เล่ม 1 ตอนที่ 291-1 สืบรู้ความจริง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 291-1 สืบรู้ความจริง

เถาจือมองรองเถ้าลายปักแล้วทำท่าใช้ความคิด “รองเท้าคู่นี้ดูคุ้นตายิ่งนัก”

“เจ้าเคยเห็น?” ปี้เอ๋อร์ถาม

เถาจือเกาศีรษะ “ดูเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ให้คิดในเวลานี้ก็คิดไม่ออก…”

ปี้เอ๋อร์รีบถามว่า “เจ้าลองคิดดูสิว่าเคยเห็นในจวนนี้หรือไม่ นางเป็นบ่าวในจวนหรือไม่”

“ข้า…” เถาจือรู้สึกว่าคุ้นตา แต่กลับนึกไม่ออก

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “หากคิดไม่ออกจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไร ฮูหยินน้อยบอกว่าให้ทุกคนลองสวมดู แล้วพาคนที่ใส่พอดีไปซักถามที่เรือนถง”

เถาจือบอกว่า “เช่นนั้นข้าขอไปรายงานฮูหยินก่อน”

“มีเรื่องอะไรหรือ” จีซวงเดินออกมาจากในห้อง

ปี้เอ๋อร์ทำความเคารพ “ฮูหยินสี่”

ท่านเขยฉินให้ฉินเฉียวกลับเข้าไปในห้องส่วนตนเดินเข้าไปหาจีซวง จีซวงหันมามองทางที่สามีเดินมาแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่เหมือนข้าจะเห็นเฉียวเฉียว นางกลับมาแล้วหรือ”

สายตาท่านเขยฉินพลันชะงัก “กลับมาแล้ว แต่ว่า…ดูเหมือนจะเกิดเรื่องนิดหน่อย”

“เรื่องอะไรหรือ” จีซวงถาม

ท่านเขยฉินบอกว่า “รองเท้าข้างนั้นเป็นของฉินเฉียว”

ระหว่างที่พูด ปี้เอ๋อร์ก็ถือรองเท้าเดินเข้ามาเอ่ยกับทั้งสองว่า “ฮูหยิน ท่านเขย เมื่อครู่นายท่านถูกคนทำร้ายร่างกาย นี่เป็นรองเท้าที่คนร้ายผู้นั้นทำหล่นไว้ ฮูหยินน้อยกำลังหาเจ้าของรองเท้าข้างนี้อยู่เจ้าค่ะ”

ฉินเฉียวแง้มประตูแอบมองสถานการณ์ทางด้านนอกจากในห้อง

จีซวงบอกกับปี้เอ๋อร์ว่า “เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอกก่อน”

“เจ้าค่ะ”

ปี้เอ๋อร์ถอยออกไป

จีซวงหันกลับไปมองท่านเขยฉินด้วยความไม่พอใจ “นางไปทำร้ายพี่ใหญ่ข้าได้อย่างไร”

ท่านเขยฉินตอบเสียงอ่อนว่า “ฉินเฉียวกับพี่ใหญ่ไม่เคยมีเรื่องผิดใจกันมาก่อน เหตุใดนางจะต้องทำร้ายพี่ใหญ่ เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรกันแน่”

“เข้าใจผิด? ไม่ว่าจะเข้าใจอะไรผิดนางก็ไม่ควรทำร้ายพี่ใหญ่ของข้านะ!” จีซวงเคารพพี่ชายใหญ่ผู้นี้ยิ่งนัก คราก่อนที่ได้รู้ว่าสวินหลันทำร้ายพี่ใหญ่ของตน นางยังแทบอยาจะฉีกอกสวินหลันทิ้ง ถึงแม้จะบอกว่าฉินเฉียวเป็นน้องสาวของท่านเขย แต่การที่นางกระทำเรื่องเช่นนี้ก็ยังไม่อาจยอมรับได้อยู่ดี

ท่านเขยฉินบอกเสียงเบาว่า “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปถามฉินเฉียว”

จีซวงพยักหน้าเรียบๆ ท่านเขยฉินเลยเดินไป

เป็นเพราะอะไรนางก็อธิบายไม่ถูก แต่การที่สามีของตนอยู่ในห้องกับน้องสาวสองต่อสอง ในใจนางรู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ

ไม่นานท่านเขยฉินก็เดินออกมา

“นางว่าอย่างไร” จีซวงถามอย่างไม่ชอบใจ

ท่านเขยฉินถอนหายใจ “นางบอกว่าพี่ใหญ่ดื่มสุราไปมาก เอาแต่กอดนางไม่ยอมปล่อย เพื่อให้สลัดตัวหลุดออกมาได้ ด้วยความรีบร้อนจึงพลั้งมือทำร้ายพี่ใหญ่เข้า”

จีซวงกรอกตาใส่ด้วยท่าทีเยือกเย็น “กล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับโทษพี่ใหญ่ข้างั้นสิ พี่ใหญ่ข้าดื่มไปมาก แล้วนางร้องให้คนช่วยไม่เป็นหรือไร ใครไม่พอใจอะไรก็ทำร้ายกันได้อย่างนั้นหรือ นางไม่คิดถึงผลที่จะตามมาบ้างเล่า หากเกิดพี่ใหญ่ข้าตายไปจะทำอย่างไร”

ท่านเขยฉินดึงมือจีซวงไปจับ ระบายลมหายใจด้วยความหนักอึ้ง “เจ้าดูสิ นี่อย่างไรที่เป็นสาเหตุให้ข้าอยากจัดการเรื่องน้องสาวด้วยตนเอง นางเป็นสตรีจากตระกูลเล็กๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย หากมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่มีแต่จะก่อเรื่อง คนในจวนต่อให้เป็นบ่าวไพร่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ แค่เห็นอาภรณ์ของพี่ใหญ่ก็ยังเดาได้ว่าไม่อาจกระทำการจวบจ้วงได้ นางพบเห็นอะไรมาน้อย จึงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้”

จีซวงเป็นคนยืนกรานให้พาตัวนางมาพักที่บ้านตระกูลจี เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นจีซวงที่ทำไม่ถูก จีซวงกระแอมเบาๆ ขมวดคิ้วด้วยความรำคาญระคนไม่ยอม “เอาล่ะ ให้ข้าจัดการก็แล้วกัน แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าแค่ครั้งนี้เท่านั้น ต่อจากนี้เจ้าห้ามให้นางออกไปไหนมาไหนคนเดียวอีก จะไปไหนให้พาสาวใช้ในจวนไปด้วย หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะไม่มาเก็บกวาดให้นางแล้ว!”

ท่านเขยฉินระบายยิ้มอบอุ่น “ซวงเอ๋อร์เจ้าช่างดีเหลือเกิน”

จีซวงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ก็ไม่ใช่เพื่อเจ้าหรอกหรือ หากนางไม่ใช่น้องสาวเจ้า ข้าไม่สนหรอกว่านางจะตั้งใจหรือไม่! คงได้…” นางเหลือบมองท่านเขยฉินแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ช่างเถิด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

ท่านเขยฉินอมยิ้มเอ่ยว่า “ในใจซวงเอ๋อร์คิดเช่นไร ข้ารู้ดี”

จีซวงพูดเสียงเรียบ “เจ้าไปกับข้าที่เรือนถงที”

“ได้สิ”

อันที่จริงเรื่องเช่นนี้จีซวงไปออกหน้าคนเดียวก็ได้แล้ว แต่จีซวงอยากให้ท่านเขยฉินอยู่กับนางด้วย นางไม่ชอบใจให้เขาอยู่ในที่รโหฐานกับฉินเฉียวตามลำพัง ต่อให้ฉินเฉียวจะเป็นน้องสาวเขาก็ตาม

ทั้งสองไปที่เรือนถง เริ่มจากเข้าไปเยี่ยมจีซั่งชิงก่อน แผลของจีซั่งชิงได้รับการดูแลจนเรียบร้อยแล้ว แต่เขายังคงไม่ได้สติ ดูเผินๆ ออกจะรุนแรงอยู่เล็กน้อย

จีซวงพยายามใจเย็นบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เฉียวเวยฟัง เฉียวเวยคิดไม่ถึงว่าคนร้ายจะเป็นฉินเฉียว บนตัวจีซั่งชิงมีกลิ่นสุราคละคลุ้ง การกระทำตัวลุ่มล่ามเพราะความเมามายใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพอถามต่งเอ้อร์ไห่ ต่งเอ้อร์ไห่ก็บอกว่าได้ยินจีซั่งชิงตะโกนชื่อใครบางคนอยู่จริงๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จีซั่งชิงที่เมามายจะกระทำเรื่องที่ทำให้ฉินเฉียวเสียขวัญ

เฉียวเวยบอกว่า “ความจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ รอให้ท่านพ่อฟื้นแล้วค่อยถามก็ยังไม่สาย”

“ก็ดี” จีซวงพยักหน้าแล้วหันไปเอ่ยกับท่านเขยฉินว่า “พวกเรากลับกันก่อนเถิด”

ท่านเขยฉินเลยกลับไปพร้อมกับจีซวง

ปี้เอ๋อร์ถือยาสมานแผลเดินเข้ามาแล้วบอกทางประตู “ฮูหยิน ที่พวกเขาบอกเป็นความจริงหรือไม่ นายท่านกระทำการลุ่มล่ามกับแม่นางฉินเพราะฤทธิ์สุราจริงๆ หรือ”

เฉียวเวยเลิกคิ้วบอกว่า “พ่อสามีข้าดื่มไปมากจริงๆ เพียงแต่ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น”

ปี้เอ๋อร์พึมพำว่า “คนบางคนน่ะ พอสุราเข้าปากก็เปลี่ยนเป็นคนละคน พ่อข้าก็เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งเวลาดื่มจนเมาก็จะเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ เวลานี้ถ้าแม่ข้าได้กลิ่นเหล้าจากตัวเขา ก็จะจับเขาขังอยู่ในห้องฟืน ปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง”

“แม่เจ้าช่างเด็ดขาดยิ่งนัก” เฉียวเวยระบายยิ้ม นางรับยาสมานแผลไปวางลงบนโต๊ะ “ใช่สิ ที่ให้เจ้าส่งข่าวไปให้หย่งเหนียนได้ส่งไปหรือยัง”

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “ส่งแล้วเจ้าค่ะ หย่งเหนียนบอกว่าเขาจะพยายามตามหาเต็มที่”

หลัวหย่งเหนียนเป็นช่างเหล็ก สามีของฉินเฉียวก็เป็นช่างเหล็ก ถึงแม้โอกาสที่ทั้งสองจะรู้จักกันนั้นไม่มาก แต่ช่างเหล็กก็มีช่องทางของช่างเหล็ก ขอเพียงเขาเข้าเมืองหลวงมาแล้วทำอาชีพนี้จริง หลัวหย่งเหนียนที่ทำอาชีพเดียวกับเขาก็น่าจะหาเบาะแสคนผู้นี้พบ

เฉียวเวยพาปี้เอ๋อร์กลับไปที่เรือนชิงเหลียน เด็กน้อยทั้งสองเข้านอนไปแล้ว จีหมิงซิวก็จัดการงานที่คั่งค้างในวันนี้จนเสร็จแล้วเช่นกัน เฉียวเวยเล่าเรื่องที่จีซั่งชิงบาดเจ็บให้เขาฟัง สีหน้าเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย เฉียวเวยจึงบอกว่า “หากท่านพ่อตากระทำเช่นนั้นด้วยความเมามายจริง เรื่องนี้คงจะโทษฉินเฉียวไม่ได้ แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่ฉินเฉียวจะโกหก ท่านไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้ เรื่องในบ้านให้ข้าจัดการก็พอ เรื่องคุณชายโจวเจ้าก็ไม่ต้องสนใจ ข้ากำลังสืบอยู่”

เรื่องที่นางทำ จีหมิงซิววางใจมาตลอด จึงสบายใจปล่อยให้นางจัดการ ส่วนเรื่องอื่นๆ มีเขาอยู่ ต่อให้นางจัดการถลกหนังฉินเฉียวเข้าจริงๆ เขาก็จะคอยปกป้องนางเอง

เฉียวเวยหลุดยิ้ม เขาเห็นนางเป็นคนเช่นไรกัน ถึงขั้นจะถลกหนังเสียด้วย

วันต่อมา จีหมิงซิวไปประชุมราชการตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เฉียวเวยพาเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามไปส่งที่สำนักศึกษา วันนี้หลิวเกอร์นับว่าไม่งอแงตอนตื่นนอน ยอมกินข้าวเช้าและไปขึ้นรถม้าอย่างว่าง่าย

เมื่อกลับมาจากสำนักศึกษา บ่าวในเรือนถงก็รายงานว่าจีซั่งชิงฟื้นแล้ว

เฉียวเวยยังไม่ทันได้พักหายใจก็รีบไปที่เรือนถงทันที

แผลของจีซั่งชิงจัดการได้ไม่เลว ไม่มีอาการอักเสบให้เห็น จากที่เมาก็สร่างแล้ว เพราะได้สติเต็มที่จึงรับรู้ถึงความปวดแสบปวดร้อนของปากแผลได้

เฉียวเวยทำแผลให้จีซั่งชิงใหม่ แล้วถึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปด้วย “…บอกว่าท่านดื่มจนเมามาย เอาแต่กอดอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย”

จีซั่งชิงกระแอมเบาๆ ด้วยความรู้สึกผิด “เมื่อเย็นข้าดื่มเข้าไปมากจริงๆ สมองไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไร ยังคิดว่าตนเองเห็นเจาหมิงเสียอีก”

“องค์หญิง?” มือที่ถือกรรไกรอยู่ของเฉียวเวยพลันชะงัก

จีซั่งชิงถอนหายใจพลางพยักหน้า

เฉียวเวยไม่เข้าใจมาตลอดว่าเหตุใดทุกครั้งที่ตนได้พบหน้าฉินเฉียวมักจะรู้สึกคุ้นหน้านางทุกครั้งไป เวลานี้พอได้ยินที่จีซั่งชิงเอ่ยจึงนับว่าได้เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเช่นนั้น