ตอนที่ 309-2 คนของซู่ซินจงมา ซาลาเปาน้อยไปเข้าเรียน (1)
เฉียวเวยไม่แปลกใจกับท่าทีเย่อหยิ่งของอีกฝ่าย ตนแย่งตำแหน่งเจ้าสำนักที่เดิมควรเป็นของเขาไป หากเขาทำหน้าดีๆ ใส่นางสิถือว่าแปลก เฉียวเวยยิ้มเรียบๆ “ข้าสบายดีมาก ศิษย์พี่ของเจ้าก็สบายดีมากเช่นกัน ใช่สิ ยังไม่รู้เลยว่าจะเรียกขานศิษย์น้องห้าอย่างไร”
ศิษย์น้องห้าตอบด้วยสีหน้าเรียบเย็นว่า “เดินทางไม่เปลี่ยนชื่อ อยู่เฉยไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าชื่อฟู่ปั๋วเจิน”
เฉียวเวยพึมพำทวนชื่อเขาแล้วเอ่ยต่อว่า “ศิษย์น้องห้าอย่ามัวแต่แนะนำตัวเองเลย แนะนำสหายของเจ้าด้วยสิ”
ศิษย์น้องห้าแนะนำเรียงไปทีละคน “ท่านนี้คือศิษย์อาจิ้ง ผู้พิทักษ์ซ้ายแห่งซู่ซินจง ส่วนท่านนี้คือศิษย์อาอวี๋ ผู้พิทักษ์ขวาแห่งซู่ซินจง ส่วนอีกสองคนเป็นลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ ฉางถิงกับสิงจือ”
ศิษย์น้องทั้งสองประสานมือคารวะเฉียวเวย นับเป็นการทำความเคารพ ส่วนผู้พิทักษ์ทั้งสองกลับไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง คล้ายว่าไม่รู้สักนิดว่าเฉียวเวยเป็นใครกระนั้น
สีหน้าของเฉียวเวยก็ไม่เปลี่ยนไปสักนิด นางให้สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา หลังจากทุกคนนั่งลงแล้ว นางก็กวาดมองทุกคนพลางเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “แม้แต่ผู้พิทักษ์ก็มาด้วย นี่มาเยี่ยมคารวะเจ้าสำนักคนใหม่อย่างข้ากันหรือ”
ผู้พิทักษ์ทั้งสองแค่นลมหายใจกันอย่างดูแคลน
ศิษย์น้องห้ากระตุกมุมปากขึ้นเรียบๆ “ใช่ว่าได้ตราเจ้าสำนักไปแล้วก็จะเป็นเจ้าสำนักได้หรอกนะ ก่อนที่เจ้าจะได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสทั้งห้า เกรงว่าข้าคงจะเรียกท่านได้เพียงว่าศิษย์พี่สะใภ้”
เฉียวเวยระบายลมหายใจออกเบาๆ “ตายจริงๆ ไม่คิดเลยว่าสำนักอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพอย่างซู่ซินจงกล้ากระทำเรื่องที่กลืนน้ำลายตนเองเช่นนี้ด้วย กระทั่งข้าที่เป็นผีพนันชั้นต่ำต้อยที่สุดก็ยังรู้ว่ากล้าเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ น่าเสียดายที่ศิษย์อย่างพวกเจ้ายังสู้ผีพนันคนหนึ่งไม่ได้ ในเมื่อตราเจ้าสำนักไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมันไว้อีก”
เฉียวเวยพูดพลางหยิบตราเจ้าสำนักออกมาจากอกเสื้อ พอเห็นว่านางจะหักตรานั้นทิ้ง สีหน้าทุกคนก็พลันเปลี่ยนไป ฟู่ปั๋วเจินยกมือขึ้น “ช้าก่อน! ห้ามทำลายตราเจ้าสำนัก!”
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ตำแหน่งเจ้าสำนักพวกเจ้าจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่ตราอันเล็กๆ อันนี้เจ้าสำนักของพวกเจ้าเป็นคนมอบให้ข้าเองกับมือ มันเป็นของข้าแล้ว ข้าอยากจะทำอย่างไรกับมันก็ย่อมได้”
ศิษย์น้องห้ากัดฟันเอ่ยว่า “หากเจ้าทำให้ตราเจ้าสำนักเสียหาย เจ้าก็จะไม่มีวันได้เป็นเจ้าสำนัก!”
เฉียวเวยผายมือออก “ข้าไม่ทำเสียหายก็ไม่ได้เป็นอยู่แล้ว”
ศิษย์น้องห้ากำหมัดแน่น ประสานมืออย่างไม่สู้จะเต็มไป “ขอเจ้าสำนักเฉียวยั้งมือไว้ก่อน”
เฉียวเวยลูบตรานั้นด้วยท่าทีสบายๆ “จะมาขอความช่วยเหลือก็ต้องมีท่าทางอย่างคนขอความช่วยเหลือ ที่นี่คือเมืองหลวงไม่ใช่ซู่ซินจง อย่าคิดว่าพวกเจ้าที่จองหองอยู่ในซู่ซินจงเสียเคยจะมาแสดงท่าทีโอหังที่บ้านตระกูลจีนี้ได้”
ศิษย์น้องห้าถูกพูดเหน็บแนมเสียจนหน้าตาบึ้งตึง
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ว่ามาเถิด มีเรื่องอะไรกันแน่”
ศิษย์น้องห้าขมวดคิ้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ามารับตัวศิษย์น้องหญิงกลับไป”
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เจ้าก็ไปรับสิ มาหาข้าทำไมกัน”
ศิษย์น้องห้าเอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าสำนักเฉียวอย่าได้ไขสือเลย ศิษย์น้องหญิงอยู่ที่จวนท่านนี่”
เฉียวเวยทำหน้างงงวย “อย่างนั้นหรือ นางอยู่ที่จวนข้า เหตุใดข้าจึงไม่รู้”
ศิษย์น้องห้าสีหน้าบูดบึ้ง “เจ้าอย่าได้บ่ายเบี่ยง ลูกน้องข้าเห็นหมดแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ที่แท้คนพวกนั้นที่เกือบฆ่าข้าก็คือลูกน้องของเจ้าเองหรือ ข้าสามารถเข้าใจไปว่า เจ้าใช้เรื่องการตามหาศิษย์น้องหญิงเป็นข้ออ้างในการวางแผนสังหารเจ้าสำนักได้หรือไม่”
“เจ้า…” ศิษย์น้องห้าสะอึกไป
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าอะไร ข้าพูดผิดไปงั้นหรือ ในมือพวกเขาไม่ได้มีมีดหรือไม่มีดาบกัน”
ศิษย์น้องห้าข่มไฟโทสะเอาไว้เอ่ยด้วยความรำคาญว่า “พวกเขาทำอะไรผลีผลามเกินไป ไว้กลับไปข้าจะลงโทษพวกเขาเอง แต่อย่างไรก็ขอให้เจ้า…ส่งตัวศิษย์น้องหญิงมาให้ข้าเถิด”
เฉียวเวยตอบเสียงเรียบ “ไม่ให้”
ศิษย์น้องห้าเอ่ยด้วยสีหน้าดุดัน “เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนะ ศิษย์น้องหญิงมีการหมั้นหมายติดตัวอยู่ คำสั่งของบิดามารดา คำพูดของแม่สื่อ ถึงแม้เจ้าจะเป็นเจ้าสำนักก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงการแต่งงานของนาง!”
เฉียวเวยระบายยิ้มบางๆ “แต่เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าการแต่งงานครั้งนี้มิใช่บิดามารดานางที่กำหนดให้ แต่เป็นเหล่าผู้อาวุโสที่เก็บตัวอยู่เหล่านั้นเล่า”
ศิษย์น้องห้าพูดไม่ออก
เฉียวเวย “ในเมื่อผู้อาวุโสสามารถกำหนดชีวิตที่เหลือของนางได้ ข้าที่เป็นเจ้าสำนักเหตุใดจึงทำไม่ได้ พอดีเลย ที่เมืองหลวงข้ามีตัวเลือกที่อยากจับคู่ให้นางอยู่หลายคนเหมือนกัน ศิษย์น้องห้ามาได้เวลา ไม่สู้มาคัดเลือกสามีที่ถูกใจให้กับศิษย์น้องหญิงด้วยกันเลยดีหรือไม่”
ศิษย์น้องห้ากำหมดแน่น “เจ้าจะไม่มอบตัวนางจริงๆ หรือ”
เฉียวเวยตอบสบายๆ ว่า “ไม่ให้”
ศิษย์น้องห้ามองนางด้วยสายตาเรียบเย็น “เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
เฉียวเวยเอ่ยกลั้วหัวเราะช้าๆ “ค่อยๆ ไป ไม่ส่ง”
ศิษย์น้องห้าพาผู้พิทักษ์ทั้งสองและศิษย์น้องออกจากบ้านตระกูลจี พวกเขาขึ้นรถม้านั่งเลี้ยวลดไปมาอยู่หลายทีก่อนจะเลี้ยวเข้าไปยังถนนที่ร้างไร้ผู้คน ที่ตรงนั้นมีรถม้าอีกคันหนึ่งจอดอยู่ ตอนที่รถม้าของพวกเขาเคลื่อนผ่านรถม้าคันนั้น รถม้าของศิษย์น้องห้าก็หยุดจอด
“เป็นอย่างไร”
คนในรถม้าอีกคันถามขึ้น
ศิษย์น้องห้า “นางไม่ยอมมอบตัวศิษย์น้องหญิงให้ ซ้ำยังเกือบข่มขู่ข้าด้วยการทำลายตราเจ้าสำนักเสียอีก”
คนในรถม้าเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าใช้ชื่อซู่ซินจงในการเข้าวังที”
“ได้”
ศิษย์น้องห้าตอบรับ แล้วส่งเทียบขอเข้าเฝ้าไปให้ฮ่องเต้แห่งต้าเหลียงทันที เจ้าสำนักสวี่ของซู่ซินจงเป็นลูกเขยของผังไท่ซือ นับว่ามีสัมพันธ์ที่ดีกับต้าเหลียง หลังจากฮ่องเต้เสร็จว่าราชการแล้วจึงไปต้อนรับพวกเขาทันที ขุนนางทั้งหลายต่างรู้กันทั่วว่าคนของซู่ซินจงมา แต่กลับไม่รู้ว่ามาทำอะไรกันแน่ พวกศิษย์น้องห้าอยู่ในวังหลวงกันทั้งบ่าย ช่วงพลบค่ำถึงได้กลับไปพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
ศิษย์น้องหญิงพอรู้ว่าศิษย์พี่ห้ามาก็คิดว่าศิษย์พี่ห้าจะจับตัวนางกลับไป แต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะถูกเฉียวเวยไล่ตะเพิดกลับไป นางจึงอดดีใจไม่ได้
ศิษย์น้องห้าถูกปิดประตูไล่กลับไปทีหนึ่งก็ไม่ได้รีบร้อนจะกลับมาสร้างความรำคาญอีก บ้านตระกูลจีกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง แต่ทางด้านสำนักศึกษากลับมีคลื่นลมเกิดขึ้นแทน
ที่แท้วันต่อมาหลังจากศิษย์น้องห้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็มีราชโองการลงมา “ยัด” ศิษย์ตัวน้อยสองคนของซู่ซินจงเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหนานซาน แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่การยัดเข้าไปเฉยๆ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ซู่ซินจงยินดีที่จะรับนักเรียนสองคนของสำนักศึกษาไปเป็นศิษย์สำนักซู่ซินจงเช่นกัน คิดไปคิดมาแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการแลกเปลี่ยนลูกศิษย์กันสักเท่าไร
ซู่ซินจงเป็นถึงสำนักอันดับหนึ่งของยุทธภพ คนที่ไปเป็นศิษย์ที่นั่นได้ล้วนเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์หรือเจ้าขุนมูลนายทั้งสิ้น อาทิเช่นองค์ชายเก้าแห่งต้าเหลียงอย่างหลี่อวี้ อัครเสนาบดีคนปัจจุบันอย่างจีหมิงซิว พวกเขาแค่มีฐานะยังไม่พอ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์เหนือผู้คนอีกด้วย ดังนั้นต่อให้สำนักศึกษาไม่เคยรับนักเรียนกลางคันมาก่อน แต่ครั้งนี้ทุกคนกลับแสดงความเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ศิษย์ที่เข้ามาใหม่เป็นเด็กน้อยอายุเก้าขวบคนหนึ่งกับแม่นางน้อยอายุสิบเอ็ดสิบสองขวบคนหนึ่ง เด็กน้อยมีนามว่าหลี่ลั่ว ส่วนแม่นางน้อยมีนามว่าหลี่ฟางเฟย ถึงแม้จะแซ่หลี่ทั้งคู่แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด เป็นเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องกันธรรมดาเท่านั้น
ทั้งสองถูกจัดให้อยู่ห้องของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู
ทั้งสองมีรูปลักษณ์ที่งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะหลี่ฟางเฟย นับเป็นต้นแบบของหญิงงามได้เลยทีเดียว เครื่องหน้าทั้งห้าประณีตราวกับหยก ตาชั้นเดียวรูปหงส์ ปากเป็นกระจับดอกอิงเถา คิ้วโก่งดั่งใบหลิว ผิวพรรณเปล่งปลั่งราวกับว่าแค่ดีดก็สามารถแตกได้ เวลายิ้มก็เห็นเป็นลักยิ้มสองข้าง งดงามจนแทบต้องหยุดหายใจ
ความงดงามของวั่งซูเป็นเพียงความงดงามของเด็กน้อย แต่หลี่ฟางเฟยเห็นได้ชัดว่ามีความหมดจดและมีเสน่ห์น่าหลงใหลกว่าหลายส่วน
เด็กทั้งสามอายุยังน้อย จึงจัดให้อยู่แถวหน้าสุด พอมีหลี่ฟางเฟยกับหลี่ลั่วมา เด็กน้อยทั้งสามก็ยังอยู่ในแถวหน้า แต่กลับถูกขยับให้ไปอยู่ด้านข้าง
วั่งซูชอบใจยิ่งนัก เช่นนี้นางก็หลับได้ง่ายขึ้นแล้ว!
หลิวเกอร์หัวช้า ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่การที่ได้นั่งชมธรรมชาติข้างหน้าต่าง คิดแล้วก็นับว่าดีเลิศทีเดียว!
มีเพียงจิ่งอวิ๋นที่มองถุงหนังสือตนเองแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ ของตนด้วยความสงสัย