ตอนที่ 309-1 คนของซู่ซินจงมา ซาลาเปาน้อยไปเข้าเรียน (1)
ใต้เท้าเจ้าสำนักได้ยินเสียงนั้น แต่เขาไม่คิดเลยว่าข้างในจะมีคนนั่งอยู่ เขาเปิดประตูตู้ด้วยความงงงวย
หากบอกว่าก่อนหน้านี้ที่แอบมองมาจากช่องประตูแล้วเห็นแค่เล็กน้อย เช่นนั้นเวลานี้ น้องชายใต้เท้าเจ้าสำนักที่แสนซนเรียกได้ว่าเปิดโล่งโจ้งต่อหน้าต่อตานางอย่างเต็มสายตา
สตรีนางนั้นขัดเขินเกินจะเยียวยา นางยกขาขึ้นถีบใต้เท้าเจ้าสำนักจนล้มกลิ้งไปกับพื้น!
นี่เป็นห้องของเขา มีคนมาซ่อนตัวอยู่ในตู้ของเขา ได้เห็นร่างที่เปลือยเปล่าล่อนจ้อนของเขา ซ้ำยังมีหน้ามาถีบเขาอีก นี่มันจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักลุกขึ้นยืน เท้าสะเอวถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
ในเมื่อถูกพบเข้าแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีก สตรีนางนั้นลุกออกจากตู้ ลดมือที่ปิดตาอยู่ลง แต่พอหันไปมองอีกฝ่ายก็กลายเป็นว่า…
“คนเถื่อน!” นางรีบเอามือปิดตาอีกครั้ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักก้มหน้ามอง น้องชายใต้เท้าเจ้าสำนักกำลังผงาดตัวลุกขึ้นทักทายเขาอย่างเย่อหยิ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันหน้าถอดสี รีบคว้าเอาถาดมาปิดไว้ อย่างนั้นเขาก็มองไปทางสตรีที่กำลังเอามือปิดตา เบี่ยงตัวหนี ท่าทางดูไม่รู้ว่ารังเกียจหรือเขินอายกันแน่ก่อนจะร้องอ้อออกมา “เป็นเจ้า?”
สตรีนางนั้นพอถูกจับได้ก็พยายามตั้งสติ คลายมือออกแล้วกลั้นใจหันไปมองเจ้าของห้อง ใต้ผ้าปิดหน้า ใบหน้านางแดงก่ำ แต่สายตากลับเย็นยะเยือกราวกับผิวน้ำ “เป็นข้าแล้วอย่างไร”
“เจ้าไปหลบอยู่ในตู้ทำไมกัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาโต “เจ้าคิดจะแอบดูข้า?!”
สตรีนางนั้นพลันมีโทสะแล่นปรี่ขึ้นมาจุกที่คอ นางมองหน้าใต้เท้าเจ้าสำนักด้วยสายตาเยือกเย็น สายตาหยุดมองอยู่เหนือลำคอเขา “ใครอยากจะแอบมองเจ้ากัน ข้ามาเอาของหรอก!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างหลงตัวเองว่า “ข้าว่าที่บอกว่ามาเอาของคงเป็นเพียงข้ออ้าง เจ้าคงติดใจในตัวข้าแล้วมากกว่า ก็จริงอยู่ ลีลาของข้าไม่ได้มีไว้แค่คุยโวหรอกนะ! สตรีที่ยินดีจะหลับนอนกับข้าเรียงแถวกันตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงเมืองเฟยอวี๋โน่นแล้ว!”
“เจ้า…” คนไร้ยางอายใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายเพียงนี้! นางใกล้จะทานทนแรงโทสะที่ปะทุอยู่ภายในไม่ไหวแล้ว!
ปังๆๆ!
ด้านนอกมีเสียงคนเคาะประตู
ตามด้วยเสียงเยียนเอ๋อร์รายงานว่า “คุณชายรอง มื้อดึกเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะยกเข้าไปให้นะเจ้าคะ”
“ข้า…” ใต้เท้าเจ้าสำนักกับจะเอ่ยปาก สตรีนางนั้นก็พลิ้วกายไปอยู่ด้านหลังเขา จับตัวเขาจากทางด้านหลัง เอามือปิดปากเขาแล้วกระซิบขู่เสียงเบาว่า “หากเจ้ากล้าให้นางเข้ามา ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “อื้อๆๆ อื้อๆๆๆๆ!”
เสียงอู้อี้ขนาดนี้แต่ก็นางยังดันฟังเข้าใจ สตรีนางนั้นมองเขาด้วยสายตาตักเตือนก่อนจะค่อยๆ คลายมือออกด้วยความระมัดระวัง แต่มืออีกข้างหนึ่งถือกริชจ่ออยู่ที่กระดูกสันหลังของเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงหึหึ แล้วตอบออกไปว่า “ข้าไม่กินแล้ว เจ้ายกกลับไปเถิด!”
ไม่ใช่ท่านที่บอกให้ห้องครัวทำหรอกหรือ เหตุใดผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็ไม่กินเสียแล้วเล่า ช่างนิสัยเหมือนเด็กยิ่งนัก เยียนเอ๋อร์สายหน้า ถือถาดเดินกลับไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักรับรู้ได้ถึงคมมีดที่จ่ออยู่ที่หลัง เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ปล่อยข้าได้แล้วกระมัง”
สตรีนางนั้นเอ่ยว่า “เอากระดิ่งของข้าคืนมา”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “อยู่ในตู้ใต้ชั้นวางของ เจ้าไปหยิบเอาเอง”
สตรีนางนั้นเหลือบมองชั้นวางของแล้วเอ่ยอย่างระแวดระวัง “เจ้าอย่าคิดเล่นลูกไม้เชียว เจ้าไปเอามา!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักนึกรำคาญ “เจ้าอย่าเอาตัวมาติดก้นข้าสิ”
สตรีนางนั้นพลันหน้าแข็งค้าง ก้มหน้ามองก็ถึงกับเกือบตาบอดจากความขาวผ่องนั้น นางสละเสื้อคลุ้มตัวนอกสีขาวให้เขาเอาคลุมตัว
ใต้เท้าเจ้าสำนักจัดระเบียบแขนเสื้อด้วยท่าทีสบายๆ “ความสามารถในการปรนนิบัติของเจ้าดีเลิศกว่าสาวใช้ของข้ามากนัก”
“หุบปากไปเลยนะ!” สตรีนางนั้นเอากริชขึ้นไปจ่อที่คออีกฝ่าย
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปทางตู้วางของอย่างยอมรับชะตากรรม “ก็แค่กระดิ่งเก่าๆ อันเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าเสียดายกัน หากเจ้าจนถึงขั้นไม่มีอะไรกินแล้วจริงๆ ที่ข้านี่มีเงินอยู่ ให้เจ้าไปเลยเอาหรือไม่”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องพูดมาก! เอาของออกมา!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักก้มลงไปเปิดตู้ด้านล่างแล้วเอากล่องผ้าไหมออกมาส่งให้สตรีนางนั้น “เอ้า”
แววระแวดระวังในสายตาสตรีนางนั้นไม่จางหายไปสักนิด “เปิดออก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปาก “เปิดก็เปิดสิ”
พูดจบเขาก็เปิดกล่องออก
แต่ของที่อยู่ในกล่องไม่ใช่กระดิ่งแต่เป็นอาวุธลับอย่างหนึ่ง ชั่วขณะที่ฝากล่องเปิดออก กลไกภายในก็ทำงานพร้อมยิงดาวกระจายออกมา!
คิ้วสตรีนางนั้นพลันเลิกขึ้น ขยับกริชมาปัดดาวกระจายนั้นออกไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกเท้าได้ก็ออกวิ่งทันที! ระหว่างที่วิ่งก็ไม่ลืมร้องตะโกนให้คนช่วยไปด้วย “ช่วยข้า…ด้วย….”
สตรีนางนั้นโยนผ้าขาวออกไปคัดช่วงเอวเขาไว้ พอออกแรงดึง ตัวเขาก็ลอยกลับมา นางบีบคอเขาไว้ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหน ยกขาข้างหนึ่งขึ้นถีบนางจนนางล้มลงกับพื้น ตัวเขาเองก็ล้มทับลงบนตัวนางไปเต็มๆ เช่นกัน ชั่วขณะที่ริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันนั้น ต่างฝ่ายต่างตะลึงงันไป
เยียนเอ๋อร์ได้ยินเสียงใต้เท้าเจ้าสำนัก คิดว่าเขาจะเรียกใช้ จึงรีบผลักประตูเข้าไป พอได้กวาดตามองก็เห็นคุณชายรองกับสตรีนางนั้นจุมพิตกันอยู่บนพื้น นางเลยตกใจจนรีบลนลานถอยออกไป
แต่พอออกไปแล้วก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล อาภรณ์ของสตรีนางนั้นไม่เหมือนคนของบ้านชิงเหลียนสักนิด!
ริมฝีปากของสตรีนางนั้นอ่อนนุ่มและติดรสหวานเล็กน้อย ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตาปริบๆ เงยหน้าขึ้นกระแอมเบาๆ “เจ้าเป็นคนจับข้าก่อนนะ”
สตรีนางนั้นผลักเขาออกแล้วลุกขึ้นนั่งก่อนจะสะบัดตบหน้าเขาทีหนึ่ง นางเช็ดปากแรงๆ ใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยตัวออกไปทางหน้าต่าง
เฉียวเวยได้ยินที่เยียนเอ๋อร์มารายงานจึงรีบมาที่ห้องใต้เท้าเจ้าสำนัก ตอนมาถึงสตรีนางนั้นหายตัวไปแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ใบหน้าบวมช้ำไปครึ่งซีก นิ้วมือแตะอยู่ตรงริมฝีบาก พึมพำด้วยท่าทางอึ้งงันว่า “เหตุใดจึงนุ่มเพียงนี้หนอ…”
…
ในตรอกแห่งหนึ่งด้านนอกตระกูลจี มีรถม้าที่ไม่เป็นที่สะดุดตาสักนิดคันหนึ่งจอดอยู่ สาวใช้ยืนอยู่ข้างรถม้า รอผู้เป็นนายด้วยความร้อนใจ ไม่รู้รออยู่นานเท่าไร ในที่สุดนางก็เห็นนกอินทรีย์ทองโผบินกลับมาเสียที ตามด้วยคุณหนูของตนที่ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมาจากหลังคา
นางเดินเข้าไปหา จับแขนคุณหนูของตนเอาไว้ “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้าง หาร่องรอยของฉางเฟิงสื่อพบหรือไม่”
สตรีนางนั้นขนตาสั่นไหว เหลือบมองนกอินทรีย์ทองที่เกาะอยู่บนหลังคารถม้า “เขาไม่ได้อยู่ในบ้านตระกูลจี”
นกอินทรีย์ทองกระพือปีก
สาวใช้กระทืบเท้าด้วยความร้อนใจ “ไม่ได้บอกว่าพักรักษาตัวอยู่หรือ เหตุใดถึงไม่อยู่ที่นี่ได้ หรือว่า…ตระกูลจีพูดโกหก”
สตรีนางนั้นบอกว่า “โกหกแล้วมีอะไรน่าแปลกใจกัน พวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของฉางเฟิงสื่อแล้ว ตระกูลจีย่อมต้องทำทุกวีถีทางที่จะกักบริเวณเขาเอาไว้”
สาวใช้ตามสตรีนางนั้นขึ้นรถม้า สตรีนางนั้นเปิดผ้าคลุมหน้าออก สาวใช้มองใบหน้าที่แดงแจ๋ของนางแล้วถามด้วยความแปลกใจว่า “คุณหนูท่านเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ เหตุใดหน้าถึงแดงเพียงนี้”
สตรีนางนั้นเอาผ้าขึ้นปิดหน้าอย่างเก่า “ไปประมือกับคนมา ใช้พลังไปไม่น้อย”
สาวใช้พลันกระจ่าง “เช่นนั้นคุณหนูพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องของฉางเฟิงสื่อไว้ทีหลังก็แล้วกัน”
สตรีนางนั้นไม่ตอบอะไร แต่หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากของตนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น!
….
หลังจากนั้นสองวัน คลื่นลมสงบเรียบร้อยทุกอย่าง ชั่วพริบตาวันหยุดก็หมดลง สมาชิกในครอบครัวที่ควรไปประชุมราชการก็ไปประชุมราชการ ที่ควรไปเรียนก็ไปเรียน เพื่อไม่ให้ใต้เท้าเจ้าสำนักอยู่ว่างๆ ทั้งวัน จีหมิงซิวเลยเชิญอาจารย์ที่มีความรู้ความอ่านล้ำลึกมาสอนเขา ดังนั้นทุกคนจึงยุ่งกันหัวหมุน ยกเว้นแต่ศิษย์น้องหญิง
ศิษย์น้องหญิงหนีออกมาจากซู่ซินจง ข้างนอกไม่รู้มีคนรอจะจับตัวนางอยู่มากเท่าไร เมื่อเป็นเช่นนี้นอกจากอยู่ในบ้านชิงเหลียนแล้ว ศิษย์น้องหญิงจึงห้ามไปไหนทั้งสิ้น ถึงแม้ออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย แต่ขอเพียงไม่ต้องถูกจับตัวกลับไปอีก นางก็รู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่าแล้ว
แต่กระนั้นศิษย์น้องหญิงก็ยังใสซื่อเกินไป ในวันที่ห้าที่นางเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจี คนของซู่ซินจงก็มาหาถึงที่นี่
วันนั้นฟ้าเพิ่งสางได้ไม่เท่าไร ซาลาเปาน้อยทั้งสองยังไม่ทันตื่นจากนิทรารมย์ บ่าวชายที่เผ้าประตูก็เรียกหญิงรับใช้ให้ไปรายงานที่บ้านชิงเหลียนบอกว่ามีแขกมาขอพบคุณชายใหญ่กับฮูหยินน้อย
จีหมิงซิวออกไปประชุมราชการตั้งแต่เช้าแล้ว เฉียวเวยพอแต่งกายเรียบร้อยจึงไปพบแขกที่ห้องโถงของเรือนนอก อีกฝ่ายมาด้วยกันห้าคน ทุกคนอยู่ในชุดสีขาวนวลตามแบบฉบับซู่ซินจง สายคาดเอวสีฟ้า สายคาดศีรษะสีเดียวกัน ท่วงท่าสง่าผึ่งผายโดดเด่นน่ามอง
ในบรรดาคนทั้งห้า มีศิษย์ตัวน้อยที่เป็นเด็กหนุ่มอยู่สองคน อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี อีกสองคนเป็นศิษย์วัยกลางคนที่มีประสบการณ์มาโชกโชน สีหน้าเคร่งขรึมดุดัน ดูมีรัศมียิ่งใหญ่ อีกคนหนึ่งอายุมากกว่าเฉียวเวยไม่เท่าไร หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างประหนึ่งต้นไทร ในมือถือกระบี่ยาวสีเงิน ซึ่งก็คือศิษย์น้องห้าที่ไม่ได้พบหน้ามาหลายเดือน
หากเฉียวเวยจำไม่ผิด นอกจากจีหมิงซิวแล้ว คนที่สวีหย่งชิงให้ความสำคัญที่สุดก็คือลูกศิษย์ผู้นี้ หากไม่ใช่เพราะสวีหย่งชิงแพ้เดิมพันให้นาง สุดท้ายแล้วซู่ซินจงจะตกไปอยู่ในมือใครก็ยังไม่มีใครรู้
เฉียวเวยระบายยิ้มไร้พิรุธส่งไปให้พร้อมเดินเอื่อยๆ เข้าไปในห้องโถง “ตายจริง นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องห้าหรอกหรือ ไม่ได้พบกันนานเลย สบายดีหรือไม่”
ศิษย์น้องห้ามองนางด้วยสายตาเรียบเฉย เอ่ยอย่างไม่สู้จะให้ความเคารพนักว่า “ไม่ได้พบกันนานจริงๆ ศิษย์พี่สะใภ้สบายดีหรือไม่”