ตอนที่ 307-2 ซาลาเปาน้อย ไปเยี่ยมเจาหมิง (1)
พอถึงเวลาอาหาร ในที่สุดเจ้าซาลาเปาน้อยวั่งซูก็ตื่นเสียที พอลืมตาเห็นอาหารส่งไอร้อนพวยพุ่งวางอยู่เต็มโต๊ะ ก็ตื่นเต้นดีใจจนกระโดดลงจากอกบิดา ปีนขึ้นเก้าอี้ของตนเอง ทำตาโตมองอาหารบนโต๊ะแล้วเริ่มน้ำลายไหลออกมา
ถึงแม้จะอยากกินมาก แต่วั่งซูก็เข้าใจถึงมารยาทเวลาคนในครอบครัวกินข้าวด้วยกัน นางรออยู่พักหนึ่งพอใต้เท้าเจ้าสำนักมาถึงจึงเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมา
พอกินกันอิ่มเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงพาทั้งสามออกจากบ้านชิงเหลียน วั่งซูอุ้มเสี่ยวไป๋ จิ่งอวิ๋นอุ้มต้าไป๋
เสี่ยวไป๋ยังตัวเล็ก ต้าไป๋กลับตัวใหญ่ขึ้นมาเป็นกอง จิ่งอวิ๋นไม่มีทางยอมรับว่าตนออกจะเมื่อยเวลาอุ้มมันอยู่สักหน่อย
“น้องสาว พวกเรามาเปลี่ยนกันไหม” จิ่งอวิ๋นถาม
“ทำไมเล่า” วั่งซูถามพลางทำตาโต
“เพราะเวลามีอะไรดีๆ ก็ต้องแบ่งปันกันน่ะสิ” จิ่งอวิ๋นเอ่ยหน้าตาเฉย
เหตุผลนี้ไม่ฟังดูน่าขันเกินไปนัก แต่ถึงอย่างไรวั่งซูก็ไม่คิดอะไรซับซ้อนอยู่แล้ว จึงสลับเปลี่ยนเสี่ยวไป๋กับต้าไป๋ให้ด้วยความยินดี
จิ่งอวิ๋นพอได้อุ้มเสี่ยวไป๋ ก็รู้สึกว่าตนมีพละกำลังมากขึ้นมาทันที
แต่แล้วจู่ๆ วั่งซูก็จับตัวจูเอ๋อร์มาส่งให้พี่ชายอุ้มพร้อมเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “จูเอ๋อร์ก็ให้เจ้าด้วย”
จิ่งอวิ๋นอยากจะร้องไห้
…
ตอนเดินไปถึงหน้าประตู จีซั่งชิงมาถึงแล้ว เขานั่งอยู่บนรถม้า มองครอบครัวลูกชายที่เดินกันมาอย่างผึ่งผาย ในใจทั้งรู้สึกอบอุ่นทั้งรู้สึกโดดเดี่ยว อบอุ่นที่ลูกชายคนโตมีครอบครัวแล้ว ลูกชายคนเล็กกลับมาบ้านแล้ว ที่โดดเดี่ยวเป็นเพราะเขากับลูกๆ ไม่ได้สนิทสนมกันเช่นในวันวานอีก
‘ท่านปู่!’
ซาลาเปาน้อยทั้งสองเรียกขานเสียงหวาน
จีซั่งชิงระบายยิ้มเอ็นดูพร้อมลูบศีรษะหลานตัวน้อยทั้งสอง “อยากนั่งรถปู่รึไม่”
“อยากเจ้าค่ะ!” วั่งซูตอบรับแทบจะทันที นางอุ้มต้าไป๋วิ่งจี๋ไปที่รถม้าของจีซั่งชิง
จิ่งอวิ๋นก็ขึ้นมานั่งด้วย
จีซั่งชิงหันไปทางใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึเย็นๆ แล้วเดินไปขึ้นรถม้าของจีหมิงซิว
จีซั่งชิงสั่งสารถีว่า “ไปเถิด”
สารถีจับเชือกขึ้นมา “ไป!”
ไม่ขยับ
“ไป!”
ยังคงไม่ขยับ
ม้าสองตัวใช้แรงจากการกินหญ้าทั้งหมดไปแล้ว ก็เป็นตายอย่างไรก็ลากไม่ไป
สุดท้ายเป็นเฉียวเวยที่มาอุ้มวั่งซูไป รถม้าของจีซั่งชิงถึงได้เคลื่อนตัวได้ในที่สุด
เทศกาลชิงหมิงของทุกปี พ่อลูกจีหมิงซิวจะมาปัดกวาดทำความสะอาดสุสานขององค์หญิงเจาหมิง ฮ่องเต้ก็จะมาด้วย แต่ปีนี้พระองค์บอกว่ามีราชกิจรัดตัว ซึ่งทำให้จีซั่งชิงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เรื่องในตอนนั้นญาติของทั้งสองตระกูลมีเรื่องไม่พอใจกันพอสมควร กว่าจะไกล่เกลี่ยกันได้ องค์หญิงเจาหมิงก็มาด่วนจากไปเสียก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับจีซั่งชิงอันที่จริงไม่ได้ปรองดองกันอย่างที่ใครเขาว่ากัน ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้ไม่มา จีซั่งชิงจึงรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
คณะของพวกเขาเคลื่อนผ่านประตูเมืองตะวันออก มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณยี่สิบลี้ก็ไปถึงสุสานขององค์หญิง
พื้นที่สุสานขององค์หญิงกว้างใหญ่ไพศาล ใหญ่ประมาณสองเท่าของตระกูลจีเห็นจะได้ รถม้าหยุดจอดตรงหน้าประตูสุสาน ทุกคนลงจากรถออกเดินเท้า เดินเข้าไปประมาณสองเค่อ ผ่านสวนที่เขียวชอุ่มเข้าไป ถึงได้เข้าไปถึงสถานที่ฝังศพขององค์หญิง
บ่าวที่คอยเฝ้าสุสานรู้ว่าฮ่องเต้และจีหมิงซิวชอบความสงบ ทุกครั้งเวลาถึงเทศกาลชิงหมิงจึงจะไม่เข้ามารบกวน
พื้นตรงสุสานสะอาดสะอ้านมาก ไม่มีอะไรให้ต้องปัดกวาดนัก ด้านบนสุสานมีกิ่งหลิวสดใหม่ปักอยู่ ข้างใต้ป้ายสุสานมีเครื่องเซ่นไหว้ใหม่ๆ วางอยู่เช่นกัน
บ่าวไพร่ไม่มีทางวางของเซ่นไหว้ในเทศกาลให้องค์หญิงเองโดยพลการเช่นนี้ ของเซ่นไหว้เหล่านี้ใครเป็นคนเอามาวางกัน
สายตาจีซั่งชิงหยุดมองที่ของเซ่นไหว้แล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว?”
จีหมิงซิวเอาธูปเทียนที่นำมาวางลง “ไม่น่าใช่ เขาบอกว่าจะไม่มา ทั้งยังฝากให้ข้าจุดธูปให้ท่านแม่ดอกหนึ่งด้วย”
“เช่นนั้นของเหล่านี้เป็นของผู้ใดกัน” จีซั่งชิงถามด้วยความงงงวย
สุสานขององค์หญิงไม่ได้เปิดให้คนในตระกูลจีเท่านั้น ทุกปีนอกจากคนในตระกูลจีแล้วยังมีเชื้อพระวงศ์จำนวนไม่น้อยที่มากราบไหว้องค์หญิงที่นี่ เพียงแต่เพิ่งเคยมีครั้งนี้ที่มีคนมาเร็วกว่าพวกเขา
นี่ก็เป็นการปัดกวาดสุสานครั้งแรกของซาลาเปาน้อยเช่นกัน พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของการปัดกวาดสุสานสักเท่าไร เฉียวเวยเลยบอกพวกเขาว่านี่เป็นสุสานของท่านย่า ท่านย่านอนอยู่ข้างล่าง เด็กน้อยทั้งสองดูคล้ายเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ก็ยังโขกศีรษะคารวะให้กับป้ายสุสานเย็นๆ และเรียกท่านย่าตามที่ท่านพ่อท่านแม่บอก
พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านย่าถึงต้องนอนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ใต้ดินเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่ย้ายไปอยู่กับพวกเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองทุกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จีซั่งชิงบอกว่า “เรียกท่านแม่สิ”
“ไม่เรียก!”
จีซั่งชิงพลันหน้าบึ้ง “เหลวไหล นี่คือท่านแม่เจ้านะ”
“ก็จะไม่เรียก!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสะบัดแขนเสื้อเดินไป!
จีซั่งชิงไม่รู้จะจัดการกับลูกชายคนนี้อย่างไร เขาวางของเซ่นไหว้ให้ภรรยาแล้วจัดการเช็ดป้ายชื่อจนเรียบร้อย พวกเขาพ่อลูกไม่ใช่คนที่ชอบพร่ำรำพันกับป้ายสุสาน ไม่เหมือนครอบครัวอื่นที่เวลาปัดกวาดจะคอยเล่าให้ฟังว่านี่คือภรรยาข้า นี่คือลูกข้า พวกเขาเป็นอย่างไรๆ บ้าง ท่านอยู่บนสวรรค์เป็นอย่างไรบ้างอะไรเหล่านี้ ทั้งสองเพียงเซ่นไหว้กันเงียบๆ เสร็จก็พาครอบครัวกลับไป
ด้านนอกสุสานองค์หญิง บนรถม้าอีกคันหนึ่ง สาวใช้เปิดผ้าม่านด้านข้างรถขึ้น มองไปยังกลุ่มคนที่เดินออกมาจากสุสาน “คุณหนูดูสิเจ้าคะ คนตระกูลจีเจ้าค่ะ!”
สาวใช้สืบข่าวของบ้านตระกูลจีมาแล้ว รู้ว่าเวลานี้พวกเขาจะมาเซ่นไหว้องค์หญิงกัน ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะเดาว่าคนกลุ่มนี้เป็นใคร
สตรีนางนั้นมองออกมาจากช่องหน้าต่าง เดิมทีนางเพียงแต่อยากดูเฉยๆ เท่านั้น นางอยากรู้ว่าคนตระกูลจีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ใครจะคิดว่านางกลับได้เห็นใบหน้าที่คุ้นตาถึงสองคนด้วยกัน “เป็นพวกเขา?”
สาวใช้ฟังน้ำเสียงของผู้เป็นนายดูไม่สู้ดีนัก จึงถามด้วยความแปลกใจว่า “คุณหนูรู้จักพวกเขาหรือเจ้าคะ”
สายตาของสตรีนางนั้นจ้องเขม็งไปที่ใต้เท้าเจ้าสำนัก ดูเขาเสร็จแล้วยังหันไปมองเฉียวเวยที่อยู่ข้างๆ ต่อ มือเรียวที่อยู่ใต้แขนเสื้อกว้างกำเป็นหมัดแน่น
สาวใช้มองตามสายตาคุณหนูของตนไป เห็นว่าคุณหนูของตนกำลังมองสตรีสาวนางหนึ่งกับบุรุษในอาภรณ์กว้างสีน้ำตาล บนหน้าสวมหน้ากากหยก นางรู้ว่าสตรีนางนั้นเป็นใคร นางคือเสี่ยวหน่ายนายของบ้านตระกูลจี ส่วนบุรุษที่เดินอยู่ด้านหลังนางนั่น…
“คุณหนู บุรุษในอาภรณ์ขาวที่เดินอยู่ด้านหน้านั่นต่างหากนะเจ้าคะที่เป็นนายน้อยของตระกูลจี”
สตรีนางนั้นหลุดจากภวังค์ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ข้ารู้ว่าผู้ใดคือนายน้อยตระกูลจี”
สาวใช้บอกว่า “เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงเอาแต่จับจ้องบุรุษทางด้านหลังเล่าเจ้าคะ”
สตรีนางนั้นหันไปมองสาวใช้ด้วยความตาเรียบเย็น “ข้าจะจับจ้องผู้ใดเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
สาวใช้ก้มหน้า “บ่าวล่วงเกินแล้ว ขอคุณหนูโปรดอภัย”
สตรีนางนั้นมองใต้เท้าเจ้าสำนักเป็นคนสุดท้ายก่อนจะปล่อยผ้าม่านลง
สาวใช้เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “คุณหนู ดูเหมือนจะเกิดเรื่องกับฉางเฟิงสื่อแล้ว เมื่อหลายวันก่อนเขาติดต่อองครักษ์ดาบทองแดงสี่คน คิดจะหลบหนีออกจากต้าเหลียง แต่ไม่ทันไรก็มีข่าวออกมาอีกว่าเขารักษาตัวอยู่ในบ้านตระกูลจี”
“องครักษ์ดาบทองแดงเล่า” สตรีนางนั้นเอ่ยถาม
สาวใช้ตอบว่า “ตายหมดแล้วเจ้าค่ะ”
สายตาสตรีนางนั้นพลันสั่นไหว “สังหารองครักษ์ดาบทองแดงได้ทีเดียวสี่คน ไม่เสียแรงที่เป็นโหราจารย์”
สาวใช้ถามว่า “พวกเราจะไปช่วยฉางเฟิงสื่อออกมาจากบ้านตระกูลจีหรือไม่เจ้าคะ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะลองไปดูทางลมก่อน”
สาวใช้คิดแล้วเอ่ยว่า “ให้ข้าไปดีกว่าเจ้าค่ะคุณหนู”
สตรีนางนั้นทำหน้าจริงจัง “ไม่ต้องหรอก เจ้ารอข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้วกัน”