ตอนที่ 291-2 สืบรู้ความจริง
บนตัวฉินเฉียว มีเงาของเจาหมิงอยู่บางส่วนจริงๆ ไม่ใช่ที่รูปลักษณ์ แต่เป็นรัศมีของความอบอุ่นอ่อนโยน ในความอบอุ่นอ่อนโยนนั้นยังเจือแววดื้อรั้นอยู่เล็กน้อย ทำให้คนที่พบเห็นยากจะลืมเลือน
จีซั่งชิงบอกว่า “ใช่สิ แม่นางคนนั้นเป็นใคร ดูเหมือนข้าไม่เคยเห็นนางในจวนมาก่อน”
ถึงแม้เขาจะนึกไม่ออกกระทั่งหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ต่อให้บนตัวสตรีนางนี้มีเงาของเจาหมิงอยู่เพียงเล็กน้อย เขาก็ยากที่จะลืมเลือน ดังนั้นเขาจึงมั่นใจมากว่าตนเพิ่งได้พบหน้าสตรีนางนั้นเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้
เฉียวเวยตัดปลายด้ายแล้วอมยิ้มเอ่ยเสียงเรียบว่า “นางก็คือน้องสาวของท่านเขยฉิน นางแต่งงานแล้ว บุตรชายอายุสองขวบเข้าไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ดังนั้นท่านก็ล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิด อย่าได้คิดจะหาแม่เลี้ยงให้ข้ากับหมิงซิวอีกเลย”
…
ตกบ่าย ทางด้านหลัวหย่งเหนียนส่งข่าวมาว่าให้เฉียวเวยไปหาเขาหน่อย
เฉียวเวยขึ้นนั่งรถม้า ไปยังร้านเหล็กของหลัวหย่งเหนียน
พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันมาครึ่งปี หลัวหย่งเหนียนสูงขึ้นอีกแล้ว คราก่อนที่ได้พบหน้าเขาสูงกว่าเฉียวเวยเพียงหนึ่งช่วงนิ้วเท่านั้น แต่เวลานี้เขาสูงกว่านางไปกว่าช่วงศีรษะแล้ว รูปร่างก็กำยำขึ้น แขนมีแต่กล้ามเนื้อ ผิวสีทองแดงเต็มไปด้วยพละกำลังแห่งบุรุษหนุ่ม
“หย่งเหนียน!” เฉียวเวยยิ้มพลางเดินเข้าไปในลานด้านหลัง
หลัวหย่งเหนียนวางงานในมือ เช็ดเหงื่อแล้วเดินเข้ามาหานางด้วยความยินดี “พี่สาว!”
เฉียวเวยเองก็ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนไป ใบหน้ายังคงเป็นใบหน้าเดิม แต่สีหน้าอย่างสตรีสาวที่แสดงออกมานั้นไม่เหมือนแม่นางน้อยอย่างในตอนนั้นอีกแล้ว
หลัวหย่งเหนียนพาเฉียวเวยเข้าไปในห้องของตน เขาตั้งใจทำงาน ทั้งยังหัวไว จึงเป็นที่โปรดปรานของอาจารย์มาก เติบโตจากลูกศิษย์น้อยมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่แล้ว ทั้งยังมีห้องเป็นของตนเองอีก
เพราะรู้ว่าเฉียวเวยจะมา เขาเลยเก็บกวาดรอไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีที่ให้เดิน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่เวลานี้ก็มีที่ให้เดินไม่มากนักอยู่ดี
พี่สาวน้องชายซักถามสารทุกข์สุกดิบกัน พูดคุยเรื่องส่วนตัวกันพักหนึ่งไม่นานก็เอ่ยเข้าเรื่องเสียที
หลัวหย่งเหนียนบอกว่า “พี่ ที่ท่านบอกว่าช่างเหล็กแซ่โจวที่มาจากต่างถิ่นเมื่อสามปีก่อน ในร้านของข้ามีอยู่คนหนึ่งจริงๆ! เขาชื่อโจวซุ่น เขามาอยู่ที่นี่ก่อนข้าประมาณปีกว่า เป็นรุ่นพี่คนหนึ่ง ได้ยินว่าฝีมือไม่เลวเลย อาจารย์ชอบเขามาก พี่อยากรู้เรื่องเขาไปทำไมหรือ”
เฉียวเวยเลยบอกว่า “ข้าช่วยคนอื่นตามหาเขาน่ะ เขาเคยพูดเรื่องที่บ้านเขากับเจ้ากับอาจารย์หรือพี่น้องคนอื่นหรือไม่ เช่นว่าในบ้านเขามีใครบ้าง แต่งงานแล้วหรือยัง”
หลัวหย่งเหนียนคิดแล้วบอกว่า “พ่อแม่เขาล้วนจากไปหมดแล้ว แต่เขามีภรรยาอยู่คนหนึ่ง”
สายตาของเฉียวเวยพลันสั่นไหว “ภรรยาเขาชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน”
หลัวหย่งเหนียนบอกว่า “พวกเขาเป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นคนชิวโจวด้วยกันทั้งคู่ ส่วนที่ว่าชื่ออะไรนั้นพวกเราไม่มีใครรู้เลย”
เฉียวเวยพึมพำว่า “บ้านเดิมของท่านเขยฉินก็คือชิวโจวที่อยู่ทางตอนใต้เช่นกัน”
“พี่ท่านพึมพำอะไรน่ะ” หลัวหย่งเหนียนฟังไม่ถนัด
เฉียวเวยเหลือบมองไปด้านนอก “ข้ากำลังคิดว่าเขาอยู่ที่ไหน ข้าจะไปพบเขาได้หรือไม่”
หลัวหย่งเหนียนเอ่ยด้วยความเสียดายว่า “เขากลับบ้านเดิมไปแล้ว”
“กลับบ้านเดิมไปแล้ว?” เฉียวเวยอึ้งไปเล็กน้อย
หลัวหย่งเหนียนเลยบอกว่า “ใช่สิ ภรรยาเขาให้กำเนิดบุตรตัวอวบอ้วนกับเขา เขาเลยบอกว่าจะกลับไปเยี่ยมสักหน่อย อาจารย์ก็อนุญาตแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่เห็นเขากลับมาอีกเลย”
เฉียวเวยยิ้มเยาะตนเอง “แซ่โจว มีภรรยาแล้ว มีบุตรแล้ว เข้าเมืองหลวงมาเมื่อสามปีก่อน… ช่างน่าประหลาดที่มีช่างเหล็กเช่นนี้อยู่จริงๆ ข้อมูลทุกด้านล้วนถูกต้องตรงกันหมด ข้ายังคิดว่านางโกหกเสียอีก”
“ใครกันหรือ” หลัวหย่งเหนียนถาม
สายตาเฉียวเวยเปลี่ยนเป็นคมกล้า “สตรีนางหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นน้องสาวของท่านเขยข้า บอกว่าเมื่อปีก่อนนางเข้าเมืองหลวงมาตามหาสามีที่ไม่ได้พบหน้ากันสามปี สามีเป็นช่างเหล็ก แซ่โจว ข้ายังคิดว่านางปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง”
หลัวหย่งเหนียนคิดแล้วบอกว่า “จะใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ ช่างเหล็กที่แซ่โจวมีมากนัก”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “ช่างเหล็กที่แซ่โจวมีเยอะก็จริง แต่ช่างเหล็กแซ่โจวที่มาที่นี่เมื่อสามปีก่อนนั้นมีไม่มาก ส่วนช่างเหล็กแซ่โจวที่มีภรรยากำลังตั้งท้องอยู่ที่บ้านเดิมก็ยิ่งน้อยจนน่าสงสาร”
หลัวหย่งเหนียนพลันมีสีหน้ากระจ่างแจ้ง “หากพูดเช่นนี้ก็ดูจะมีเหตุผล น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยเห็นภรรยาของศิษย์พี่โจวมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงช่วยพี่พิสูจน์ได้”
เฉียวเวยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ดูเหมือนเขากับภรรยาของเขาจะรักใคร่กันดี?”
หลัวหย่งเหนียนพยักหน้า “ใช่แล้ว ศิษย์พี่โจวพร่ำเพ้อถึงภรรยาของเขาทุกวัน ต้องนอนหนุนถุงหอมของนางทุกวันถึงจะเข้านอนได้ หลังจากภรรยาเขาให้กำเนิดบุตรแล้วก็หาคนสนิทให้ช่วยส่งจดหมายมาถึงเขา ตอนนั้นอาจารย์บอกว่า คืนนั้นจะขึ้นเงินค่าจ้างให้เขา แต่เขาก็เลือกที่จะกลับบ้านเดิมทันทีโดยไม่มีลังเล”
พอฟังถึงตรงนี้เฉียวเวยก็มั่นใจถึงเจ็ดส่วนว่าฉินเฉียวก็คือภรรยาที่โจวซุ่นเอ่ยถึงผู้นั้น ส่วนสามส่วนที่เหลือนั้นจำต้องกลับไปยืนยันกับฉินเฉียวอีกทีหนึ่ง
พอกลับไปถึงบ้านชิงเหลียน เฉียวเวยก็เรียกปี้เอ๋อร์มา “ถงเกอร์ป่วยหนักมาก จำเป็นต้องช่วยรักษาให้อีกครั้ง เจ้าไปที่เรือนท่านน้าที ไปอุ้มถงเกอร์มา”
ฉินเฉียวหวงแหนถงเกอร์เพียงนี้ย่อมไม่วางใจให้คนอื่นอุ้มเขามา แต่นางก็เป็นห่วงอาการป่วยของถงเกอร์ จึงไม่มีทางที่จะปฏิเสธการรักษาของเฉียวเวย แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากนั้นเพียงสองเค่อ ฉินเฉียวก็อุ้มถงเกอร์มาหาด้วยตนเอง
เฉียวเวยรินชาให้นางถ้วยหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “วางถงเกอร์ลงก่อนเถิด อุ้มอยู่อย่างนั้นเหนื่อยแย่”
“ท่านบอกว่าจะช่วยรักษาถงเกอร์ให้” นางอุ้มบุตรเอาไว้แน่น
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “ข้าบอกเช่นนั้นจริงๆ แต่ความจริงแล้วข้าเพียงอยากพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวเท่านั้น”
ฉินเฉียวเบี่ยงตัวไป บังเด็กที่อยู่ในอ้อมแขน
เฉียวเวยยกมือขึ้น ปี้เอ๋อร์ปิดประตูจากด้านนอกให้อย่างรู้งาน ฉินเฉียวหันมองประตู นัยน์ตามีแววไม่เข้าใจระคนหวาดกลัว เฉียวเวยเอ่ยปลอบว่า “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นไป ข้าไม่ได้จะทำอะไรบุตรชายเจ้า ข้ามีเพียงบางเรื่องที่ไม่เข้าใจเท่านั้น เลยอยากได้คำตอบจากเจ้าสักหน่อย”
ฉินเฉียวก้มหน้าเงียบไม่ยอมพูดอะไร
เฉียวเวยดื่มชาไปอึกหนึ่งแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “สามีของเจ้าใช่โจวซุ่นหรือไม่”
ฉินเฉียวพลันตัวเกร็ง
“ดูท่าคงจะใช่” เฉียวเวยยิ้มบางๆ “สามีของเจ้ากับน้องชายข้าทำงานอยู่ในร้านเดียวกัน วันนี้ข้าไปหาน้องชายมา เลยลองถามเรื่องสามีของเจ้าไปด้วย น้องชายข้าบอกว่าสามีเจ้ากลับเมืองหลวงไปหาเจ้าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว แล้วเหตุใดกัน พวกเจ้าไม่ได้พบกันหรือ”
มือที่อุ้มบุตรชายไว้ของฉินเฉียวเกร็งแน่น
เฉียวเวยคอยสังเกตอากัปกิริยาอันเล็กน้อยของนาง ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าคงไม่ใช่น้องสาวของท่านเขยข้ากระมัง”
ฉินเฉียวไม่ตอบ
เฉียวเวยบอกว่า “เจ้าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ได้ ข้ารู้ดีแก่ใจ ถ้าไม่รู้คงไม่บังคับให้เจ้ามาอยู่ที่บ้านตระกูลจีแต่แรก คำลวงที่จับพิรุธได้ง่ายเหล่านั้นก็หลอกได้แค่ท่านน้าที่ลุ่มหลงในสามีเท่านั้นแหละ เจ้าอย่าคิดจะเอามาใช้ต่อหน้าข้า ตอนข้าปั่นหัวคนอื่น พวกเจ้ายังไม่รู้เลยว่าอยู่กันที่ไหน!”
คนช่างปั่นหัวมาเจอเข้ากับบรรพบุรุษของคนช่างปั่นหัว จะไม่ไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่หรือ
ฉินเฉียวเอาแต่ก้มหน้า
เฉียวเวยพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนชิวโจว ท่านเขยข้าก็เป็นคนชิวโจว สำเนียงของพวกเจ้าเหมือนกัน จึงง่ายที่จะทำให้คนเชื่อว่าพวกเจ้าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่เจ้าอย่าลืมเสีย ในโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไร้รูให้ลมลอดผ่าน การจะสืบให้เจอว่าเจ้าเป็นใครนั้นง่ายเพียงดีดนิ้วเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าจะสืบไม่พบงั้นหรือ”
สีหน้าท่าทางของฉินเฉียวไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก
เฉียวเวยจึงเอ่ยด้วยความขบขันว่า ดูท่าเจ้าคงคิดว่าข้าจะสืบไม่เจอจริงๆ ช่างเถิด ข้าไม่ได้สนใจเรื่องชาติกำเนิดของเจ้านัก เจ้าจะเป็นใครไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเพียงอยากให้ตนหายคลางแคลงใจ ถึงได้ให้เจ้ามาที่นี่ ข้าบอกตามตรงว่าเดิมทีข้าคิดว่าถงเกอร์เป็นลูกของท่านเขยข้า แต่วันนี้ดูท่าข้าคงเดาผิดไป ท่านเขยข้าดีต่อเจ้ามากจริงๆ ดีถึงขั้นแม้กระทั่งบุตรของเจ้าก็ยังจะรับมาด้วย หากไม่ใช่ว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้า ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีเหตุผลอะไรให้เขาดีต่อเจ้าเพียงนี้ สู้เจ้าบอกข้ามาดีหรือไม่”
ฉินเฉียวยังคงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรสักคำ
เฉียวเวยคลี่ยยิ้มบาง “เคยมีคนบอกเจ้าหรือไม่ ว่ารูปร่างกับลักษณะของเจ้านั้นเหมือนใครคนหนึ่งยิ่งนัก ไม่สิ เหมือนใครสองคน คนสองคนนี้เคยเป็นภรรยาของพ่อสามีข้ามาก่อน เมื่อคืนพ่อสามีข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นภรรยาที่ผูกเส้นผมร่วมกับเขา ครั้งแรกที่ข้าได้พบเจ้าก็รู้สึกว่าเจ้าดูคุ้นตาเช่นกัน ท่านเขยข้าก็คงเป็นเช่นนั้นกระมัง เช่นนั้นข้าก็เริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าคนที่ท่านเขยของข้าชอบพอ… แท้จริงแล้วคือเจ้า หรือคนที่เจ้ามีส่วนคล้ายกันแน่”