ตอนที่ 2,524 : นายหน้ายังมีชีวิตอยู่!
และเพราะต้วนหลิงเทียนไม่เคยเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตที่แล้วออกมา ถังเซี่ยวเซี่ยวจึงไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าดาวเหยียนหวง ก็คือโลกนั่นเอง…
ทำให้ถังเซี่ยวเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะงุนงงเมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนเรียกดาวเหยียนหวงว่าโลกอยู่บ้าง…
ในขณะที่ถังเซี่ยวเซี่ยวกำลังงงอยู่นั้น
ด้านต้วนหลิงเทียนได้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกเรียบร้อย คนพุ่งลับตาหายไปในม่านเมฆไม่ทราบไปที่ใดแล้ว!
โลกนั้น…ไม่ต้องกล่าวถึงท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาวไร้ขอบเขต แม้จะเอาแค่ในนดาราจักรทางช้างเผือก ก็ถือว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงกระจ้อยนัก!
ตลอดการเดินทาง 3 เดือนที่ผ่านมา ดาวเคราะห์ที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอหลายดวงไม่เว้นดาวเคราะห์แซทเทิลอันเป็นดาวแม่ของดาราจักรคอสเตอร์ ก็มีขนาดใหญ่กว่าโลกหลายร้อยเท่านัก…
และเมื่อโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ เพียงห้วงคิดสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนก็ปกคลุมไปทั้งโลกได้อย่างง่ายดาย
สรรพสิ่งบนโลกไร้สิ่งใดที่สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนไม่อาจสัมผัส
‘ผ่านไปแค่ไม่กี่สิบปี…โลกเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้เลยเหรอ!?’
หลังจากที่สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนแผ่ปกคลุมไปทั้งโลกได้ไม่ทันไร เขาก็ตระหนักได้ชัดเจน ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกในตอนนี้กับโลกในชีวิตก่อนหน้าของเขา!
ถึงแม้เทคโนโลยีบนโลกจะยังไล่ตามเทคโนโลยีบนดาวเคราะห์บางดวงในดาราจักรทางช้างเผือกไม่ทัน…
แต่เมื่อเทียบกับโลกในความทรงจำของต้วนหลิงเทียน เรียกว่าระดับเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของโลกในตอนนี้มันสูงกว่าเมื่อไม่กี่สิบปีที่แล้วอย่างมาก!
‘ผ่านไปแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น…ทำไมโลกถึงได้เปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?’
เพียงเวลาแค่ไม่กี่สิบปี แต่โลกในสายตาของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เสมือนมันก้าวหน้าขึ้นไปนับร้อยๆปี ความจริงดังกล่าวย่อมทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจไม่ตกใจ
‘อีกทั้ง…มนุษย์โลกบางคนไฉนพลังวิญญาณถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้ล่ะ? ค่าเฉลี่ยถึงกับพอๆกับคนในดาราจักรคอสเตอร์เลย กระทั่งบางคนยังถึงขั้นทัดเทียมกับข้า!’
ด้วยสำนึกเทวะที่แผ่ปกคลุมไปทั้งโลกของต้วนหลิงเทียน เขาย่อมจับสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณอันมหาศาลหลายจุดได้ทันที!
และมนุษย์เจ้าของพลังวิญญาณเหล่านี้ บางคนถึงขั้นมีระดับพลังวิญญาณทัดเทียมกับเขา!!
ต้องทราบด้วยว่าระดับพลังวิญญาณของเขานั้น อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
นอกจากนั้นยังเป็นระดับพลังวิญญาณสูงสุดเท่าที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าถึงได้ในระนาบโลกียะ!
สำหรับเซียนอมตะเสเพลนั้น ไม่อาจใช้คำมนุษย์ธรรมดามานิยามได้อีกต่อไป…
“ไหงเจ้าทำหน้าเช่นนั้นเล่า มีเรื่องใดหรือ?”
ไม่นานถังเซี่ยวเซี่ยวที่ก่อนหน้าลอยล่องอยู่ในอวกาศก็เหินเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก และเหินมาหยุดข้างๆต้วนหลิงเทียนพลางถามออกไปด้วยความสงสัยทันที
อย่างไรนางกับต้วนหลิงเทียนก็เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ สำนึกเทวะของนางก็สามารถแผ่ไปปกคลุมทั้งโลกได้ในพริบตาเช่นกัน เรื่องจะตามหาตัวต้วนหลิงเทียนก็ง่ายดายนัก
“เจ้ามาพอดีเลย ข้ากำลังสงสัยเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้าเจ้าเคยบอกข้าว่าที่คนในดาราจักรคอสเตอร์สามารถมีพลังวิญญาณสูงถึงขีดสุด…เป็นเพราะพวกมันใช้ยาพันธุกรรมบางอย่าง”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามถังเซี่ยวเซี่ยวทันที “นอกจากนี้เจ้ายังบอกข้าอีกด้วย ว่ายาพันธุกรรมที่ช่วยยกระดับจิตวิญญาณของพวกมัน แม้จะทำให้ระดับพลังวิญญาณของพวกมันสูงถึงขีดสุดเท่าที่จะทำได้…แต่พวกมันก็ไม่อาจแผ่พุ่งพลังวิญญาณได้ นับประสาอะไรกับใช้ทักษะวิญญาณ…”
ในตอนที่ยังอยู่ที่ดาราจักรคอสเตอร์ และพบกับคนของดาราจักรคอสเตอร์เป็นครั้งแรก ต้วนหลิงเทียนก็ได้แผ่สำนึกเทววะออกไปตรวจสอบพวกมัน จึงพบว่าระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเขาเลย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนก็ตามที
ต่อมาเขาจึงได้รู้จากคำอธิบายของถังเซี่ยวเซี่ยวว่า สาเหตุที่จิตวิญญาณของคนในดาราจักรคอสเตอร์แข็งแกร่งมากนั้น ล้วนเป็นเพราะพวกมันได้ใช้ยาพันธุกรรมบางอย่าง แต่ว่าพวกมันก็ไม่อาจแผ่พุ่งพลังวิญญาณ และใช้อำนาจจิตอะไรได้…
แน่นอนว่าถึงอีกฝ่ายจะทำอะไรไม่ได้เลย แต่ตัวเขาก็ไม่อาจทำร้ายพวกมันด้วยการใช้พลังวิญญาณเช่นกัน
ในเมื่อระดับพลังวิญญาณของพวกมันไม่ด้อยไปกว่าเขา เช่นนั้นการป้องกันของพวกมันก็ย่อมแข็งแกร่ง ยากที่พลังวิญญาณเขาจะทำร้ายพวกมันได้…
“แต่…ทำไมมนุษย์ที่นี่กลับมีระดับพลังวิญญาณสูงถึงขนาดนี้ได้ล่ะ?”
ขณะถามถึงประโยคนี้ ต้วนหลิงเทียนก็มองถังเซี่ยวเซี่ยวด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“เดี๋ยวนะ…อืม…สาเหตุที่คนบนดาวนี้มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งขนาดนี้เป็นเพราะยาพันธุกรรมเหมือนกัน…แต่ทว่ายาพันธุกรรมที่ทุกคนใช้คล้ายจะเป็นยาพันธุกรรมระดับต่ำ ทำให้แต่ละคนหากคิดจะยกระดับจิตวิญญาณให้สูงถึงขีดสุดจำต้องใช้ยาหลายครั้ง และต้องทำลายขีดจำกัดร่างกายให้สอดรับกับระดับจิตวิญญาณในระดับหนึ่งด้วย..”
หลังสำนึกเทวะของถังเซี่ยวเซี่ยวแผ่ไปตรวจสอบผู้คนบนโลกโดยละเอียด เมื่อจงใจตรวจสอบคนที่มีพลังวิญญาณเท่านางและต้วนหลิงเทียนสักพัก นางก็ค้นพบสาเหตุ…
“และด้วยเหตุนี้ บางคนจึงสามารถใช้จิตวิญญาณสัมผัสถึงพลังต่างๆในฟ้าดิน…อย่างเช่นพวกธาตุตามธรรมชาติอะไรพวกนั้น”
ขณะกล่าวประโยคนี้ สำนึกเทวะของถังเซี่ยวเซี่ยวก็เพ่งเล็งไปยังสถานที่แห่งหนึ่งบนโลก
ที่นั่นปรากฏร่าง 2 ร่างกำลังต่อสู้กัน
ทันใดนั้นถังเซี่ยวเซี่ยวก็หยิบแผ่นหยกที่มีลวดลายอักขระออกมาบดขยี้ชิ้นหนึ่ง
วู้มมม!
ครู่ต่อมา เบื้องหน้านางกับต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏม่านแสงดั่งกระจกทามกลางความว่างเปล่า และเริ่มฉายภาพเคลื่อนไหวให้เห็น
ภาพเคลื่อนไหวในกระจกดังกล่าว ก็คือภาพคนสองคนที่สำนึกเทวะของถังเซี่ยวเซี่ยวกำลังเพ่งเล็งอยู่ ชายหญิงที่กำลังประมือกันนั้น…วิธีต่อสู้นับว่าน่าดูชมไม่น้อย! คนหนึ่งควบคุมเปลวไฟดั่งแขนขา ส่วนอีกคนกลับควบคุมสายฟ้าอย่างดุดัน!!
“ดูไป…ก็คล้ายผู้ฝึกเต๋าไม่น้อยเลย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำออกมา
ในใจของเขายังมีอีกคำที่ไม่ได้พูดออกมา
นั่นคือสองคนนี้เหมือนพวก ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ ในหนังที่เขาเคยดูเมื่อชาติที่แล้ว
“พวกมันไม่ใช่ผู้ฝึกเต๋าหรอก…สมควรเป็นพวก นักรบเหนือธรรมชาติ”
หลังได้ยินคำพึมพำของต้วนหลิงเทียน ถังเซี่ยวเซี่ยวก็ส่ายหัวไปมาค่อยพูดว่า “นักรบเหนือธรรมชาติ ปกติแล้วจะปรากฏให้เห็นในสถานที่ๆมีเทคโนโลยีไม่สูงมากนัก”
“เนื่องจากระดับเทคโนโลยีไม่สูงมากพอ ยาพันธุกรรมที่พัฒนาสร้างขึ้นจึงมีระดับต่ำมาก ยากจะยกระดับจิตวิญญาณของผู้ใช้ให้สูงขึ้นได้โดยตรง”
“อย่างที่ข้าพึ่งบอกไปก่อนหน้า หากใครคิดจะยกระดับจิตวิญญาณให้บรรลุถึงจุดสูงสุดจำต้องทำลายขีดจำกัดทางกายให้สอดรับ และในขั้นตอนดังกล่าวพวกมันก็ค่อยๆตระหนักถึงพลังในฟ้าดินเพื่อเพิ่มพูนขีดจำกัด สุดท้ายก็เลยเอามาใช้งานในรูปแบบนี้”
“และตัวตนที่สามารถสัมผัสถึงพลังในฟ้าดิน แล้วเอามาใช้งานได้ ก็เรียกว่านักรบเหนือธรรมชาติ…”
“อย่างพวกมัน…”
กล่าวถึงจุดนี้ถังเซี่ยวเซี่ยวก็หันไปมองร่างทั้ง 2 ในม่านแสง “ทั้งคู่ล้วนเป็นนักรบเหนือธรรมชาติ”
“เจ้า…เรื่องพวกนี้ทำไมก่อนหน้าไม่เห็นพูดถึงเลยล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“ที่ข้าไม่ได้บอกเจ้า เพราะมันไม่จำเป็นไง”
ถังเซี่ยวเซี่ยวส่ายหัวไปมา “เว้นเสียแต่นักรบเหนือธรรมชาติเหล่านี้จะพบพานวาสนาจนได้กลายเป็นผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกเต๋า…ไม่งั้นความสำเร็จของพวกมันก็ถูกจำกัดไว้อย่างมาก…”
“และไม่ต้องถึงมือผู้ฝึกตนอย่างพวกเราด้วยซ้ำ เอาแค่สุ่มหยิบใครก็ได้ในดาราจักรคอสเตอร์มาสักคน แล้วให้ใช้หุ่นเกราะที่มีระดับต่ำสุด ก็สามารถล้มนักรบเหนือธรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวเหยียนหวงตอนนี้ได้ง่ายดาย…”
พอได้ฟังเหตุผลที่ถังเซี่ยวเซี่ยวกล่าวอธิบายออกมา ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจแล้วว่าไฉนนางถึงไม่บอกเรื่องพวกนี้ให้เขาฟัง
ในสายตาของถังเซี่ยวเซี่ยวนักรบเหนือธรรมชาติก็เหมือนมดปลวกไร้ค่า ไฉนนางต้องพูดถึงพวกมันด้วย?
‘แต่ว่าในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่าน…มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกกันแน่?’
‘ทำไมในเวลาแค่ไม่กี่สิบปี เทคโนโลยีบนโลกถึงได้ก้าวหน้าไปนับร้อยๆปีได้?!’
จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนนัก
‘โชคดีที่แผ่นดินเกิดของข้ายังคงอยู่…อีกทั้งมนุษย์กว่าครึ่งโลกที่มีระดับจิตวิญญาณถึงขีดจำกัด ก็อยู่ในแผ่นดินบ้านเกิดของข้า!’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อตรวจพบเรื่องนี้จากสำนึกเทวะ
ในชีวิตที่แล้วเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่รู้หน้าตาของพ่อแม่ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองยังมีญาติมิตรหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้อีกหรือไม่…
อย่างไรก็ตามประเทศได้ให้การอุปถัมป์เด็กกำพร้าไร้สำคัญอย่างเขา ส่งเสียให้เขาเรียนออกทุนให้เขาดำรงชีวิต เช่นนั้นแล้วหลังจากที่เขาเติบโตขึ้นมา ไม่เพียงจะอุทิศตัวเพื่อรับใช้ประเทศชาติด้วยการเข้าร่วมหน่วยรบพิเศษ! แม้กระทั่งออกจากหน่วบรบพิเศษของชาติจนกลายไปเป็นราชันทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เขายังอุทิศตัวเพื่อชาติบ้านเมือง ลอบปกป้องมาตุภูมิอย่างลับๆ
ผู้ใดหาญกล้าล่วงละเมิดมาตุภูมิเขา ต่อให้จะต้องไล่ล่าไปถึงสุดขอบโลก…พวกมันต้องตาย!
นี่คือ ปณิธาน ที่ต้วนหลิงเทียนยึดมั่น และยังเป็นปณิธานอันแรงกล้าที่ไร้วันสั่นคลอน!
กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงเดิมไม่แปรเปลี่ยน!
น่าเสียดายที่เป็นเพราะปณิธานนี้เอง ที่ทำให้ในชีวิตที่แล้วของเขาพาตัวไปสู่จุดอับ ถูกนายหน้าหักหลังจนตกตาย…
‘เจ้านั่น…ไม่รู้ป่านนี้มันจะยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า’
‘ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่…มันต้องมีชีวิตที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย’
เกี่ยวกับนายหน้าในชีวิตที่แล้วของเขา ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้จักความสามารถของอีกฝ่ายดีจนไม่อาจรู้ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว อีกฝ่ายมีความสามารถไม่ธรรมดาจริงๆ
ในชีวิตที่แล้ว ก็เป็นเขาเลือกที่จะให้ความไว้วางใจอีกฝ่าย และปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตเอง
และสาเหตุที่เขาไว้วางใจอีกฝ่ายกระทั่งให้เป็นนายหน้าคอยติดต่องานทั้งเข้ามาในชีวิต ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเคยช่วยชีวิตเขาไว้…
กล่าวไปในตอนนั้นถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย เขาก็ไม่ถึงกับจะถูกฆ่าตายอะไร กระทั่งยังสามารถหลบหนีไปได้ แน่นอนถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บหนักอยู่บ้างก็ตามที…
ทว่าในใจเขาสำนึกบุญคุณคนอยู่เสมอ กระทั่งยังตกลงรับข้อเสนออีกฝ่ายเรื่องอยากเป็นนายหน้าให้เขา เพื่อคอยติดต่อหางานที่น่าสนใจให้เขาอีกทาง
หลังจากคบหากันเป็นเพื่อน อีกฝ่ายก็นับว่าเป็นคนดีมีเหตุผล ทั้งไม่จัดงานที่ขัดต่อมโนธรรมให้เขาเป็นเวลานานหลายปี สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เพื่อนอีกต่อไปยังนับถือเป็นพี่ชายคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเขาคิดไม่ถึงจริงๆ
ในที่สุดคนที่เขาเห็นไม่ต่างจากพี่ชายแท้ๆ กลับเป็นคนที่ทรยศหักหลังเขา…
‘ข้าล่ะหวังจริงๆ ว่าเจ้าจะยังอยู่…’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนก็แผ่ออกไปปกคลุมโลกทั้งใบอีกครั้ง และเริ่มตรวจสอบผู้คนทุกคนบนโลกโดยจงใจค้นหาเฉพาะผู้ที่มีจิตวิญญาณสูงถึงขีดสุดเป็นกลุ่มแรก
เพราะคนเหล่านี้คือตัวตนที่โดดเด่นแม้จะเป็นในบรรดานักรบเหนือธรรมชาติด้วยกัน
สาเหตุที่ไฉนต้วนหลิงเทียนเลือกจะตรวจสอบจากคนกลุ่มนี้ก่อน เพราะเขาเชื่อโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากโลกบังเกิดความเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ในเวลาไม่กี่สิบปี
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทำไมโลกถึงบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไป แต่จากความเข้าใจที่มีต่อนายหน้าเขา อีกฝ่ายไม่พลาดที่จะฉกฉวยยุคสมัยนี้แน่นอน! และไม่พ้นด้วยความสามารถรวมถึงความกระหายที่มี มันต้องนำพาตัวเองไปสู่จุดยอดของปิรามิดได้เป็นแน่!!
‘เจอแล้ว! มันยังอยู่จริงๆ!!’
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนเพียงเลือกตรวจสอบบรรดาผู้ที่มีจิตวิญญาณสูงสุดราวๆร้อยกว่าคนตามความรู้สึกเท่านั้น
แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอนายหน้าของเขาจริงๆ!
ภายใต้การตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยสำนึกเทวะ ต้วนหลิงเทียนได้ค้นพบนายหน้าของเขาท่ามกลางนักรบเหนือธรรมชาติที่มีระดับจิตวิญญาณสูงถึงขีดสุดไม่กี่ร้อยคนบนโลก…
แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว แต่นายหน้าของเขาคนนี้ยังมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ต่างไปจากเดิมเลย อีกฝ่ายดูอ่อนกว่าวัยนัก…
แต่เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไร
ด้วยระดับเทคโนโลยีในปัจจุบันของโลก ยาพันธุกรรมไม่กี่ตัวก็มากพอจะทำให้คนแลดูอ่อนกว่าวัยแบบนี้แล้ว…
อย่างไรก็ตามยาพันธุกรรมที่ว่ายังมีขีดจำกัด และเพียงทำให้รูปร่างภายนอกแลดูอ่อนกว่าวัยเท่านั้น
ส่วนความเสื่อมโทรมของอวัยวะภายในนั้น ด้วยระดับเทคโนโลยีบนโลกตอนนี้เพียงแค่ชะลอได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น
‘ยังไม่ตายก็ดีแล้ว…ข้าล่ะกลัวเจ้าจะตายไปแล้วจริงๆ!’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเยียบเย็นเรืองวูบ!