เล่ม 1 ตอนที่ 290-2 ถูกจับได้

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 290-2 ถูกจับได้

ท้องฟ้าดำมืด เมฆครึ้มเข้าปกคลุม

จีซั่งชิงยืนถือกาสุรายืนอยู่หน้าประตูจวนองค์หญิงตามลำพัง แหงนหน้ามองป้ายหน้าประตูก่อนจะผลักประตูหนาหนักบานนั้นเข้าไป

กู้มามากำลังปัดกวาดอยู่ตรงระเบียงทางเดิน พอได้ยินเสียงก็เดินถือไม้กวาดเข้าไปหา พอเห็นว่าเป็นจีซั่งชิงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะในวันนี้เมื่อสามสิบปีก่อน จีซั่งชิงได้พบองค์หญิง และตั้งแต่นั้นชีวิตอันแสนรันทดขององค์หญิงก็ได้เริ่มขึ้น

กู้มามามักคิดอยู่เสมอว่า หากครานั้นองค์หญิงแต่งงานกับคนที่ฮ่องเต้จัดหาให้ บทสรุปของนางจะต่างไปจากที่เป็นมากหรือไม่

นางจะได้ให้กำเนิดบุตรอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย ได้สั่งสอนบุตรร่วมกับสามีไปชั่วชีวิต ไม่ต้องพรากจากบุตรชายคนเล็ก และไม่ต้องตายจากบุตรชายและบุตรสาวคนโตหรือไม่

กู้มามามองอีกฝ่ายด้วยสายตาราบเรียบขณะด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า “ท่านเขยมาแล้ว”

จีซั่งชิงมองอีกฝ่ายนิ่ง “ข้ามาหาเจาหมิง”

กู้มามาเบี่ยงตัวเปิดทางให้

จีซั่งชิงก้าวขึ้นบันได ถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปในอาภรณ์สีขาว เมื่อได้เหยียบย่างลงบนแผ่นไม้ที่มันวาวราวกับพื้นใหม่ แม้แต่ลมก็ยังคล้ายจะพัดสบายๆ ขึ้นมา เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้อง

ภายในห้องยังคงอยู่ในสภาพเดียวกับยามที่เจาหมิงยังมีชีวิตอยู่ แม้แต่พู่กันที่นางเขียนค้างไว้ครึ่งหนึ่งก็ยังวางอยู่บนแท่นเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน ที่ต่างไปก็คือ รอยหมึกที่ซีดจางลงกับกระดาษก็เริ่มเหลือง เตากำยานมีควันกลิ่นฉีหลัวลอยออกมา ทำให้คล้ายรู้สึกว่านางยังมีชีวิตอยู่ในห้องนี้กระนั้น คล้ายว่าขอเพียงตนหันกลับไปมอง ก็จะเห็นนางนั่งอยู่ตรงหัวเตียง…

จีซั่งชิงคุกเข่าลงบนที่รองเข่า รินเหล้าออกมาสองจอก พอดื่มลงไปจนหมดก็รินใหม่อีกครั้งแล้วกระดกดื่มจนหมด เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งสุราในกาเหลือเพียงหยดสุดท้ายรินเท่าไรก็รินไม่ออกอีก เขาถึงได้ลุกขึ้นเดินซวนเซออกจากจวนองค์หญิงไป

เขาลืมกระทั่งใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่าออกไป หัวหนักเท้าเบา สายตาก็เปลี่ยนเป็นพร่ามัว

เขายังพอจำทางกลับเรือนถงได้ ระหว่างที่เดินซวนเซไปมานั้น จู่ๆ ก็มีเงาใครคนหนึ่งพุ่งตัวออกมาทางด้านข้าง คนผู้นั้นไม่ทันเห็นเขา เขาเองก็ไม่ทันเห็นอีกฝ่าย ทั้งสองเลยชนเข้าด้วยกันโดยไม่มีใครทันตั้งตัว และล้มหงายหลังกันลงกับพื้นโดยไม่มีใครทันตั้งตัวเช่นกัน

จีซั่งชิงค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยความเมามาย ยื่นมือไปจับตัวคนที่ตนชนเข้าไปเมื่อสักครู่ แต่ใครจะรู้ว่าพอได้เพ่งมองดีๆ ตาเขาก็พลันแข็งค้าง

เขาสะบัดหน้าก่อนจะขยี้ตา “เจาหมิง?”

อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร แค่เพียงลุกยืนขึ้น รีบทำความเคารพแล้วหมุนตัวจะเดินไป

เขารีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ “เจาหมิง…เจาหมิงใช่เจ้าหรือไม่ เจ้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่”

อีกฝ่ายพยายามสะบัดมืออก

จึซั่งชิงกอดผู้นั้นไว้แน่น “เจ้ากลับมาแล้วเจาหมิง! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องกลับมา… เจ้าทำใจทิ้งไปแบบนี้ไม่ได้… เจาหมิง…หมิงเยี่ยยังมีชีวิตอยู่… เขายังมีชีวิตอยู่… เขาไม่ได้ตาย… ข้าจะพาเจ้าไปพบเขา…”

อีกฝ่ายใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงมือเขาออกไป เขารีบร้อนจะก้าวตามไปแต่ แต่เพราะประคองตัวได้ไม่มั่นจึงโผไปหาอีกฝ่ายจนล้มลงกับพื้น

คนผู้นั้นหยิบก้อนหินจากพื้นขึ้นมาฟาดใส่ศีรษะเขา!

ศีรษะของจีซั่งชิงแตกจนมีเลือดไหลทะลักออกมา

“ใครกัน”

องครักษ์ที่อยู่แถวนั้นได้ยินเสียง

“เจาหมิง เจาหมิง! เจาหมิง…” จีซั่งชิงดึงขาอีกฝ่ายไว้

อีกฝ่ายยกขาอีกข้างขึ้นถีบศีรษะจีซั่งชิงอย่างรุนแรง!

จีซั่งชิงถูกถีบจนมึนหัวไปหมด คนผู้นั้นตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะหนีหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

ทางด้านหลังมีเสียงร้อนรนขององครักษ์ดังมา “นายท่าน! นายท่านไม่เป็นอะไรกระมัง นายท่าน! นายท่าน! นายท่าน…”

เรือนชิงเหลียน เฉียวเวยกำลังทัดดอกไม้ให้จูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์ถูกคนเมินเฉยใส่มา จิตใจดวงน้อยๆ ของมันจึงได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เฉียวเวยทัดดอกไม้สีแดงเล็กๆ ให้มันสิบกว่าดอก มันถึงได้เลิก “คิดสั้น” สักที ทว่าพอเหลือบไปเห็นขนของมันเกือบครึ่งตัวที่หลุดร่วงอยู่บนพื้น มันก็แทบอยากจะตายไปเสียให้ได้อีกครั้ง!

เฉียวเวยวางหวีลง ในขณะที่กำลังจะเดินไปห้องข้างๆ ดูว่าเด็กทั้งสองคนนอนหลับแล้วหรือยัง กลับเห็นปี้เอ๋อร์กระวีกระวาดเข้ามาในห้อง “ฮูหยิน แย่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านได้รับบาดเจ็บ! เชิญท่านไปช่วยดูหน่อยเจ้าค่ะ!”

พ่อสามีผู้นี้ไปกระทำบาปกรรมหนักอันใดมาหนอ เหตุใดถึงบาดเจ็บได้ทั้งวันเช่นนี้

เฉียวเวยถือกระเป๋ายาเดินไปที่เรือนถง

คนที่ไปเจอตัวจีซั่งชิงคือองครักษ์ที่ชื่อว่าต่งเอ้อร์ไห่ ตอนเขาไปเจอตัวผู้เป็นนายนั้นเขาสลบไปแล้ว ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด เขาจึงฉีกชายเสื้อมาพันแผลให้จีซั่งชิงก่อน แล้วถึงได้แบกจีซั่งชิงกลับมาที่เรือนถง

โชคดีที่เขาช่วยพันแผลให้ก่อน จีซั่งชิงเลยไม่เสียเลือดมากเพียงนั้น

เฉียวเวยเปิดกล่องยาออกแล้วหยิบยาใส่แผลกับเข็มด้ายขึ้นมา หลังจากทำความสะอาดปากแผลแล้ว นางก็จัดการเย็บแผลอย่างง่ายๆ ให้กับพ่อสามี

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว นางก็ทายาสมานแผลให้อีกครั้ง เอาผ้าพันแผลแล้วเขียนใบยาห้ามเลือดลดการอักเสบให้คนไปหาซื้อกลับมา

ระหว่างที่รอยากลับมานั้น เฉียวเวยเรียกต่งเอ้อร์ไห่เข้ามา “นายท่านบาดเจ็บได้อย่างไร เล่าเหตุการณ์ที่เจ้าเห็นตั้งแต่ต้นจนจบมาให้ข้าฟังที”

ต่งเอ้อร์ไห่บอกเล่าไปตามจริงว่า “เรียนฮูหยินน้อย นายท่านน่าจะถูกใครทำร้ายขอรับ ตอนนั้นข้าเดินลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงตะโกนของนายท่านเลยรู้สึกเอะใจ ตอนข้าไปถึงตรงนั้นก็เห็นนายท่านบาดเจ็บล้มลงไปแล้ว ข้างๆ มีก้อนหินเปื้อนเลือดอยู่ก้อนหนึ่ง เวลานั้นเลือดยังอุ่นๆ อยู่ ข้าคิดว่าคนร้ายน่าจะใช้หินก้อนนั้นทำร้ายนายท่าน ใช่สิ ในมือนายท่านมีรองเท้าอยู่ข้างหนึ่ง!”

เฉียวเวยพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไปเอามาให้ข้าดูที”

ต่งเอ้อร์ไห่เอารองเท้ากับหินก้อนนั้นเข้ามาให้

รอยเลือดบนก้อนหินเพิ่งเริ่มแห้ง ดูออกว่าเพิ่งเปื้อนมาได้ไม่นาน น่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ไม่ผิดแน่ ส่วนรองเท้าข้างนั้น เห็นชัดว่าเป็นของสตรี!

คนร้ายเป็นสตรี?

เฉียวเวยขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เวลานั้นเจ้าได้ยินนายท่านพูดอะไรกับอีกฝ่ายหรือไม่”

ต่งเอ้อร์ไห่บอกว่า “ข้าได้ยินแต่เสียงของนายท่าน ไม่ได้ยินเสียงคนผู้นั้น ดูเหมือนนายท่านกำลังเรียกชื่อใครคนหนึ่ง… แต่ข้าก็ฟังไม่ค่อยถนัด”

เฉียวเวยมองรองเท้าปักลายดอกไม้สีม่วงอ่อนในมือ “เจ้าไปค้นจวนที ถามดูว่าใครเห็นรองเท้าข้างนี้บ้าง หากไม่มีใครเห็นก็ลองให้ทุกคนใส่ดู แล้วให้ทุกคนที่ใส่ได้เรียกมาที่เรือนถงให้หมด!”

“ขอรับ!”

เฉียวเวยเอ่ยสั่งว่า “ปี้เอ๋อร์ เจ้าไปด้วย”

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!”

เรือนเหนือ ท่านเขยฉินเดินออกมาจากห้องของฉินเฉียว พอก้าวข้ามธรณีประตูออกมา ก็ชนเข้ากับฉินเฉียวที่กำลังรีบร้อนเดินมาเข้าอย่างจัง ฉินเฉียวผมเผ้าหลุดลุ่ย ลมหายใจปั่นป่วน สายตาหลุกหลิก

นายท่านเฉียวมองนาง “เมื่อครู่เจ้าไปไหนมา ข้าหาเจ้าอยู่เป็นนานก็หาไม่เจอ”

ฉินเฉียวตอบเสียงสั่นว่า “ข้า…ข้า…”

ท่านเขยฉินก้มลงมอง “รองเท้าเจ้าเหตุใดจึงหายไปข้างหนึ่ง”

ฉินเฉียวจับกระโปรงไว้ พยายามเอาปิดเท้าของตน

ปังๆๆ!

มีคนเคาะประตูเรือน

ท่านเขยฉินกับฉินเฉียวหันมองตามเสียงไป

เถาจือถือกะละมังใส่น้ำอาบของคุณชายห้าออกมา “ใครน่ะ”

“พี่เถาจือ ข้าเอง ปี้เอ๋อร์ ข้าได้รับคำสั่งจากฮูหยินน้อยให้มาสอบถามความเล็กน้อย”

เถาจือวางกะละมังลงกับพื้นแล้วเดินไปเปิดประตูพร้อมยิ้มรับ “น้องปี้เอ๋อร์ ดึกดื่นป่านนี้มีเรื่องอะไรหรือ”

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “เมื่อครู่นายท่านถูกคนทำร้าย คนร้ายเป็นเจ้าของรองเท้าปักคู่นี้ พี่เถาจือ เจ้าเคยเห็นรองเท้าคู่นี้หรือไม่”