เล่ม-1 ตอนที่ 308-1 ซาลาเปาน้อย ไปเยี่ยมเจาหมิง (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 308-1 ซาลาเปาน้อย ไปเยี่ยมเจาหมิง (2)

หลังจากออกมาจากสุสานองค์หญิง จีซั่งชิงกับใต้เท้าเจ้าสำนักก็กลับเมืองหลวง จีหมิงซิวกับเฉียวเวยพาซาลาเปาน้อยไปยังสุสานตระกูลเฉียว คราแรกเฉียวเหล่าฮูหยินตัดขาดกับตระกูลเฉียว ละทิ้งทางโลกไปเข้าหาทางธรรม หลังจากตายแล้วก็ไม่ได้นำมาฝังที่สุสานตระกูลเฉียว เป็นเฉียวเจิงที่หลังจากชิงตำแหน่งประมุขตระกูลกลับมาได้แล้วถึงได้ย้ายโลงศพของมารดากลับมาฝังที่สุสานแห่งนี้

สุสานตระกูลเฉียวไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดสุสานองค์หญิง กินพื้นที่เพียงยอดเนินเขาเล็กๆ ของสวนสุสานอันกว้างใหญ่เท่านั้น จากข้างล่างขึ้นไปข้างบนเป็นการเรียงลำดับบรรพบุรุษตระกูลเฉียว เฉียวเหล่าฮูหยินเป็นคนล่าสุดที่เสียไป ตำแหน่งสุสานจึงอยู่ด้านนอกสุด ถัดเข้าไปด้านใน ตรงส่วนที่อยู่สูงที่สุดคือบรรพบุรุษตระกูลเฉียว

เฉียวเวยไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบการปัดกวาดสุสานของคนโบราณเท่าไรนัก เพียงแค่เดินตามอยู่ด้านหลังจีหมิงซิวอย่างเรียบร้อย นางเห็นเขาเริ่มจากการทำความสะอาดหัวสุสานของบรรพบุรุษก่อน ปักกิ่งต้นหลิวลงไป แล้วจึงจัดการปัดกวาดสุสานของบรรรพบุรุษคนอื่นๆ ไปด้วย ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมา คนตระกูลเฉียวน่าจะมากันก่อนแล้ว ตรงหน้าสุสานยังมีของเซ่นไหว้ใหม่ๆ วางอยู่กับธูปที่ยังไม่หมดดอกดี

เรื่องเหล่านี้สั่งให้บ่าวไพร่มาทำก็ไม่มีอะไรให้ติติง แต่เขายินดีที่จะลงแรงเองมากกว่า เช่นเดียวกับที่เขาทำความสะอาดสุสานองค์หญิงด้วยตนเอง

ช่วยไม่ได้ที่จะทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งใจ

“มา เอากิ่งต้นหลิวไปปักที่สุสานท่านตาทวด ท่านยายทวดด้วย” จีหมิงซิวเอากิ่งหลิวสดๆ สองอันส่องให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู เด็กทั้งสองจึงไปปักกิ่งต้นหลิวกันด้วยความตั้งใจ จีหมิงซิวหันกลับมาอีกทีเห็นเฉียวเวยกำลังอมยิ้มมองตนอยู่ เขาก็ระบายยิ้มให้บ้าง ยิ้มนี้ของเขาคล้ายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนสามที่สามารถทำให้หิมะที่ทับถมกันเป็นชั้นนั้นละลายลงได้

“ท่านตาทวด ข้าคือจิ่งอวิ๋น ข้ามาปัดกวาดสุสานให้ท่านแล้ว!” จิ่งอวิ๋นเอากิ่งหลิวไปปักให้จนเรียบร้อย ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งไปเซ่นไหว้สุสานองค์หญิงกันมา จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับงานเหล่านี้ เขาจุดธูปเทียนอย่างคล่องแคล่ว คุกเข่าโขกศีรษะคำนับสามทีแล้วจึงเอาธูปไปปักตรงกระถางหน้าสุสาน

วั่งซูถือธูปมาอย่างมีท่ามีทาง “ท่านยายทวด ข้าคือวั่งซู ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว!”

นางพูดพลางเลียนแบบที่พี่ชายทำ โขกศีรษะคำนับ

จิ่งอวิ๋นโขกศีรษะลงแนบกับพื้นหินอย่างเจ้าแผนการ วั่งซูเลยคิดว่าการโขกศีรษะจะต้องโขกให้จรดพื้น จึงโขกศีรษะลงไปเสียงดังปึง…

พื้นแตก…

แค่เข้าไปคารวะสุสาน สุสานก็พังเสียแล้ว เฉียวเวยหัวเสียไม่น้อย ใต้เท้าอัครเสนาบดีดึงตัวบุตรสาวไปสั่งสอน “หัวเจ็บหรือไม่…ให้พ่อดูหน่อยว่าแดงไหม…”

เฉียวเวยหน้าบึ้ง

หลังจากทำความสะอาดเสร็จ เวลายังไม่ล่วงเลยไปนานนัก พวกเขาจึงพากันไปชื่นชมธรรมชาติที่นอกเมือง

เด็กทั้งสองวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนพื้นหญ้า วิ่งกันจนเหงื่อแตกเหงื่อแตนไปหมด จิ่งอวิ๋นย่อมวิ่งเร็วไม่เท่าวั่งซู แต่เขาเจ้าแผนการ เดี๋ยวโยนลูกกวาด เดี๋ยวทำพุทราหล่น วั่งซูวิ่งไปพลางเก็บไปพลางจึงวิ่งไม่ทันเขาได้จริงๆ เหมือนกัน

เฉียวเวยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางกวักมือเรียกทั้งสอง “มานี่มา”

ทั้งสองวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของเฉียวเวยพลางหอบแฮ่กๆ

เฉียวเวยจูงเด็กทั้งสองไปที่รถม้า เช็ดเหงื่อให้แล้วจับพวกเขาไปใส่เสื้อผ้าสะอาด วั่งซูจะลงไปอีก แต่ถูกนางคว้าตัวไว้เสียก่อน

วั่งซูพลันเตะแขนเตะขา “ท่านแม่ทำอะไรน่ะ ปล่อยข้าลงนะ!”

เฉียวเวยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางพลางบอกว่า “นี่สายมากแล้ว ต้องกลับบ้านแล้ว”

วั่งซูทำปากมุ่ยด้วยความขัดใจ “แต่ฟ้ายังสว่างอยู่ตั้งขนาดนี้!”

เฉียวเวยยิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเข้าไปใหญ่ เจ้าเด็กแสบนี้ มองสีท้องฟ้าเป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน เวลานี้ยังสว่างอยู่ แต่เดินทางไปอีกเดี๋ยวก็จะไม่สว่างแล้ว ต้องรีบกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้านอีกนะ

วั่งซูคงจะรู้ว่ามารดาไม่ใช่คนที่จะหลงกลได้ง่ายๆ จึงล้มเลิกความคิดที่จะเถียงกับมารดาแล้วหันไปปีนขึ้นตักของบิดาแทน นางอิงแอบอยู่กับอกของบิดาพลางทำท่าออดอ้อน

จีหมิงซิวเหลือบมองเฉียวเวยทีหนึ่ง เห็นเพียงนางกำลังกอดอก หรี่ตาลงมองมาทางเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง จึงรีบลูบศีรษะบุตรสาว “เดี๋ยวพ่อไปซื้อถังหูลู่ให้เจ้าก็แล้วกัน”

วั่งซูตาเป็นประกาย “ดีสิเจ้าคะ!”

นางลืมเรื่องวิ่งเล่นไปในชั่วพริบตา

เด็กๆ เหนื่อยกันมาทั้งวัน ทั้งยังวิ่งเล่นกันสุดพลังไปอีกเกือบครึ่งชั่วยามจึงเหนื่อยล้ากันจะแย่แล้ว พอขึ้นมานั่งบนรถม้าที่โยกคลอน แค่หนึ่งเค่อก็เริ่มทำท่าจะหลับไหล

วั่งซูสัปหงกอยู่บนตักบิดา

เฉียวเวยกอดจิ่งอวิ๋นเอาไว้ จิ่งอวิ๋นอ้าปากหาวก่อนจะหลับไปอย่างสบายอารมณ์

เดินทางไปอีกพักหนึ่งเฉียวเวยก็เริ่มง่วงงุน จีหมิงซิวจึงกางแขนให้นางพิงซบมาที่หัวไหล่ตน เฉียวเวยคลี่ยิ้ม หลับตาลงด้วยความสบายใจ

ภายในรถม้ามีเพียงเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอ

ระยะทางระหว่างสุสานไปถึงประตูเมืองตะวันออกเพียงแค่ไม่ถึงสามสิบลี้ แต่กระนั้นจากประตูเมืองตะวันตกไปถึงบ้านตระกูลจีก็มีอีกสามสิบลี้ ม้าของจีหมิงซิวล้วนเป็นม้าเหงื่อโลหิตชั้นดี (ไม่อย่างนั้นคงลากเจ้าเด็กอ้วนวั่งซูไม่ไหว) จึงใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วยามก็ถึงแล้ว แต่เพราะกลัวจะกระแทกกระทั้นเกินไป จีหมิงซิวเลยให้สารถีลดความเร็วรถลง กว่าจะไปถึงร้านค้าเล็กๆ ขายถังหูลู่ที่อยู่แถวบ้านสี่ประสาน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว

จีหมิงซิวเอาตัววั่งซูไปให้เฉียวเวยอุ้ม เฉียวเวยเผยอเปลือกตาขึ้นถามเสียงสะลึมสะลือว่า “ถึงแล้วหรือ”

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเบาว่า “ยังหรอก ข้าจะไปซื้อถังหูลู่สักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่บนรถนะ”

“ได้” เฉียวเวยรับคำ อุ้มเด็กทั้งสองคนไว้แล้วปิดตาหลับไปอีกครั้ง

จีหมิงซิวงลงจากรถม้า เดินผ่านซอยไปซื้อถังหูลู่ที่ร้านค้าเก่าแก่ร้านนั้น

เฉียวเวยพิงศีรษะกับตัวรถหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อวานนางไม่ถือว่าเข้านอนดึก ทั้งยังไม่ได้ทำเรื่องน่าเขินอายใดๆ แต่ยามกลางวันกลับง่วงงุนได้ถึงเพียงนี้นับว่าออกจะแปลกอยู่สักหน่อย เพียงแต่เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองหลับกันอร่อยเช่นนี้ นางก็พอเข้าใจได้

ฤดูใบไม้ผลิน่านอน ฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่วงงุนได้ง่ายหรอกหรือ

แม่ลูกทั้งสามหลับกันสบาย แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังลอยมาจากในตรอก “ช่วยด้วยยย…”

จิ่งอวิ๋นสะดุ้งตกใจจากเสียงนั้น

เฉียวเวยรีบตบไหล่บุตรชาย ปลอบเขาให้นอนหลับต่อ จากนั้นจึงเอาตัวเขากับวั่งซูวางลงบนที่นั่ง ศีรษะของเด็กทั้งสองพิงชนกัน หลับสนิทต่อไป

เฉียวเวยเลิกผ้าม่านเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

สารถีตอบว่า “ข้าน้อยจะไปดูให้นะขอรับ”

เขาพูดจบ แม่นางคนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากในตรอก

เฉียวเวยไม่คิดจะยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่คนกลุ่มนั้นกลับพุ่งเข้ามาชนรถม้าของนางอย่างไม่รู้จักรักชีวิต แค่วิ่งชนโดยไม่ทันระวังก็คงไม่อะไร แต่ชนเสร็จยังเตะล้อรถให้ทีหนึ่งด้วยความดูแคลนเสียอีก เฉียวเวยเลยยื่นมือออกไปนอกรถ คว้าคอเสื้อคนผู้นั้นไว้ คนผู้นั้นยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ นางก็จับเขาโยนกลับเข้าไปในตรอกแล้ว!

คนพวกนั้นพอเห็นสหายของตนถูกทำร้าย จึงแบ่งพวกของตนสองคนมาที่รถม้าของเฉียวเวย

เฉียวเวยกระโดลงจากรถม้าแล้วควักกริชออกมา กริชเฝินเทียนตัดเหล็กได้ราวกับตัดดิน แค่ได้ยินเสียงดังฉับๆ สองที ดาบยาวของทั้งสองก็ขาดสะบั้นจนสิ้นสภาพเสียแล้ว ทั้งสองหันมองหน้ากัน ใช้ภาษาที่เฉียวเวยฟังไม่เข้าใจสบถด่าให้หลายประโยค ก่อนจะโยนดาบทิ้ง แล้วตั้งกระบวนท่าจะฟาดฝ่ามือเข้าใส่เฉียวเวย

เฉียวเวยกระโดดถีบสองขา จนทั้งสองกระเด็นกลับเข้าตรอกไป

อันที่จริงทั้งสองวรยุทธ์แก่กล้าพอประมาณ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเฉียวเวยจะพละกำลังมหาศาลเช่นนี้ ชั่วขณะที่เฉียวเวยยกขาถีบ ทั้งสองตั้งตัวรออยู่แล้ว คิดว่าอย่างไรก็ต้านทานไว้อยู่ แต่ใครจะรู้ว่ากลับถูกถีบจนกระเด็นไปไกลเลยทีเดียว

คนแรกที่ถูกเฉียวเวยจับโยนเข้าไปในตรอกนั้น เดิมทีเขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการลุกยืนขึ้นได้แล้ว แต่กลับถูกพี่น้องสองคนที่กระเด็นมาชนจนหงายหลังลงกับพื้นอีกรอบหนึ่ง เขาพลันกระอักเลือด สองตาลอยคว้างแล้วไม่รับรู้อะไรอีกเลย

อีกสองคนที่ถูกเฉียวเวยถีบก็สภาพไม่ได้ดีไปกว่าสหายของตนเท่าไรนัก ไม่รู้ว่าสตรีนางนี้กินอะไรเข้าไป แค่เพียงถูกถีบทีหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงชาหนึบไปครึ่งตัวเช่นนี้…

อีกสองคนที่เหลือเห็นท่าไม่ดี จึงรีบล่าถอยกันไป

แม่นางคนที่ร้องลั่นเพราะถูกไล่ล่าวิ่งเข้ามาหาเฉียวเวยอย่างขวัญหนีดีฝ่อ นางทำความเคารพเฉียวเวยด้วยความซาบซึ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ขอบคุณนายหญิงที่ช่วยเหลือ…เอ๋? เป็นท่าน?”

นางเสียงแหบไปแล้ว เฉียวเวยจึงฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร แต่ฟังจากน้ำเสียงนางน่าจะรู้จักตน เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้จักข้า?”

แม่นางผู้นั้นปัดผมกระเซอะกระเซิงที่ลงมาปิดหน้าออกไป ตบอกตนเองพลางบอกว่า “ข้าอย่างไรเล่า!”

เฉียวเวยมองสำรวจนางรอบหนึ่ง บอกตามตรง หน้าผมนางรกรุงรังจนนึกสภาพก่อนหน้านี้ไม่ออก มีเพียงดวงตาที่ดำขลับราวกับไข่มุกนั่นที่กระจ่างสว่างจับตา เนื้อตัวนางผ่ายผอมจนเห็นกระดูก สวมใส่อาภรณ์ล้ำค่ามีราคา แต่ทุกที่มีแต่รอยผุขาด ดูแล้วยับเยินเสียจนน่าปวดใจ

“เจ้า…เจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว?” แม่นางน้อยร้อนใจแทบจะร้องไห้ออกมา

เฉียวเวยเพ่งมองหน้านาง พักใหญ่ถึงได้ลองถามหยั่งเชิงว่า “ศิษย์น้องหญิง?”

ศิษย์น้องหญิงจับแขนเฉียวเวยไว้ด้วยความตื่นเต้น “ข้าเอง! ข้าเอง!”

เฉียวเวยแค่ลองถามไปอย่างนั้น ใครจะรู้ว่าที่ตนเดาไปมั่วๆ จะดันถูกเสียด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน บุตรสาวจากสำนักซู่ซินจงผู้สูงศักดิ์ เหตุใดจึงตกมาอยู่ในสภาพนี้ได้

“ซู่ซินจงล่มสลายแล้วหรือ” เฉียวเวยเบิกตาโต

ศิษย์น้องหญิงหนีตายมานานเพียงนี้ ในที่สุดก็ได้พบคนที่นางพูดคุยได้เสียที ความอัดอั้นในใจจึงพลันทะลักทะลวงออกมา นางพูดปนสะอื้นว่า “ซู่ซินจงไม่เป็นอะไร…”

เฉียวเวยลอบถอนหายใจ ไม่เป็นอะไรก็ดี ซู่ซินจงยังมีเหมืองทองอยู่อีกสามเหมืองเชียวนะ อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดใดก่อนที่นางจะรับช่วงต่อมาเชียว!

นางเหลือบมองศิษย์น้องหญิงทีหนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ในเมื่อซู่ซินจงไม่เป็นอะไร เหตุใดเจ้าถึงไม่อยู่สบายๆ ที่ซู่ซินจงแต่กลับมาถึงเมืองหลวงได้เล่า ทั้งยังมาอยู่ในสภาพนี้อีก เมื่อครู่ที่มีคนไล่ล่าเจ้าอีก มันเรื่องอะไรกัน”

“เรื่องนี้…”

เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “จะให้เล่าก็คงยาวอีกล่ะสิ”

“อื้อ” ศิษย์น้องหญิงเอาแต่พยักหน้า “ข้ามาหาศิษย์พี่สี่น่ะ เจ้าให้ข้าพบเขาจะได้หรือไม่”

เฉียวเวยทำเสียงหึหึ “บัญชีแค้นก่อนหน้านี้ข้ายังจดไว้อยู่เลยนะ เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าพบเขา?”

ศิษย์น้องหญิงตกใจจนน้ำตาพรั่งพรูออกมา นางเช็ดน้ำตาพลางบอกว่า “แต่ข้าไม่มีทางไปแล้ว…”

ความเห็นใจอะไรเหล่านี้ เฉียวเวยโยนทิ้งไปตั้งแต่ชาติที่แล้วแล้ว นางเห็นอีกฝ่ายร้องไห้เสียน่าสงสารก็ยังไม่มีเหลือบตาขึ้นมองสักนิด “เจ้าไร้หนทางไปก็เป็นเรื่องของเจ้า เหตุใดต้องมารบกวนข้าด้วย”

ศิษย์น้องหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น “เจ้าไม่ได้…เป็นเจ้าสำนัก…ซู่ซินจงหรอกหรือ ศิษย์ของเจ้ากำลังลำบาก…เจ้าจะไม่ช่วยได้อย่างไร”

ให้ตายสิ ลืมเรื่องนี้ไปเลย!

จีหมิงซิวซื้อถังหูลู่กลับมาเห็นเฉียวเวยกำลังยืนคุยกับขอทานคนหนึ่งอยู่หน้ารถม้า ขอทานหญิงคนนั้นยังดึงแขนเสื้อเฉียวเวยไว้อีกด้วย แขนเสื้อสะอาดๆ ของเฉียวเวยจึงเห็นรอยมือดำเป็นปื้น จีหมิงซิวพลันรู้สึกไม่ชอบใจ เดินหน้าเคร่งเข้าไปทันที “มีเรื่องอะไรกัน”

ศิษย์น้องหญิงร้องไห้พลางเงยหน้าขึ้น “ศิษย์พี่สี่…”

ตุบ

ถังหูลู่ในมือจีหมิงซิวถึงกับหล่นพื้น…

ทั้งสองพาศิษย์น้องหญิงขึ้นรถม้ามาด้วย ซาลาเปาน้อยทั้งสองลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าบนรถมีพี่สาวเนื้อตัวสกปรกมอมแมมเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง อาการง่วงงุนจึงหายเป็นปลิดทิ้ง

ศิษย์น้องหญิงก้มหน้าลงอย่างรับไม่ได้ ไม่ต้องส่องกระจกนางก็รู้ว่าสภาพของนางในเวลานี้ไม่น่าให้ผู้ใดพบเห็น แค่ถูกศิษย์พี่กับสะใภ้ศิษย์พี่เห็นเข้าก็แล้วไปเถิด แต่เวลานี้เด็กน้อยทั้งสองคนก็เห็นภาพนางด้วยแล้ว อยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดไปสักทีจริงๆ!

เรื่องไม่คาดคิดนั้นมีทุกปี แต่ปีนี้ดูจะมากเป็นพิเศษ เฉียวเวยไม่คิดไม่ฝันเลยว่าศิษย์น้องหญิงจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรบิดาของนางก็เป็นถึงเจ้าสำนักซู่ซินจง ท่านตานางเป็นถึงไท่ซือคนปัจจุบัน ในยุทธภพล้วนต้องให้เกียรตินางอยู่สามส่วน แค่อาศัยชื่อสวี่หลีเย่ว์ของนางก็พอให้นางได้กินอยู่อย่างสบายมาจนถึงเมืองหลวงแล้ว

ถึงแม้ในใจเฉียวเวยจะเกิดความสงสัย แต่กลับไม่ได้ถามออกไปต่อหน้าบุตรทั้งสอง

ไม่นานรถม้าก็มาถึงบ้านตระกูลจี จีหมิงซิวจูงบุตรทั้งสองเดินอยู่ด้านหน้า เฉียวเวยเดินนำศิษย์น้องหญิงอยู่ด้านหลัง ศิษย์น้องหญิงมองภาพพ่อลูกสามคนที่เดินอยู่ข้างหน้าแล้ว ในใจเต็มไปด้วยความอิจฉา

เฉียวเวยปรายตามองศิษย์น้องหญิงทีหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนว่าอย่าได้คิดอะไรกับสามีข้า มิเช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้! ให้เจ้าไปหิวตายอยู่ข้างถนน!”

ศิษย์น้องหญิงถึงกับตัวสั่น ไม่ได้พบหน้ากันหลายเดือน สตรีนางนี้ยังคงดูร้ายดังเก่าจริงๆ เสียด้วย…

เฉียวเวยพานางไปที่บ้านชิงเหลียน ใต้เท้าเจ้าสำนักกำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงลาน พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นนางยักษ์พาขอทานเนื้อตัวมอมแมมกลับมาด้วยเลยถึงกับพ่นน้ำพรวดออกมา…

ปี้เอ๋อร์ไปเอาสมุนไพรที่หอหลิงจือ ฉานเอ๋อร์ไปดูแลเด็กทั้งสองอาบน้ำอาบท่าเฉียวเวยเลยเรียกเยียนเอ๋อร์มาให้นางพาศิษย์น้องหญิงไปอาบน้ำ หาเสื้อผ้าสะอาดให้ศิษย์น้องหญิงเปลี่ยน

“ฮูหยินน้อย ควรเรียกขานแม่นางผู้นี้ว่าอย่างไรหรือ” เยียนเอ๋อร์กระซิบถาม

เฉียวเวยมองศิษย์น้องหญิงแล้วบอกว่า “เรียกว่าแม่นางสวี่ก็แล้วกัน”

เยียนเอ๋อร์รับคำแล้วเอ่ยกับศิษย์น้องหญิงว่า “แม่นางสวี่ ตามข้ามาเถิด”

ศิษย์น้องหญิงตามเยียนเอ๋อร์ไป