกเฉียวเวยจับตัวกดให้นั่งดื่มชาอย่างสงบเรียบร้อยอยู่ในศาลารับลมและกินขนมอย่างว่าง่ายไปแล้ว

จีหว่านยิ้มพลางเอ่ยออกมาจากใจจริงว่า “ดูสิว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อเจ้าเพียงใด”

ใต้เท้าเจ้าสำนักแทบอยากจะเป็นบ้าไปในทันที…

นางยักษ์ขมูขีเนี่ยหรือดีกับข้า!

พวกเจ้าตาบอดกันหรือไร ตาบอดหรือ ตาบอดหรือ…

ทั้งสามเพิ่งนั่งลงในศาลารับลม จีซวงก็พาฉินเฉียวเดินเข้ามา

ก่อนหน้าที่จีหว่านจะให้กำเนิดบุตร จีซวงนับว่าเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่หลังจากจีหว่านเกิดมา นางก็ตกลงมารั้งที่สอง เหตุผลไม่ใช่ใดอื่น แต่เพราะพวกนางเป็นคุณหนูใหญ่สายหลักของตระกูลจีด้วยกันทั้งคู่ แต่จีหว่านกลับมีท่านแม่ที่เป็นถึงองค์หญิง ด้วยเหตุนี้จีซวงจึงกลั่นแกล้งหลานสาวผู้นี้ไม่น้อย เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องตั้งแต้สมัยยังสาวแล้ว ตอนหลังจีหว่านออกเรือน นางจำต้องรั้งอยู่ในบ้านตระกูลจีต่อไป นางให้กำเนิดบุตรสาว ส่วนจีหว่านกลับไร้บุตรมานับสิบปี เพื่อเปรียบเทียบกันในทุกด้านแล้ว นางยังรู้สึกว่าจีหว่านมีชีวิตที่ดีสู้ตนไม่ได้ ในใจจึงสงบนิ่งขึ้น

เวลานี้นางได้บุตรชายมาอีกคน เมื่อได้มองจีหว่านอีกครั้งจึงไม่เหลือความริษยาอยู่อีกแล้ว

นางยกยิ้มพลางเดินเข้าไปในศาลารับลมด้วยใบหน้ามีเลือดฝาด เมื่อคืนท่านเขยอบอุ่น (ดุดัน) และอ่อนโยน (รุนแรง) กับนางยิ่งนัก นางถูกป้อนเสียจนอิ่มหนำ อารมณ์จึงดีจนแทบจะระเบิดออกมา กระทั่งยามเดินยังมีแววอ่อนหวาน “หว่านวานมาแล้ว”

“ท่านน้า” จีหว่านอมยิ้มพลางเอ่ยทักทายแล้วหันไปกล่าวกับใต้เท้าเจ้าสำนักเสียงนุ่มว่า “เรียกท่านน้าสิ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบนใส่ “ไม่เรียก”

“เรียกสิ” เฉียวเวยเอ่ยเสียงขรึม

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ท่านน้า”

เป็นครั้งแรกที่จีซวงได้ยินอีกฝ่ายเรียกตน จึงยกยิ้มอย่างยินดี “หมิงเยี่ย”

สายตาของใต้เท้าเจ้าสำนักหยุดมองสตรีทางด้านหลังนาง “นางเป็นใคร”

จีหวานก็หันไปมองอีกฝ่ายด้วย

จีซวงดึงมือฉินเฉียวไปให้ไปยืนข้างหน้า “น้องสาวต่างมารดาของท่านเขยพวกเจ้า นางชื่อฉินเฉียว เฉียวเฉียว รีบทักทายพวกนางสิ นี่คือหว่านวาน นี่คือหมิงเยี่ย”

การเรียกขานเช่นนี้ช่างเต็มไปด้วยความสนิทสนม ดูท่าเพื่อเป็นการเอาใจท่านเขย ท่านน้าเอาคนทั้งบ้านมาใช้เป็นเครื่องมือแล้วจริงๆ

เฉียวเวยหันไปมองฉินเฉียวด้วยความขบขัน อยากรู้ว่าคำเรียกหว่านวานกับหมิงเยี่ยนี้นางจะเรียกออกมาได้หรือไม่

ฉินเฉียวก้มหน้านิ่งไม่ยมอพูดอะไร

จีซวงกระซิบบอกว่า “ข้าไม่ได้บอกเจ้าไว้แล้วหรือ คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวไป มา เรียกสิ”

ฉินเฉียวก็ยังไม่ยอมเรียก

จีซวงเอ่ยด้วยความขัดใจว่า “เรียกสักคำก็ไม่ได้จะไม่มีข้าวกินเสียหน่อย เจ้ารีบเรียกสิ!”

ฉินเฉียวหมุนตัวเดินไปทันที!

“เอ๊ะ! เจ้า!”

จีซวงไม่พอใจมาก นางปฏิบัติต่อสาวบ้านนอกประหนึ่งน้องสาวในไส้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้จักดีเช่นนี้ ทำให้นางขายหน้ายิ่งนัก!

“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

จีซวงคว้าตัวฉินเฉียวไว้

ฉินเฉียวปัดมือนางออก

จีซวงคว้าตัวนางไว้อีกครั้ง ครั้งนี้นางจับไว้แน่นแล้วลากตัวนางไปกลางศาลารับลง ฉินเฉียวเสียหลัก ยืนไม่มั่นคงจึงโผเข้าไปหารั้วศาลาทันที

ข้างล่างนั่นเป็นสระบัว จีซวงจึงพลันหน้าถอดสี รีบยื่นมือจะไปคว้าไว้ แต่ก็จนใจที่ช้าไปก้าวหนึ่ง ฉินเฉียวตัวกระแทกดังพลั่กก่อนจะหัวทิ่มลงไป!

จีซวงตกใจมาก รีบก้าวเข้าไปทันที “ฉินเฉียว!”

เฉียวเวยเหลือบมองฉินเฉียวที่พยายามตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ แล้วแอบยื่นขาออกมาขัดขาจีซวง จีซวงเสียการทรงตัวเลยล้มหัวทิ่มลงไปอีกคน!

“ช่วยด้วย…” จีซวงว่ายน้ำไม่เป็น

เฉียวเวยเกาะอยู่ตรงริมรั้ว ตะโกนบอกอย่าง “เสียกิริยา” ว่า “รีบไปแจ้งท่านเขยเร็ว! น้องสาวกับภรรยาเขาตกน้ำ!”