บทที่ 1192 ชินชากับการทำตัวกำเริบเสิบสาน
บทที่ 1192 ชินชากับการทำตัวกำเริบเสิบสาน
เหยาอู่ไม่มีสมอง คนรอบตัวเขาก็เช่นกัน
แค่บอกว่าจะได้ออกจากห้องในไม่ช้า ทุกคนก็พากันเชื่อ
ระหว่างอยู่ในห้องขัง ก็เอาแต่พูดคุยโม้ไปเรื่อยอย่างสบายใจ
ทำตัวเหมือนกับว่าไม่ได้อยู่ในสถานีตำรวจอย่างไรอย่างนั้น
จากสถานการณ์บอกได้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ
ตำรวจทั้งสองนายยิ้มเยาะเมื่อได้ยินบทสนทนาจากด้านใน
ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองไปทำอะไรไว้ ต่อให้ไม่ตายดีก็ต้องโดนถลกหนังอยู่ดี เชิญโม้กันไปเถอะ!
ฉืออี้หย่วนพอคาดเดาได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
เขายืนนิ่ง ทำตัวราวกับเป็นมาสคอตอย่างไรอย่างนั้น
ขณะที่รองอธิบดีลู่กำลังจะเคลื่อนไหว ก็มีคนมาถึงสถานี
เป็นชายวัยกลางคนที่ดูจะร่ำรวย และสมบูรณ์อย่างยิ่ง
ร่างกายอ้วนท้วมทำให้กระดุมรั้งรังดุมเอาไว้ ก้าวได้เพียงสองก้าวพุงกลม ๆ ของเขาสั่นสะเทือนแล้ว
ฉืออี้หย่วนมองรูปลักษณ์คนตรงหน้าซึ่งไม่ทำให้คนประทับใจเท่าไร
หลังจากเดินเข้ามาก็ไม่สนใจอะไรเลย เอาแต่ด่าเหยียนเหอผิงไม่หยุดปาก
“เหยียนเหอผิง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? แกไม่รู้หรือไงว่าเหยาอู่เป็นใคร? ต่อให้โดนใครส่งมาก็ปล่อยเขาไปได้แล้ว ต้องให้เหล่าจื่อถ่อมาถึงนี่!”
“เก่งนักนะแกน่ะ ไม่คิดไว้หน้าเหล่าจื่อเลยหรือไง? หัวหน้าแบบแกคงไม่อยากทำงานแล้วสินะ?”
ชายคนนั้นชื่อหลี่อิงฟาเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเขต
เขากับคนรักเพิ่งจะมีลูกชาย มีความสุขมากจนอยากอุ้มลูกตลอดทั้งวัน
เป็นคนที่เชื่อฟังคนรักมาก ว่าอะไรก็ว่าตามนั้น
ทั้งซื้อบ้านให้เหยาเสี่ยวหลิง ซื้อโทรศัพท์เพื่อที่จะได้โทรถามเรื่องลูกชายได้ตลอดเวลาทำงาน
ระหว่างนั้นกลับได้รับสายจากเหยาอู่
ทีแรกไม่อยากจะมาหรอก แต่ปลายสายเอาแต่บอกว่าเหยียนเหอผิงมันไม่ไว้หน้ากันเลย ไม่ยอมจับคนที่ลงมือทำร้ายเหยาอู่ แถมตัวเองยังเสียเปรียบด้วย
หลี่อิงฟาจึงอดไม่ได้ที่จะหมดความอดทน แต่เหยาเสี่ยวหลิงเอาแต่ร้องไห้กลัวว่าถ้าน้องเจอเรื่องจริง ๆ เธอคงรู้สึกผิดต่อพ่อแม่แน่ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วอะไรทำนองนั้น
แน่นอนว่ามันเป็นแค่กลอุบาย
เหยาเสี่ยวหลิงหน้าตาสวย ยิ่งมีลูกชาย ฝ่ายหลี่อิงฟาจึงโดนหลอกเข้าเต็มเปาแม้เขาในยามปกติจะอดรนทนไม่ไหวก็ตาม
เลยกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหยาอู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าคนรักจะทำอะไรอีกด้วยเลยวิ่งโร่มานี่เอง
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคนอื่นต้องเป็นฝ่ายโดนแทน
จริง ๆ พอรู้อยู่บ้างว่าเหยาอู่ทำอะไรไว้ แต่เพราะโดนหลอกลวงเลยหลับหูหลับตาปกป้อง
ฉืออี้หย่วนเดาว่านี่น่าจะเป็นเส้นสายที่ว่าของเหยาอู่ ไม่รู้ว่าชื่อเสียงเขาเป็นยังไง
แต่จากยศบนเสื้อผ้าเหมือนจะต่ำกว่ารองอธิบดีลู่อย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ายหลี่อิงฟาตวาดลูกน้องต่อหน้าลู่หงฟาง
เหยียนเหอผิงไม่ได้โต้ตอบอะไร แสดงให้เห็นว่าปกติแล้วหลี่อิงฟาเป็นคนแบบนี้
โอหังเกินไปแล้ว ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีความน่าเกรงขามสักนิด หรือไม่คิดว่ารองอธิบดีลู่จะอยู่ด้วย?
หลี่อิงฟาไม่ได้รับรู้เลยว่าบรรยากาศในสถานีตำรวจตึงเครียดขนาดไหน
เขาเดินทางผ่านแดดร้อน ๆ อยากรีบจบเรื่องแล้วเข้าไปนั่งดื่มน้ำเย็น ๆ ในสำนักงานสักที
ตัวผู้อำนวยการอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ สองปีมานี้ไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไร เรื่องส่วนใหญ่เป็นหลี่อิงฟาที่ตัดสินใจเอง
เพราะแบบนี้เขาจึงยิ่งหลงระเริงมากขึ้น
ปฏิบัติต่อลูกน้องของตัวเองรุนแรงยิ่งกว่าหลานชาย บางครั้งก็โหดร้ายราวกับไม่ใช่คน บอกได้เลยว่าสถานีตำรวจละแวกนี้โดนเขาด่ามาหมดแล้ว
เลยชินกับการทำตัวหยาบคายเวลาคุยกับลูกน้อง
หลังจากเดินเข้าประตูมาก็ด่ากราดทันที
“เหยียนเหอผิง ยังไม่รีบส่งเหยาอู่กลับไปด้วยความเคารพอีก? ต้องให้เหล่าจื่อส่งแกไปอยู่บนเขาไหม? บอกแล้วไงว่าอย่ารังแกคนของเหล่าจื่อ!”
“แล้วก็ไอ้เหยาอู่ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่นอีก ควรจัดการให้เหล่าจื่อตั้งนานแล้ว ทำให้มันเชื่อฟัง ให้มันรู้จักกฎเกณฑ์ซะ!”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเจตนาให้เหยียนเหอผิงสืบสวน แต่อยากให้อธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด
เหยียนเหอผิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วยซ้ำ
เขาพยายามขยิบตาให้หลี่อิงฟา แต่ไม่รู้อีกฝ่ายคิดว่าเขาบ้าหรือมันเกินกว่าจะเข้าใจกันแน่
สรุปแล้วหลังจากชายร่างอ้วนระบายความโกรธเสร็จ ก็เตรียมเข้าห้องทำงานของหัวหน้า
แต่พอไม่เห็นอีกฝ่ายเคลื่อนไหวก็โมโหอีกครั้ง อ้าปากหมายจะด่า
รองอธิบดีลู่มีใบหน้าดำทะมึนสุดจะบรรยาย
ไม่รู้เลยมีคนทำตัวแบบนี้อยู่ในระดับล่าง ๆ ด้วย
กับลูกน้องยังทำตามอำเภอใจ แล้วจะดูแลประชาชนให้ดีได้ยังไง?
ทั้งตัดสินใจแทนประชาชน หลอกลวงคนอื่น คนแบบนี้ไม่กลั่นแกล้งประชาชนก็ดีถมถืดแล้ว!
เดิมทีก็มีสีหน้าเย็นเยียบอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งทำให้คนไม่กล้ามองเลย
เหยียนเหอผิงรู้สึกขมขื่นใจ ‘คราวนี้รองผู้อำนวยการหลี่ซวยแล้ว’
เมื่อหลายวันก่อนได้ยินว่าผู้อำนวยการอาวุโสกำลังจะลาออกจากตำแหน่ง และรองผู้อำนวยการลู่ก็เป็นตัวเลือกที่มีโอกาสมากที่สุด
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ใต้จมูก หากรองอธิบดีลู่ไม่ถลกหนังก็ดีถมถืดแล้วละ
อย่าคิดจะช่วยเลย!
ฉืออี้หย่วนไม่ได้พูดอะไร แค่เฝ้ามองรองอธิบดีลู่แสดงความสามารถออกมา
หลงระเริงไปเถอะ เดี๋ยวได้รู้ว่าจะเสียใจมากแค่ไหน
เขาไม่รู้ว่ารองอธิบดีลู่เป็นคนแบบไหน
แต่คนที่อาเฉินส่งมาให้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“แกตายแล้วหรือไงเหยียนเหอผิง!” หลี่อิงฟาเกือบจะเข้าไปทุบเขา
แต่เพราะได้ยินเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน “หลี่อิงฟา ปกติคุณคุยแบบนี้กับพวกเจ้าหน้าที่แบบนี้หรือ?”
เสียงเย็น ๆ ทำเอาหลี่อิงฟาถึงกับตัวสั่น
ทำไมเสียงคุ้นนัก?
เสียงเหมือนเจ้าหน้าดำทะมึนนั่นเลย!
เขารีบหันกลับไปมองก่อนจะเห็นร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่ไม่ไกล
เดิมทีตำแหน่งที่ลู่หงฟางยืนไม่ได้ไกลจากเหยียนเหอผิง แต่หลังจากที่หลี่อิงฟาเดินเข้ามาแล้วเริ่มด่า เขาจงใจถอยไปยืนชิดมุมเพื่อให้อยู่ในนอกสายตาที่สุด
อย่างที่คาดไว้เลย เขามองไม่เห็นรองอธิบดีลู่จริง ๆ
แล้วตอนนี้ก็ได้เห็นพฤติกรรมน่ารังเกียจอย่างชัดเจน
เขาโกรธจนร่างสั่นเทา ไม่คิดเลยว่าจะมีคนแบบนี้ทำงานทำการในตำแหน่งสูงด้วย!
“รอง… รอง… รองอธิบดีลู่!”
เขาพูดตะกุกตะกัก
นี่เราประสาทหลอนหรือเปล่า?
รองอธิบดีลู่เป็นผู้บังคับบัญชาอันดับสองของสำนักงานเทศบาลนครนี่ ทำไมถึงมาสถานีตำรวจเล็ก ๆ แบบนี้ล่ะ?
แม้รองอธิบดีจะตั้งใจมาสืบสวนเรื่องราว แต่ควรส่งข้อความไปที่สำนักงานเขตก่อนเพื่อให้คนมาทำหน้าที่
ทว่ากลับถือวิสาสะมาด้วยตัวเอง ทั้งยังได้เห็นสีหน้าทะมึนของรองอธิบดีลู่อีก
“หลี่อิงฟา คุณนี่ทำตัวน่าประทับจริง ๆ ถ้าไม่รู้จักกันก็คิดว่าพวกอันธพาลแถวไหนเสียอีก!”
หลี่อิงฟากรีดร้องในใจ ‘ซวยชะมัดยาด!”
ทว่าเขาไม่ใช่คนที่สู้ใครไม่เป็น
“วันนี้ผมมาทำคดีครับ สิ่งที่ท่านไม่รู้ก็คือผมกับผู้อำนวยการแกมองคนผิดไป คิดว่าเหยียนเหอผิงเป็นคนดีเลยมอบหมายหน้าที่อันสำคัญให้”
“กลายเป็นว่าเขาเป็นพวกไร้ความสามารถ หลังจากเข้ารับตำแหน่งพวกคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไม่สามารถจัดการได้เลย ผมก็เลยต้องเดินทางมาด้วยตัวเองไง!”
คนที่ทำงานตำแหน่งนี้ได้ไม่ใช่คนโง่ หลี่อิงฟาก็เช่นกัน ถึงจะตัวอ้วนป่อง แต่หลักแหลมมาก
เขาคิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะทำให้ตัวเองดูแย่ไม่ได้เด็ดขาด ดีไม่ดีอาจจะซวยเลยก็ว่าได้
แทนที่จะอยู่เฉย ๆ สู้ยืนกรานต่อดีกว่า
เหยาอู่บอกว่ามีพยานเป็นเด็กสองสาวคนที่โดนทำร้ายร่างกาย โดยพวกเธอจะบอกให้ว่าเจ้านั่นต่างหากที่เป็นคนลงมือ
หากมีพยานสำคัญนี้อยู่ เราสามารถสรุปคดีได้
พอถึงตอนนั้นเหยาอู่จะรอด แต่พวกเหยียนเหอผิงขี้ประจบต้องเละแน่
เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
เพื่อจัดการฉืออี้หย่วน และเอาตัวซูเสี่ยวเถียนมา เลยต้องบังคับให้เด็กสองคนนั้นเป็นพยานพูดกลับขาวเป็นดำ
“งั้นบอกมาว่าคดีอะไร!”
รองอธิบดีลู่พยายามอดทน และตั้งใจฟังสิ่งที่อีกฝ่ายจะพ่นออกมา
ถ้าไม่เห็นสีหน้าก่อนหน้านั้นคงจะเชื่อไปแล้วละ
ตอนนี้อยากรู้ว่ามันจะทำยังไงต่อไป
“ผมต้องแจ้งให้ทราบว่ามันเป็นเพราะการดูแลที่หละหลวมของผมเองครับ”
“เมื่อคืนนี้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทที่ตลาดกลางคืน มีไอ้หนุ่มมากตัณหาเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยจึงคิดมิดีมิร้ายต่อพวกเธอ ทั้งจับมือถือแขน ทั้งทุบตีพวกเธอ”
“ถึงเหยาอู่จะไม่ได้เรียนหนังสือมา แต่เขามีความกล้าหาญมาก เห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นจึงเข้าไปช่วยเอาไว้ เพราะต้องการช่วยเหลือเด็กสาวเลยเกิดการวิวาทกัน”
“ทว่าเขาไม่แข็งแกร่งพอจะช่วยไว้ได้ โดนต่อยไม่พอยังโดนจับส่งสถานีตำรวจอีก แล้วยังโดนเจ้านั่นมันโต้กลับด้วย”
ถ้าหลี่อิงฟาบอกว่ามีคนตายก็คงจะเป็นจริง ใครที่ไม่รู้เรื่องนี้คงเชื่อหมดใจ
“อ้อ แล้วรองผู้อำนวยการหลี่ทราบได้ยังไงเล่า?”
“หลังจากได้ยินเรื่องราวผมก็ส่งลูกน้องไปหาพยาน โชคดีมากที่ได้เจอเรื่องราวเลยกระจ่าง”
หลี่อิงฟาเอ่ยด้วยท่าทางสบายใจ เห็นแล้วรู้สึกอึดอัดจริง ๆ!
ไม่ได้รู้เลยว่าคนอื่น ๆ ที่ได้ยินกำลังนึกสับสน
ไม่คิดเลยว่าจะพูดออกมาได้หน้าด้าน ๆ
รองอธิบดีลู่มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา และมันทำให้คนโดนมองเหงื่อแตกพลั่ก
รู้ความจริงแล้วหรือเปล่านะ?
ไม่หรอก เขาสนใจแต่เรื่องสำคัญ ๆ จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ?
ฉืออี้หย่วนสังเกตสีหน้าคนรอบ ๆ การที่หลี่อิงฟาพูดแบบนี้แสดงว่ามีพยานจริง ๆ
พอคิดว่าเป็นสองสาวคู่นั้น สีหน้าชายหนุ่มถึงกับเย็นลง
“ผมอยากจะถามรองผู้อำนวยการหลี่ว่า ถ้ารู้ดีขนาดนี้แล้วยังต้องฟังเหยาอู่พูดอีกหรือ?”
หลี่อิงฟาตื่นตระหนก ก่อนจะรีบตอบ
“ผมได้ยินจากเหยาอู่พูดน่ะครับ เราจะปล่อยให้คนชั่วเพ่นพ่านต่อไปไม่ได้นะครับ!”