ตอนที่ 308-2 ซาลาเปาน้อย ไปเยี่ยมเจาหมิง (2)
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินดุ่มๆ เข้ามาถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “นั่นใครน่ะ”
พอดีว่าในตอนนั้นจีหมิงซิวเดินออกมาจากห้องพอดี เขารู้ว่าเฉียวเวยถือสาเรื่องนี้จึงตั้งใจรออยู่ด้านในเพื่อให้ไม่เป็นที่ครหา แต่ก็ต้องจนใจเมื่อเห็นว่าเฉียวเวยยังคงปรายตามองตนด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งทั้งยังเอ่ยอย่างแฝงความนัยว่า “คนโปรดของพี่ใหญ่เจ้า เกือบจะได้เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าแล้วด้วย”
จีหมิงซิวถูกปรักปรำ
ศิษย์น้องหญิงอาบน้ำไปสิบเจ็ดสิบแปดถัง ในที่สุดก็เนื้อตัวสะอาดสะอ้านเสียที
นี่ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว จีหมิงซิวพาซาลาเปาน้อยทั้งสองไปที่เรือนลั่วเหมยของจีเหล่าฮูหยินอย่างเจ้าเล่ห์ ใต้เท้าเจ้าสำนักชอบดูเรื่องสนุก จึงอยู่ที่บ้านชิงเหลียนกินอาหารร่วมโต๊ะกับ “คนโปรด” ของพี่ชาย
อาหารเย็นทำตามปริมาณการกินของวั่งซูกับใต้เท้าเจ้าสำนัก หมูพะโล้สามส่วน ห่านย่างหนึ่งตัว เป็ดกรอบหนึ่งจาน น้ำแกงเห็ดหนึ่งหม้อ กระดูกหมูผัดน้ำแดงหนึ่งชาม แล้วมีกับข้าวผัดเล็กๆ อีกหลายจาน กับข้าวเย็นที่กินง่ายอีกหลายอย่าง และตุ๋นน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมอีกหลายถ้วย แต่เวลานี้พอวั่งซูไม่อยู่ ปริมาณอาหารเท่านี้จึงออกจะเยอะไปสักหน่อย
ใต้เท้าเจ้าสำนักหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างหน้าชื่นตาบาน พอไม่มีเจ้าเด็กอ้วนนั่นคอยแย่งอาหาร ทั้งหมดนี้ก็เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว!
เขายื่นตะเกียบไปคีบห่านย่าง
ฟรึ่บ!
ห่านย่างถูกคีบหายไปแล้ว!
เขาจะไปคีบเป็ดกรอบ
ฟรึ่บ!
เป็ดกรอบก็ถูกคีบหายไปอีก!
เขาจะไปตักกระดูกหมู ครืดๆ กระดูกหมูครึ่งหม้อก็หายไปแล้ว
ศิษย์น้องหญิงสวาปามทุกอย่างลงท้องรวดเร็วราวกับพายุ เฉียวเวยยังไม่ทันได้เริ่มกิน อาหารทั้งโต๊ะก็หายไปเกือบหมดแล้ว ส่วนใต้เท้าเจ้าสำนักแย่งน่องเป็ดมาได้น่องหนึ่ง กัดไปได้ไม่กี่คำศิษย์น้องหญิงก็ยื่นมือเข้ามาแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักนับว่าได้เห็นแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน
หลังจากกัดน่องเป็ดอันสุดท้ายหมด ศิษย์น้องหญิงก็เอามือลูบท้องพร้อมเรอออกมา
เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักได้แต่มองนางอย่างตาโตอ้าปากค้าง นางยิ้มแหยๆ พลางบอกว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้กินอิ่มมานานแล้ว…”
เฉียวเวย ‘พอดูออก’แล้วจึงสั่งให้ห้องครัวทำอาหารมาให้เพิ่มอีก
ช่วงเวลารออาหาร เฉียวเวยถามถึงเรื่องซู่ซินจงขึ้นมา “ตอนนี้กินก็กินแล้ว ดื่มก็ดื่มแล้ว ตัวเจ้าก็ปลอดภัยแล้ว เจ้าคงบอกพวกเราได้เสียทีกระมังว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ศิษย์น้องหญิงก้มหน้า “ข้าไม่กล้าพูด”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “เช่นนั้นข้าจะจับเจ้าโยนออกไป!”
ศิษย์น้องหญิงเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ข้า…ข้าน่าสงสารมากแล้วนะ…เจ้าอย่าโหดร้ายกับข้าอีกได้หรือไม่”
“ไม่ได้” เฉียวเวยตอบออกไปหน้าตาเฉย
ศิษย์น้องหญิงสูดน้ำมูกให้หลายที โบราณกล่าวไว้ว่าแขนย่อมสู้แรงขาไม่ได้ เดิมทีนางเคยสูงส่งเป็นถึงคุณหนูจากซู่ซินจง เฉียวเวยเป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่ไม่มีสกุลรุนช่อง แต่ดวงชะตานั้นยิ่งใหญ่กว่าคน เวลานี้นางแทบจะเป็น “นักโทษ” อยู่แล้ว ส่วนเฉียวเวยเป็นนายหญิงแห่งจวนอัครเสนาบดี นางไม่กล้าทำให้เฉียวเวยไม่พอใจ “ข้าหนีออกมาจากซู่ซินจง”
“พอเดาได้” เฉียวเวยปรายตามองนาง “เหตุใดจึงหนีออกมา”
ศิษย์น้องหญิงบอกว่า “พวกเขาจะให้ข้าแต่งงาน ข้าไม่อยากแต่ง”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “หากเจ้าไม่อยากแต่งงาน เหตุใดคราแรกถึงเห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานระหว่างเจ้ากับศิษย์พี่เล่า”
ศิษย์น้องหญิงตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ศิษย์พี่เป็นคนที่ข้ารู้จักอย่างไรเล่า ข้ารู้ว่าศิษย์พี่เป็นคนอย่างไร และรู้ว่าพอแต่งงานไปแล้วเขาจะต้องไม่รังแกข้าแน่ แต่คนผู้นั้น… ข้าไม่เคยพบหน้าเขามาก่อนเลยด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่าเขานิสัยใจคอเป็นเช่นไร หากเกิดเป็นคนชั่วช้าสามานย์แล้วข้าไปอยู่กับเขา จะไม่ชอกช้ำไปชั่วชีวิตหรือ”
เด็กคนนี้ก็นับว่าไม่ใช่คนหูตามืดบอด เฉียวเวยสายตาสั่นไหว นางจิบชาแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อท่านแม่เอ็นดูเจ้าเพียงนั้น ต้องทำใจให้เจ้าไปลำบากไม่ได้แน่ คนที่หามาให้เจ้าต้องเป็นบุคคลชั้นเลิศแน่นอน การที่อยู่ดีๆ เจ้าก็หนีออกมาโดยไม่บอกไม่กล่าว จะไม่ทำให้ท่านพ่อท่านแม่เจ้าปวดใจหรือ”
ศิษย์น้องหญิงทำเสียงหึ “ใครใช้ให้พวกเขาบังคับข้าให้แต่งงานเล่า!”
เฉียวเวยสูดเอาอากาศเย็นๆ เข้าไปเบาๆ “เจ้าไม่อยากแต่งงานก็พูดคุยกับพวกเขาดีๆ สิ หากเจ้าไม่ยินยอมจริงๆ พวกเขาจะถึงกับจับเจ้ามัดมือมัดเท้าหรือ”
ศิษย์น้องหญิงพูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงการแต่งงานนี้ไม่ใช่ท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นคนกำหนด แต่เป็นผู้อาวุโสของซู่ซินจง ดังนั้นท่านพ่อข้าก็ยังทำอะไรไม่ได้”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “ดีร้ายอย่างไรพ่อเจ้าก็เป็นถึงเจ้าสำนัก เหตุใดถึงยังต้องฟังคำสั่งผู้อาวุโส” ที่ชนเผ่าถ่าน่า เหอจั๋วให้ความเคารพผู้อาวุโส แต่กลับยังไม่ถึงกับต้องยอมให้ผู้อาวุโสขึ้นมาขี่หัวได้
ศิษย์น้องหญิงเสียงเบาหวิว คล้ายว่าแม้แต่ตนเองก็ยังไม่มั่นใจ “ไม่ได้เอาตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้าไปแล้วหรือ ท่านพ่อบอกว่า เวลานี้เขาเป็นเพียงเจ้าสำนักรักษาการณ์เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ไปไต่ถามการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโส”
เฉียวเวยยิ้มเย็นขณะเอ่ยว่า “ก่อนอื่น ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ใช่ท่านพ่อเจ้าที่ถอยให้ข้า แต่เป็นข้าที่ชนะเลยได้มาครอบครอง อย่างที่สอง ต่อให้ท่านพ่อเจ้ามอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้ข้า เขาก็ยังเป็นเจ้าสำนักซู่ซินจงในใจของพวกเจ้าอยู่ดี ดังนั้นการที่จะบอกว่าไม่มีสิทธิ์ไปซักถามการตัดสินใจของเหล่าผู้อาวุโสนั้นเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี!”
ศิษย์น้องหญิงก้มหน้า บิดชายเสื้อขณะเอ่ยว่า “ท่านพ่อบอกว่าเหล่าผู้อาวุโสก็หวังดีต่อข้า”
บัดซบ!
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบ “คนผู้นั้นเป็นใครกัน เหล่าผู้อาวุโสของพวกเจ้าดึงดันจะให้เจ้าแต่งงานกับเขาให้ได้?”
ศิษย์น้องหญิง “ได้ยินว่าเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสทั้งห้าที่พวกท่านให้อยู่ข้างกายเพื่อสั่งสอนอย่างลับๆ มาตลอด ยังไม่เคยบอกให้แก่คนนอกรู้ ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา แต่ว่าข้าเติบโตมาในซู่ซินจง ข้าไม่เคยได้พบเขามาก่อนและไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงคนผู้นี้ด้วย ต่อให้เขาเป็นศิษย์สายตรงของเหล่าผู้อาวุโส ข้าก็ไม่อยากแต่งงานกับเขาอยู่ดี”
เจ้าเด็กโง่ กระทั่งเจ้ายังบอกว่าตนไม่เคยพบหน้าไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึง เช่นนั้นเขาก็ย่อมไม่ใช่คนของซู่ซินจงอย่างไรเล่า
พอคิดอะไรได้เฉียวเวยจึงถามต่อว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะให้เจ้าแต่งงานกับเขา พวกเขาออกมาจากการเก็บตัวแล้ว?”
ศิษย์น้องหญิงบอกว่า “ยังไม่ออก แต่มีคนนำข่าวนี้ออกมาบอก ไว้รอให้พวกเขาออกจากการเก็บตัวแล้วก็จะจัดการแต่งงานให้ข้า ดังนั้นข้าถึงได้รีบหนีออกมาก่อนอย่างไรเล่า”
“อีกนานเท่าไรกว่าพวกเขาจะออกมา” เฉียวเวยถาม
ศิษย์น้องหญิงคิดแล้วบอกว่า “เดิมทีกำหนดไว้ที่เดือนสิบ แต่เพื่อการแต่งงานของข้า ได้ยินว่าพวกเขาจะออกกันมาก่อน”
เดือนสิบ? เวลานี้เพิ่งเดือนสี่เท่านั้น เคยได้ยินว่าออกมาจากการกักตัวก่อน แต่กลับไม่เคยได้ยินที่ออกมาก่อนนานเพียงนี้ เหล่าผู้อาวุโสกลุ่มนี้เพื่อการแต่งงานนี้แล้ว นับว่าทุ่มเทกายใจมากแล้วจริงๆ
“รู้แน่ชัดหรือไม่ว่าจะออกมาก่อนนานเท่าไร” เฉียวเวยถาม
ศิษย์น้องหญิงขมวดคิ้ว “เมื่อตอนนั้นข้าแอบได้ยินเข้า… ไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือไม่ แต่อาจจะในหนึ่งหรือสองเดือนนี้”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ ผู้อาวุโสพวกนี้ช่างทนรอกันไม่ได้เลยจริงๆ นะ! น่ากลัวว่าที่บอกจะกักตัวฝึกวิชาก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ในความเป็นจริงไม่รู้ไปสมคบคิดทำเรื่องที่ไม่อาจบอกผู้ใดกันอยู่หรือไม่ เวลานี้พอสมคบคิดกันเรียบร้อยแล้วก็คงออกมาปรากฏตัวได้อย่างราบรื่นเสียที
ทางด้านนั้นอาหารก็ทำเสร็จแล้ว เยียนเอ๋อร์เข้ามาถามว่าจะให้จัดวางที่นี่หรือไปจัดวางที่ห้องหลัก เฉียวเวยถามศิษย์น้องหญิงว่าจะยังกินอีกหรือไม่ ศิษย์น้องหญิงส่ายหน้า “เมื่อครู่ข้ากินเยอะเกินไป นี่ก็แทบจะเดินไม่ไหวแล้ว”
“ยังคิดว่าเจ้าเหมือนกับวั่งซูที่กินเก่งมาตั้งแต่เกิดเสียอีก” เฉียวเวยให้คนเอาอาหารไปวางที่ห้องหลัก
หลังจากกินอาหารเสร็จ ใต้เท้าเจ้าสำนักยังไม่รีบร้อนจะกลับห้อง แต่ดึงตัวเฉียวเวยมาถามว่า “ข้าลองคิดดูแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล”
ไม่ชอบมาพากลแน่ล่ะ ศิษย์น้องหญิงมีฐานะพิเศษ การแต่งงานกับนางแทบจะเรียกได้ว่าได้ทั้งซู่ซินจงมาอยู่ในมือ ดูท่าอีกฝ่ายคงคิดการใหญ่น่าดู คงคิดอยากจะได้ซู่ซินจงไปครอบครอง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหยียดยิ้มมุมปากที่แดงฉ่ำเสียยิ่งกว่าสตรีแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างมีเลศนัยว่า “นางยักษ์ เรื่องของซู่ซินจง ข้ามีความคิดดีๆ อยู่เล็กน้อย”
เฉียวเวยพลันเดือดดาล “เจ้าอย่าได้มีความคิดอะไรจะดีกว่า! ความคิดใดของเจ้าบ้างที่ไม่พาตัวเองเข้าไปตกที่นั่งลำบากด้วยน่ะ คราก่อนเจ้ายังลากตัวเองเข้าไปเดือดร้อนด้วยเลย! ข้าขอร้องเจ้าล่ะ รีบกลับห้องเจ้าไปนอนเสียเถิด!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ได้แต่มองประตูปิดใส่หน้าตนดังปัง ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงเบ้ปากด้วยความดูแคลน “ข้ามีความคิดดีๆ จริงๆ นะจะบอกให้”
…
เดือนดับลมพัดแรง นกอินทรีย์ทองตัวใหญ่บินวนเงียบๆ อยู่เหนือบ้านตระกูลจี หลังจากบินไปตามเรือนต่างๆ รอบหนึ่งแล้วก็บินลงมาเกาะที่รถม้าคันหนึ่งด้านนอกจวนตระกูลจี
สตรีนางนั้นลูบศีรษะนกอินทรีย์ทอง “หาเจอหรือไม่”
นกอินทรีย์ทองส่งเสียงร้อง
“ซู่ว์…” สตรีนางนั้นทำมือบอกให้มันเงียบเสียง นกอินทรีย์ทองเลยหยุดร้อง สตรีนางนั้นเอ่ยว่า “พาข้าไปที”
นกอินทรีย์ทองกางปีกโผบินเข้าไปในบ้านตระกูลจีอีกครั้ง
สตรีนางนั้นใช้กำลังภายใน ตามนกอินทรีย์ทองเข้าไปที่บ้านชิงเหลียน
นกอินทรีย์ทองโรยตัวลงเกาะบนหลังอย่างเงียบเชียบ กักเก็บเสียงลมหายใจของตน
สตรีนางนั้นปีนกำแพงเข้าไป กระโดดลงพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง หลบหลีกสายตาบ่าวไพร่เวรกลางคืน ถือขนนกที่นกอินทรีย์ทองทิ้งไว้ให้แล้วไปที่หน้าห้องใต้เท้าเจ้าสำนัก
สตรีนางนั้นเข้าไปในห้อง ค้นหาไปทั่วทั้งข้างบนข้างล่าง ไม่ว่าจะใต้เตียง ในลิ้นชัก หรือในตู้…แต่หาเท่าไรก็หากระดิ่งของนางไม่เจอ
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยดังมาจากนอกห้อง “เมื่อเย็นข้ากินไม่อิ่มเลยสักนิด ไปทำขาหมูตุ๋นน้ำแดงกับรังนกต้มน้ำตาลมาให้ข้าที เอารังนกแดงนะ”
“เจ้าค่ะ คุณชายรอง” เยียนเอ๋อร์ตอบรับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักผลักประตูเข้าไป
สตรีนางนั้นกำลังเปิดประตูตู้เสื้อผ้าอยู่พอดี นางไปหลบที่อื่นไม่ทันจึงจำต้องแอบอยู่ในตู้ นางนั่งคุดคู้อยู่ข้างใน ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง
สตรีนางนั้นมองออกมาจากซอกประตูตู้ เห็นใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้ามาใกล้
ใต้เท้าเจ้าสำนักเพิ่งอาบน้ำแช่น้ำร้อนเสร็จ เส้นผมยังเปียกโชกอยู่ ดวงตาที่เป็นประกายของเขาคล้ายมีไอน้ำเกาะอยู่ชั้นบางๆ ริมฝีปากแดงระเรื่อราวกับกลีบดอกไม้ ผิวพรรณขาวผุดผ่องแทบจะส่องแสงได้ ทั่วตัวมีกลิ่นอายความสะอาดสะอ้านและน่าหลงใหลแผ่กระจายออกมา
เขาปล่อยผมยาวสยาย เส้นผมดำขลับราวกับเส้นไหมสีดำมืดที่สะท้อนเป็นประกาย ทิ้งตัวลงบนหัวไหล่แกร่ง ทำให้ผิวพรรณที่ขาวใสของเขายิ่งดูผุดผ่องมากขึ้น
สตรีนางนั้นไม่แม้แต่จะกะพริบตา
ใต้เท้าเจ้าสำนักลงกลอนประตู ถอดหน้ากากออก
สายตาสตรีนางนั้นพลันชะงัก
ใบหน้าเช่นนี้แทบจะงดงามราวกับเทพเซียนใต้แสงจันทร์อยู่แล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินมาทางตู้เสื้อผ้า
รูม่านตาของสตรีนางนั้นพลันหดตัว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า กลิ่นกายอย่างบุรุษที่เป็นเอกลักษณ์ของเขากับกลิ่นหอมอย่างคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ รวมถึงไอร้อนน้อยๆ ที่อยู่ตามผิวกายลอยเข้ามาตามร่องประตูตู้เสื้อผ้า
สตรีนางนั้นขนตาสั่นระริก หัวใจเต็นระรัว นางกระชับกริชที่อยู่ตรงเอวไว้มั่น…
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับไม่ได้เปิดประตูตู้ด้านล่างออก แต่เปิดเพียงตู้ด้านบน เขาหยิบเสื้อนอนสีขาวล้วนไปวางไว้บนโต๊ะ ในขณะที่สตรีนางนั้นคิดว่าใต้เท้าเจ้าสำนักจะหมุนตัวเดินไปนั้น จู่ๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ปลดกระดุมเสื้อออก เสื้อนอกตัวหลวมโคร่งจึงร่วงลงจากตัวเขาทั้งอย่างนั้น เปิดเปลือยผิวกายอันไร้ที่ติออกมาให้เห็น
สตรีนางนั้นจึงเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าไปเต็มตา!
บัดสีบัดเถลิง!
นางลืมไปแล้วว่าในมือตนถือกริชอยู่ รีบเอามือขึ้นปิดตา
จึงได้ยินเสียงดังตึงจากกริชที่ตกลงบนแผ่นไม้!