บทที่ 1175 สำเร็จการศึกษา

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 1175 สำเร็จการศึกษา

บทที่ 1175 สำเร็จการศึกษา

ในเมื่อถามไม่ได้ ซูเสี่ยวเถียนจึงหยุดซักไซ้

แต่ในไม่ช้าทั่วทั้งประเทศจะเกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ครั้งใหญ่

ขนาดบรรยากาศในกระทรวงต่างประเทศยังตึงเครียดไปด้วย

เด็กสาวทุ่มเทให้กับการทำงาน

วันแล้ววันเล่าผ่านไป

ข่าวดีหนึ่งเดียวคือจ้าวหงเหมยและกู้เฉิงเซวียนได้เริ่มต้นความสัมพันธ์แล้ว

แม้จะอยู่ในช่วงคบหา แต่มันไม่เหมือนกับในยุคปัจจุบันหรอกนะ

ในยุคนี้ มีคำพูดของผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘คบหาดูใจโดยไม่หวังแต่งงานคือพวกหลอกลวง’ คนส่วนใหญ่เลยเอามาเป็นความเชื่อกันน่ะ

ฝ่ายฉืออี้หย่วนยุ่งจนหัวหมุน แต่ยังกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนปู่ทุกวัน ทั้งยังพยายามหาเวลามาเจอซูเสี่ยวเถียนด้วย

ทว่าตอนนี้เราทั้งสองยังไม่มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจน

ซูเสี่ยวเถียนโตแล้ว เห็นแบบนี้จึงอดแปลกใจไม่ได้

เธอเองก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่อฉืออี้หย่วนเหมือนกัน

และเคยคิดด้วยว่าอนาคตของเราสองคนจะได้เป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า

ในไม่ช้าเทอมสุดท้ายก็มาถึงจุดสิ้นสุด พอใกล้เดือนกรกฎาคมพวกซูเสี่ยวเถียนก็ฝึกงานเสร็จแล้ว

นักศึกษาที่เตรียมจบการศึกษาจะต้องกลับมหาวิทยาลัยมารายงานผลการฝึกงาน และเตรียมตัวสอบจบ

เมื่อผ่านการสอบจะได้รับประกาศนียบัตรและออกจากรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการได้

เป็นครั้งสุดท้ายที่สาว ๆ ห้อง 314 จะได้ใช้เวลาร่วมกัน

คนอื่น ๆ ยังได้พบกัน มีแค่ฉีเสี่ยวฟางและฉู่เยว่เท่านั้นที่ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองหลวงหลังจากเรียนจบ

เฉียนเสี่ยวเป่ยวางแผนไว้ว่าจะอยู่ต่อเป็นระยะเวลาหนึ่งปี จากนั้นก็เดินทางตามซุนเสี่ยวอวี๋กลับลี่เฉิงเมื่อเขาเรียนจบแล้ว

สาว ๆ อยู่ในช่วงอารมณ์อ่อนไหวพอดี พวกเธอได้แต่คิดว่าเมื่อไรจะได้พบกันอีก

ภายในใจรู้สึกเศร้าสร้อย

เพื่อทิ้งความทรงจำอันดีงามเอาไว้ ซูเสี่ยวเถียนจึงใช้แต้มในระบบแลกกล้องออกมา

มันเป็นกล้องที่มีฟังก์ชันและประสิทธิภาพดีกว่ากล้องตามท้องตลาดของยุคนี้แน่นอน

ตอนที่เธอหยิบมันออกมา สาว ๆ ชื่นชอบกันมาก

“ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เป็นรุ่นล่าสุดเหรอ?” ฉู่เยว่มองสลับไปมา

เนื่องด้วยครอบครัวมีเส้นสายจึงทำให้เห็นของดี ๆ มาไม่น้อย ทั้งกล้องหลากหลายประเภท ทว่าไม่มีแบบใดดีเท่าตัวที่เพื่อนสนิทถือไว้เลย

“เป็นรุ่นล่าสุดของเยอรมนีน่ะ เพื่อนชาวเยอรมันเขาให้มาเป็นของขวัญ ฉันเพิ่งหยิบมาใช้เป็นครั้งแรกเลยเพราะไม่กล้าใช้น่ะ แต่เพื่อเป็นอนุสรณ์ว่าเราเรียนจบแล้ว”

สาว ๆ ไม่ได้แปลกใจอะไร

ซูเสี่ยวเถียนมีเพื่อนอยู่ในเยอรมนี ได้ยินมาว่าพี่สี่ก็เพิ่งไปมาด้วย

ขนาดฉืออี้หย่วนยังเพิ่งกลับมาจากที่นั่นหลังจากเรียนจบแล้ว บางทีตระกูลซูอาจจะมีญาติสนิทมิตรสหายที่นั่นเยอะก็ได้

ทีแรกเด็กสาวเป็นกังวลมากว่าเพื่อนจะถาม

โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คืนนี้อากาศกำลังดีเลยพรุ่งนี้คงมีแดดจ้าแน่ เราใส่ชุดสวย ๆ มาถ่ายรูปกัน ทิ้งความทรงจำวัยเยาว์ที่แสนสวยงามไว้เถอะ” จ้าวหงเหมยยิ้ม

คนที่อยู่ในช่วงเวลาแห่งความรักแบบนี้จึงเอาแต่มีความสุขอยู่เสมอ

คนอื่น ๆ เห็นด้วย

เรากำลังจะเรียนจบ ย่อมอยากทิ้งความทรงจำดี ๆ ไว้อยู่แล้ว

จะมีอะไรงดงามไปกว่าการย้อนดูรูปสมัยเด็กยามแก่ตัวลงล่ะ?

ในเมื่อตัดสินใจ สาว ๆ เริ่มคุยกันว่าพรุ่งนี้จะใส่ชุดอะไรดี

บอกเลยว่าเลือกยากมาก

ดีที่เรายังอยู่ที่มหาวิทยาลัย กลางวันกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ หรือจะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้เช่นกัน

ปัญหาถูกแก้ไขเป็นที่เรียบร้อย

คืนนี้ผ่านไปอย่างสงบ

เช้าวันต่อมา สาว ๆ แต่งตัวสวยพริ้ง

ตอนนี้เราทุกคนมีเงินกันหมด แน่นอนว่ายินดีใช้จ่ายเพื่อแต่งตัวอยู่แล้ว

จากนั้นก็เดินเที่ยวรอบ ๆ มหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายรูป ดึงดูดนักศึกษาคนอื่น ๆ ให้เมียงมอง

ไม่ว่ายุคสมัยใด ประโยคที่ว่า ‘ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง’ ก็สมเหตุสมผลเสมอ

พอสาว ๆ แต่งกันแล้วดูสะดุดตาไม่น้อย

แม้จะอยู่ท่ามกลางสายตาประชาชี แต่พวกเธอไม่ได้ประหม่าเลย

มีรุ่นน้องเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย

สาว ๆ บันทึกรูปถ่ายอันล้ำค่าไว้ทั่วทุกมุมของมหาวิทยาลัย

ถึงรู้อยู่แก่ใจว่ายังกลับมาที่นี่ได้ แต่ความรู้สึกในตอนนั้นคงไม่เหมือนเดิมแล้ว

ตอนนี้เราเป็นเจ้าบ้าน แต่เมื่อกลับมาจะกลายเป็นแขกแล้ว

บนรูปถ่ายทุกคนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่มันมีความฝืนและไม่เต็มใจเท่าไร

โดยเฉพาะเฉียนเสี่ยวเป่ย ที่สุดท้ายก็เข้าไปกอดเพื่อน ๆ แล้วร้องไห้ออกมา

ทุกคนถึงกับกลั้นไว้ไม่ไหวเช่นกัน

สาว ๆ ทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ใต้ต้นไม้

เฉียนเสี่ยวเป่ยรู้สึกเศร้าเป็นพิเศษ

ที่บ้านไม่มีใครชอบเธอเลย ตอนมาเรียนแรก ๆ เธอขี้ขลาดเอามาก ๆ

แต่ได้เพื่อน ๆ ช่วยดูแลกันมาตลอด จึงมีอย่างทุกวันนี้ได้

เพราะงั้นเลยรู้สึกมากกว่าคนอื่น ๆ

ทุกคนในห้อง 314 คือพรรคพวกที่สนิทที่สุด

และในตอนที่ทุกอย่างไปได้สวยกลับต้องแยกจากกันแล้ว!

เฉียนเสี่ยวเป่ยกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจ หน้าตาสะสวย และกล้าแสดงความรู้สึก

ไม่ขี้ขลาดเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว

ทั้งยังตัดสินใจที่จะสลัดทุก ๆ อย่างที่ครอบครัวเคยให้ไว้ด้วย

หลังจากเรียนจบเธอจะส่งเงินเดือน เดือนละสามสิบหยวนให้พวกเขาใช้ เป็นเงินเกษียณพ่อแม่

ตอนคุยกับซุนเสี่ยวอวี๋ เจ้าตัวก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง

ไม่ว่าพ่อแม่จะแย่แค่ไหน แต่ก็เป็นคนที่เลี้ยงดูเฉียนเสี่ยวเป่ยมา เราควรเลี้ยงดูพวกเขาอยู่แล้ว

ในยุคนี้เงินเดือนคนงานอยู่ที่หกสิบหรือเจ็ดสิบหยวนเท่านั้น การที่ส่งให้เดือนละสามสิบหยวนก็เท่ากับครึ่งหนึ่งของเงินเดือนแล้ว

แค่นี้พ่อแม่น่าจะพอใจแล้วละ

ส่วนตัวซุนเสี่ยวอวี๋หาเงินได้เยอะอยู่แล้ว เขาวางแผนจะเริ่มธุรกิจในบ้านเกิดสามสิบหยวนมันไม่ถือว่าเยอะอะไรด้วยซ้ำ

การเอามาส่งให้พ่อแม่เฉียนเสี่ยวเป่ยไม่ได้ส่งผลอะไรต่อชีวิตอยู่แล้ว

หากมันทำให้พวกเขาใช้ชีวิตสงบสุข ไม่รบกวนลูกสาวคนนี้ก็คุ้มค่า

แต่เขายังยืนกรานคัดค้านที่จะให้หญิงสาวส่งเงินตัวเองอยู่ดี

เลยวานให้คนในเมืองหลวงทำให้

ต่อให้ส่งจากเมืองหลวงก็จริง แต่ทางที่ดีคือควรใช้สถานที่ที่ไม่เหมือนกัน

แม้จะไม่ต่อต้านเรื่องเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า แต่ภายในใจกลับเกลียดคนทั้งสองมากที่สุด