เล่ม 1 ตอนที่ 296-2 ทั้งบ้านรู้ความจริง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 296-2 ทั้งบ้านรู้ความจริง

จีหมิงซิวกลับไปที่ห้องใต้เท้าเจ้าสำนักก็อยู่ด้วย วันนี้เขาดูต่างไปจากปกติ ถึงแม้สีหน้าจะบูดบึ้งแต่ดูจากท่าทางน่าจะเปิดใจแล้ว

จีหมิงซิวยังอยากรู้อยากเห็นถึงขั้นซักถามว่าเขาชอบพอสาวใช้นางใด แค่พอเห็นเขาไม่ได้นั่งรถเข็นแล้วจึงถามว่า “ขาหายแล้ว?”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่สบอารณ์ว่า “หายแล้ว” อันที่จริงหายตั้งนานแล้วเพียงแค่แกล้งป่วยมาตลอดเท่านั้น แต่หลังจากถูกเฉียวเวยเข็นรถอย่างบ้าคลั่งเป็นต้นมา เขาก็รู้สึกหวาดกลัวรถเข็นขึ้นมาทันที

เฉียวเวยปลอกผลไม้เอาเข้ามาวางข้างๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักก่อนจะถามอย่างใจดีเหลือแสนว่า “กินสิ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งสายตาค้อนเป็นพัลวัน ลูบศีรษะที่ยังเจ็บอยู่เล็กน้อยก่อนจะปักไม้ลงไปในสาลี่ชิ้นหนึ่งอย่างไร้ปราณี!

เฉียวเวยเดินเข้าไปหาจีหมิงซิว ยกมือขึ้นปลดเสื้อคลุมกันลมให้เขา “กลับมาแล้วหรือ พระพลานามัยของฮ่องเต้เป็นอย่างไรบ้าง”

จีหมิงซิวกางแขนออกให้อีกฝ่ายคลายเสื้อให้ตนได้สะดวกพลางตอบว่า “ฮ่องเต้ทรงแข็งแรงดีมาก”

เฉียวเวยพึมพำว่า “แกล้งประชวรอีกแล้วใช่หรือไม่”

จีหมิงซิวไม่ได้ตอบปฏิเสธ

เฉียวเวยปลดเสื้อตัวนอกให้เขาเสร็จก็ถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงกลับมาเสียเล่า ไม่กลัวฝ่าบาททรงกริ้วเอาหรือ”

จีหมิงซิวมองนางนิ่งๆ พร้อมมุมปากที่ยกขึ้น “คิดถึงภรรยาแล้วจะไม่กลับมาได้อย่างไร”

เฉียวเวยพยายามกดมุมปากลงเท่าไรก็ไม่เป็นผล

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองทั้งสองออดอ้อนกันไปมาแล้วได้แต่เบ้ปากด้วยความเบื่อหน่าย เอาแต่กระเง้ากระงอดกันทั้งวัน ขนลุกไหมนี่!

จีหมิงซิวเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าสบายๆ ยามอยู่บ้านแล้วนั่งลงตรงข้ามน้องชายตน เฉียวเวยชงชาดอกไม้มาให้ ช่วงที่เขายกดื่ม เฉียวเวยก็เล่าเรื่องในจวนให้เขาฟัง “ท่านกลับมาก็ดีเลย ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านพอดี”

“เรื่องท่านน้ากับท่านเขยหรือ” จีหมิงซิวถาม

“ท่านรู้เรื่องแล้ว?” เฉียวเวยตกใจ

จีหมิงซิวบอกเรียบๆ ว่า “ได้ยินตั้งแต่เข้าประตูมาแล้ว”

เฉียวเวยทำเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้าแล้วนั่งลงข้างกายเขา “ข่าวดีไม่มีเล็ดรอด ข่าวร้ายกระจายไวเป็นไฟลามทุ่งจริงๆ เสียด้วย จะว่าไปคิดไม่ถึงเลยว่าท่านเขยจะเป็นคนเช่นนี้”

จีหมิงซิวปล่อยมือหนึ่งมาจับมือนางที่วางอยู่บนโต๊ะ “เจ้าอยากพูดกับข้าเรื่องนี้?”

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด “ทำไม? รังเกียจว่าเรื่องเล็กหรือ”

จีหมิงซิวยิ้มด้วยความจนใจ “ไม่ใช่ เพียงแต่ท่านน้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วเรื่องส่วนตัวของนาง ผู้อ่อนอาวุโสกว่าไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง”

เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบมองหน้ากัน เก็บความคิดที่หมายจะขอผลงานเอาไว้โดยพร้อมเพรียง เดิมทีวันนี้ที่จับท่านเขยได้คาหนังคาเขา ต้องยกความดีความชอบให้กับแผนการที่ไร้ (รู) ซึ่ง (โหว่) รู (เป็น) โหว่ (ร้อย) ของใต้เท้าเจ้าสำนัก ถึงแม้เหตุการณ์จะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้สักเท่าไร แต่ในความผิดพลาดเหล่านั้นก็ได้มาถึงเป้าหมายแล้ว

ใต้เท้าเจ้าสำนักอุตส่าห์สร้างผลงานใหญ่ได้ทั้งที เดิมคิดอยากจะคุยโวให้ยิ่งใหญ่สักหน่อย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เลยไม่กล้าเอ่ยปากไป

เฉียวเวยที่เป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” เลยจำต้องเปลี่ยนคำพูดเอาหน้าเป็น “เรื่องนี้มีท่านย่ากับท่านพ่อคอยเป็นธุระ พวกเราย่อมไม่อาจเข้าไปสร้างความวุ่นวายได้ จริงรึไม่ หมิงเยี่ย”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ใช่แล้ว!”

จีหมิงซิวมองทั้งสองด้วยความแปลกใจ “พวกเจ้าสองคนเป็นมิตรกันเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ก็วันนี้อย่างไร ร่วมกันก่อเรื่องมากมายมาอย่างไรเล่า

เฉียวเวยเปลี่ยนเรื่องไปหน้าตาเฉย “วันนี้เรื่องที่ข้าอยากคุยกับเจ้าอันที่จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

ไม่ๆๆ เดิมทีแค่คิดอยากจะพูดเรื่องท่านน้ากับท่านเขยเท่านั้น แต่อีตานี่หัวไวเกินไป ใกล้จะจับไต๋พวกเขาสองคนได้เต็มที รีบโยนเหยื่อตัวใหญ่อันอื่นออกไปดีกว่า!

ปลายนิ้วจีหมิงซิวที่แตะอยู่บนหลังมือนางพลันหยุดนิ่ง “เรื่องอะไร”

เฉียวเวยบอกว่า “หมิงเยี่ยเขา…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองหน้าเฉียวเวยด้วยสายตาอันตราย หากกล้าเอาเรื่องที่ข้าถูกคนขืนใจมาพูด ข้าจะเอาเรื่องที่เจ้าสกัดขาท่านน้าจนตกน้ำมาเล่าให้ฟังเหมือนกัน!

เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “เขาถูกคนทำร้าย”

จีหมิงซิวสีหน้าดูขรึมลง “ใคร”

เฉียวเวยลุกขึ้นยืน ผลักใต้เท้าเจ้าสำนักไปยังเก้าอี้ยาวอีกตัวหนึ่ง “หมิงเยี่ยจะบอกท่านเอง!”

จีหมิงซิวหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนัก

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมเบาๆ เอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร นางมีผ้าปิดหน้า แต่มาด้วยกันสองคน คนหนึ่งเป็นคุณหนู อีกคนหนึ่งเป็นสาวใช้ สาวใช้ออกไปก่อน เป็นคุณหนูนางนั้นที่ทำร้ายข้า”

“ทำร้ายที่ใด” จีหมิงซิวขมวดคิ้วถาม

ใต้เท้าเจ้าสำนักแหวกอกเสื้อออก เผยให้เห็นรอยฝ่ามือที่ยังไม่ทันจางหายไป แต่ที่ตัวเขาไม่รู้ก็คือ ข้างๆ รอยฝ่ามือนั้นยังมีร่องรอยรสรักเหลืออยู่ไม่น้อย

“แค่กๆ!” เฉียวเวยกระแอมไอ

ใต้เท้าเจ้าสำนักก้มลงมองก็เห็นมีรอยกัดรอยข่วนกระจายอยู่เต็มไปหมด หน้าเขาพลันแดงก่ำ ปิดเสื้อเข้าหากันทันที

จีหมิงซิวไม่ได้ซักไซ้ต่อว่าร่องรอยเหล่านั้นมาได้อย่างไร แต่หันไปพูดกับเฉียวเวยว่า “ดูจะไม่ใช่แผลธรรมดาทั่วไป ให้ใครไปเรียกจีอู๋ซวงมาที”

“ได้” เฉียวเวยพยักหน้าแล้วเรียกปี้เอ๋อร์มาให้นางไปบอกบ่าวที่เฝ้าอยู่ตรงเรือนหน้าให้ไปรับตัวจีอู๋ซวงมาที่นี่

ภายในห้อง จีหมิงซิวหันไปถามใต้เท้าเจ้าสำนักว่า “เจ้าไปเจอพวกนางที่ใด แล้วเหตุใดถึงไปประมือกับพวกนางได้”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสายตาพลันล่อกแล่ก “ข้า…กินข้าวอยู่ในโรงเตี๊ยม”

จีหมิงซิวพลันเคร่งขรึม “เจ้าออกจากจวนอีกแล้ว?”

เฉียวเวยรีบบอกว่า “ข้าเป็นคนพาเขาออกไปเอง”

“ข้าแค่อยากออกไปเดินเล่น!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตาเป็นประกาย กลัวว่าหากจีหมิงซิวถามต่อจะยิ่งพบพิรุธ เลยรีบบอกว่า “ให้ตายสิ เจ้าน่ารำคาญไหมนี่ เอาแต่ถามเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เรื่องสำคัญเจ้าจะฟังหรือไม่”

จีหมิงซิวเอานิ้วเขี่ยตรงมุมปาก “ได้ เจ้าว่ามา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าจริงจัง “ข้าแอบได้ยินมาที่หน้าประตู!”

บอกเป็นนัยๆ ว่าเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นใต้เตียง!

ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดต่อ “พวกนางรู้ว่าข้าแอบฟังอยู่ก็เลยทำร้ายข้า พวกนางมาที่นี่เพื่อตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับ พวกนางคิดจะยึดครองตระกูลจี แล้วยึดครองชนเผ่าลึกลับผ่านทางตระกูลจี”

ปลายนิ้วของจีหมิงซิวเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ “พวกนางรู้ถึงความเกี่ยวข้องระหว่างตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับ?”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึก่อนตอบว่า “ไม่ใช่แค่นั้นนะ พวกนางยังรู้ด้วยว่า ตระกูลจีมีโหราจารย์!”

เฉียวเวย “…”

ความเกี่ยวโยงระหว่างตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับก็ไม่ได้อยู่ที่ทายาทของโหราจารย์ที่เป็นคนตระกูลจีหรอกหรือ

จีหมิงซิวถามว่า “พวกนางรู้ได้อย่างไร นอกจากฮ่องเต้แล้วข้าไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้อื่นอีก พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าก็ไม่ได้บอก”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “ฉางเฟิงสื่อของพวกนางได้ผลสองภพไปจากบ้านตระกูลจี พวกนางเลยเดาว่าตระกูลจีไปที่ชนเผ่าลึกลับมาแล้ว”

จีหมิงซิวจมลงสู่ความเงียบ

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันมาเหลือบมอง ส่งเสียงหึก่อนบอกว่า “เหตุใดถึงเงียบไปล่ะ”

จีหมิงซิวหรี่ตา “ข้ากำลังคิดว่าชื่อฉางเฟิงสื่อนี้ฟังดูคุ้นหูชอบกล คล้ายเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน”

เฉียวเวยเอามือกอดอก “หลังจากข้ากลับมาต้าเหลียง เพราะกลัวว่าผลสองภพจะทำให้ความลับของชนเผ่าลึกลับรั่วไหลเลยไม่ได้ส่งไปให้คนอื่นที่อยู่นอกตระกูลจี มีแค่ให้นายท่านของแต่ละเรือนในตระกูลจีไป และบอกเพียงว่านี่เป็นผลไม้ที่ตระกูลมารดาข้าเป็นคนปลูกเอง คนตระกูลจียังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือผลสองภพ ฉางเฟิงสื่ออะไรนั่นรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรามีผลสองภพ”

จีหมิงซิวสายตาเยือกเย็นลง “มีหนอนบ่อนไส้อยู่ในตระกูลจี” ซ้ำยังเป็นหนอนบ่อนไส้ที่รู้เรื่องดีเสียด้วย

ระหว่างที่พูดนั้น ปี้เอ๋อร์ก็เอ่ยรายงานอยู่หน้าประตูว่า “คุณชาย ฮูหยินน้อย ใต้เท้าจีอู๋ซวงมาแล้วเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยจึงบอกว่า “เชิญเขาเข้ามา”

จีอู๋ซวงก้าวเข้ามาในห้อง ใต้เท้าเจ้าสำนักกินยากดกำลังภายในตัวใหม่ลงไป กำลังภายในที่ปั่นป่วนจึงค่อยๆ สงบลงแล้ว ดูจากชีพจรแล้วไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากตรวจสอบรอยฝ่ามือตรงหน้าอกเขาแล้ว สายตาจีอู๋ซวงก็ปรากฏแววตกใจ

“มีอะไรหรือ” เฉียวเวยถามด้วยความอยากรู้

จีอู๋ซวงไม่รู้ว่าควรตกใจหรือว่าหัวเราะดี “ไม่ต้องเปลืองแรงออกตามหาก็ได้มาโดยรองเท้าไม่ต้องสึกแล้ว! นี่คือฝ่ามือเก้าสุริยัน! คนที่ทำร้ายคุณชายรองก็คือคนที่มีวิชาเก้าสุริยัน! ก่อนหน้านี้ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน เวลานี้กลับมาหาถึงที่เสียแล้ว! ดีๆๆ ดีเลิศประเสริฐศรีจริงๆ!”

ดีกับผีอ่ะสิ!

ใต้เท้าเจ้าสำนักแทบอยากจะร้องไห้ นางยักษ์เบอร์สองเป็นถึงผู้สืบทอดวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันเชียวหรือ ยังไม่ทันถอนพิษเลยก็ดันไปหลับนอนกับผู้สืบทอดวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันเสียแล้ว… เช่นนี้แล้วต่อไปจะถอนพิษอย่างไรได้