เล่ม-1 ตอนที่ 313-1 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ ตีศิษย์สำนักชั่วให้น่วม

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 313-1 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ ตีศิษย์สำนักชั่วให้น่วม

บางทีอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายสั่งรสชาติเดียวกับตน จีหมิงซิวจึงหันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว คนผู้นั้นเป็นหญิงสาวสวมหมวกปีกกว้างคนหนึ่ง อายุพอๆ กับจีหว่านอวี๋ รูปโฉมค่อนข้างงดงาม จีหมิงซิวไร้ความรู้สึกใดกับใบหน้าคนงาม เพียงมองแวบเดียวก็ละสายตาจากไป

เฉียวเวยจับสายตาของสามีตนเองได้อย่างเฉียบไว นางทักด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “แม่นางเมืองหลีฮวาช่างงดงามนัก แม้แต่ศิษย์พี่สี่ผู้ไม่เคยหวั่นไหวก็เริ่มรู้จักอารมณ์พิศวาสเสียแล้ว”

จีหมิงซิวกลั้นหัวเราะไม่ไหว กุมมือของนางที่อยู่บนโต๊ะแล้วกระซิบริมหูนางเบาๆ “มีอารมณ์พิศวาสหรือไม่ คืนนี้เจ้าสำนักเฉียวก็จะรู้เอง”

เจ้าคนลามก!

ขนมปูทอดเสร็จอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เถ้าแก่ห่อชุดหนึ่งส่งให้แม่นางน้อย แล้วยกอีกหลายจานมาที่โต๊ะของเฉียวเวยกับจีหมิงซิว เด็กๆ ล้วนไม่อาจต้านทานของทอด พวกเขาหยิบตะเกียบขึ้นมากินกร้วมๆ หากเป็นครึ่งปีก่อน หลิวเกอร์กินเนื้อวัวตากแห้งเข้าไปชิ้นหนึ่งก็คงล้มป่วยเสียครึ่งเดือนแล้ว แต่ตอนนี้เขาเคี้ยวขนมปูกรุบกรอบอย่างไม่กดดันแม้แต่น้อย

แม้ศิษย์น้องเล็กจะมาเที่ยวเล่นที่เมืองหลีฮวาบ่อยครั้ง แต่บิดามารดาก็ไม่เคยอนุญาตให้นางกินของจากร้านแผงลอยริมทาง ขนมปูเช่นนี้ นางเพิ่งเคยลองลิ้มเป็นครั้งแรก รสชาติไม่เลวทีเดียว

แม้มันจะชื่อว่าขนมปู แต่กลับไม่ได้ทำมาจากเนื้อปู วัตถุดิบหลักของมันก็คือฟักทองกับแป้ง มันได้ชื่อนี้มาเพราะปั้นออกมาเป็นรูปปูแล้วลงกระทะ ทอดเสร็จจึงออกมาเป็นปูน้อยสีเหลืองทองน่าอร่อยตัวแล้วตัวเล่า

วั่งซูกินรวดเดียวสิบชิ้น ใต้เท้าเจ้าสำนักกินไปสิบเอ็ดชิ้น เขาไม่มีทางยอมพ่ายแพ้ให้เจ้าอ้วนน้อยอย่างเด็ดขาด!

หลิวเกอร์เองก็ระเบิดพละกำลัง กินไปห้าชิ้น มีแต่จิ่งอวิ๋นที่กินอย่างแห้งเหี่ยวไปสามชิ้นอย่างน่าสงสาร ความจริงเขาก็อยากกินมากกว่านี้ แต่ว่า…

วั่งซูคีบไปหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็คีบไปหนึ่ง

วั่งซูคีบไปอีกหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าสำนักก็คีบไปอีกหนึ่ง

จิ่งอวิ๋นเพิ่งกินได้คำเดียว ขนมในจานก็หายวับไปหลายชิ้น จิ่งอวิ๋นเห็นแล้วก็ใจสลาย

ฝั่งนี้คนทั้งครอบครัวกำลังกินอย่างสุขสำราญ อีกฝั่งหนึ่งแม่นางน้อยก็ถือขนมปูเดินมาที่มุมถนน แล้วขึ้นไปบนรถม้าสีน้ำตาลเข้มคันหนึ่ง สตรีผู้สวมกระโปรงคาดเอวสีฟ้าใสกับเสื้อชายแขนแคบคหนึ่งนั่งอยู่บนรถม้า แม่นางน้อยส่งขนมปูไปเบื้องหน้าอีกฝ่าย แล้วกล่าวว่า “คุณหนู ขนมปูที่ท่านต้องการเจ้าค่ะ!”

หญิงสาวรับขนมปูมาแล้วส่งชิ้นหนึ่งให้นาง “ซิ่วฉิน เจ้าก็กินด้วยกันสิ”

ซิ่วฉินรับมาชิมหนึ่งคำ เผ็ดจนต้องแลบลิ้น “เผ็ดเช่นนี้จะทานได้อย่างไรกันเจ้าคะ”

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แรกเริ่มนางก็ไม่คุ้นชินกับการกินของเผ็ดเช่นนี้ แต่กินมากเข้า กลับรู้สึกว่าไม่เผ็ดไม่อร่อย

ทั้งครอบครัวพักในโรงเตี๊ยมหนึ่งคืน พอฟ้าสางก็ออกเดินทางสู่สำนักซู่ซินจง

ศิษย์น้องเล็กหวาดหวั่นจึงทำหน้าหนายัดตัวเองขึ้นมาบนรถม้าของเฉียวเวย ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าคนที่มีอำนาจตัดสินใจคือศิษย์พี่สะใภ้ ไม่ใช่ศิษย์พี่ ยิ่งนางอยู่ห่างจากศิษย์พี่ไกลเท่าใด ศิษย์พี่สะใภ้ก็อารมณ์ดีเท่านั้น ดังนั้นนางจึงขึ้นลงรถม้าเอง คว้าแขนเฉียวเวยมาจับโดยไม่เหลือบแลจีหมิงซิวแม้แต่หนเดียว “ศิษย์พี่สะใภ้ ข้า…ข้าไม่ไปได้หรือไม่ พวกเขาต้องจับข้าเอาไว้แน่”

เฉียวเวยตอบเรียบๆ “ผู้ใดจะจับเจ้าเอาไว้เล่า บิดาของเจ้า หรือผู้อาวุโสทั้งหลายพวกนั้น”

“ข้าลำบากตั้งมากกว่าจะหนีออกไปได้ ตอนนี้ดันต้องกลับมาอีก ไม่ใช่เท่ากับเอาตัวเองมาติดกับหรอกหรือ” ศิษย์น้องเล็กพูดอย่างคับแค้น

เฉียวเวยเหล่มองนาง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมคนเดียวหรือ ข้ารับประกันได้ว่าไม่พ้นหนึ่งชั่วยาม เจ้าจะกลับไปถึงเร็วกว่าพวกข้าเสียอีก!”

คำพูดนี้หมายความว่าศิษย์น้องเล็กต้องถูกคนของสำนักซู่ซินจงจับตัวกลับไปแน่

ศิษย์น้องเล็กหุบปากอย่างจนปัญญา

เดินทางพ้นเมืองหลีฮวาก็เป็นเทือกเขาซู่ซิน เทือกเขาทอดยาวต่อกันเป็นเส้น ทอดสายตามองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด ตรงตีนเขามีค่ายกลศิลาอยู่ค่ายกลหนึ่ง ผู้ที่ไม่เข้าใจค่ายกลย่อมติดอยู่ข้างในอย่างง่ายดาย แต่พวกเขาเดินตามจีหมิงซิวจึงผ่านไปได้อย่างสบายๆ

เวลานี้เงยหน้ามองยอดเขาซู่ซินที่อยู่ไกลๆ ก็เห็นสำนักซู่ซินจงแล้ว ทว่าการเดินขึ้นไปจริงๆ ก็ยังกินเวลาครึ่งค่อนชั่วยาม

ตอนมาถึงประตูสำนัก หลิวเกอร์ จิ่งอวิ๋นกับใต้เท้าเจ้าสำนักก็นั่งแหมะลงบนพื้น หอบหายใจแฮ่กๆ

ศิษย์ของสำนักซู่ซินจงได้ยินมาว่าราชสำนักจะส่งหนอนหนังสือสองคนมาร่ำเรียนวิชา จึงมีคนไม่น้อยมาชะเง้อคอเฝ้าดูที่ประตูตั้งแต่เช้าตรู่ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าศิษย์พี่สี่กับศิษย์น้องเล็กจะมาด้วย ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องเล็กหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ หรือว่า…จะถูกศิษย์พี่สี่จับตัวกลับมา แต่เหตุใดข้างตัวศิษย์พี่สี่จึงมีผู้หญิงเพิ่มมาคนหนึ่ง แล้วด้านหลังศิษย์น้องเล็กเหตุไฉนจึงมีบุรุษติดตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง

เอ๋ ไม่ใช่หนอนหนังสือสองคน แต่เป็นสามคน! แล้วทุกคนก็ยัง ตัว เล็ก มาก!

หนอนหนังสือตัวน้อยมีสุนัข! แล้วก็มีลิงด้วย!

จูเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนออกมา มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก มืออีกข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง ร่ำไห้สะอึกสะอื้น

ศิษย์ทั้งหลายยกนิ้วขึ้นมากัด รู้สึกเศร้าจนเหมือนใจจะสลาย…

เฉียวเวยให้เจ้าตัวน้อยทั้งสามรออยู่ด้านนอก จูเอ๋อร์กับต้าไป๋หาสถานที่จุดหนึ่งนั่งลงอย่างเรียบร้อย เสี่ยวไป๋อาศัยที่ตัวเองตัวเล็กวิ่งฉิวกระโดดมุดเข้าไปในแขนเสื้อของเฉียวเวย

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่ไม่รู้ความจริง ตัวอย่างเช่นพวกศิษย์พี่ห้าที่ทราบอยู่แล้วว่าเฉียวเวยกับศิษย์น้องเล็กจะต้องปรากฏตัวที่สำนัก ส่วนการปรากฏตัวของจีหมิงซิว แม้จะเหนือความคาดหมายแต่ก็ดูมีเหตุผล ภรรยากับลูกมาสำนักซู่ซินจงกันหมด คนเป็นสามีกับเป็นพ่อจะไม่ตามมาได้หรือ

ภายในห้องโถงใหญ่อันโอ่อ่า ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาและศิษย์เอกผู้โดดเด่นทั้งหลายมารอคอยอยู่นานแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่ตำแหน่งแรกสุดของสองฝั่งคือผู้พิทักษ์ซ้ายขวา ไล่จากผู้พิทักษ์ซ้ายลงมาเบื้องล่างคือศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่ห้า…จนกระทั่งถึงศิษย์น้องแปด ถัดจากผู้พิทักษ์ขวาลงมาคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์พี่หญิงรอง ศิษย์พี่หญิงสาม…จนถึงศิษย์พี่หญิงเก้า

มากกว่าครึ่งของศิษย์เหล่านี้เคยไปที่จวนไท่ซือ เคยพบเฉียวเวยมาก่อน เฉียวเวยทำร้ายศิษย์พี่หญิงรองจนบาดเจ็บ แย่งชิงป้ายเจ้าสำนักไป แล้วยังยึดครองศิษย์พี่สี่ของพวกเขาไปอีก พวกเขาชิงชังนางเป็นที่สุด

ศิษย์หญิงของสำนักซู่ซินจง นอกจากศิษย์น้องเล็กผู้ไม่ประสีประสา คนที่เหลือในสิบคนมีสิบเอ็ดคนที่คะนึงหาศิษย์พี่สี่มิคลาย ผู้ใดได้ครอบครองศิษย์พี่สี่ย่อมเป็นหนามในดวงตาของพวกนาง

ตั้งแต่ชั่วขณะแรกที่เฉียวเวยก้าวผ่านประตูก็สัมผัสได้ถึงความริษยาท่วมท้น เฉียวเวยกวาดสายตามองศิษย์หญิงกลุ่มนั้น แววตาของศิษย์หญิงทั้งหลายจับจ้องเฉียวเวยอย่างเย็นชา เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะคว้ามือของจีหมิงซิวมาจับ

ทุกคนโมโหจนแทบจะหงายหลังล้มตึง!

ไม่นาน สายตาของคนในห้องโถงก็จับอยู่บนใบหน้าอันไม่คุ้นเคยทั้งหลาย เด็กน้อยทั้งสามคนหน้าตางดงามก็จริง แต่คนที่ทำให้พวกเขาสนใจมากที่สุดกลับเป็นบุรุษที่สวมหน้ากากหยกผู้นั้น เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์ตัวใหญ่สีดำทั้งตัว สายคาดเอวรัดแน่น แขนเสื้อกว้างดั่งเมฆาทิ้งตัวลงมาอย่างสบายๆ ด้านข้าง เขามีดวงตาที่เป็นประกายชวนให้คนหวั่นไหว ริมฝีปากแดงสดยิ่งกว่าอิสตรี คางได้รูป มือขาวผ่องดุจหยกเรียวงาม บนร่างมีกลิ่นหอมจางๆ คล้ายมีแต่ก็คล้ายไม่มีแผ่ออกมา ยามดมดอมชวนให้หัวใจคนบีบรัด

ดูเหมือนเขาจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีหมิงซิวพอสมควร ไม่รู้ว่าเป็นน้องชายที่เสียไปแต่ได้กลับคืนมาคนนั้นหรือไม่

ระหว่างที่ทุกคนมองสำรวจคนกลุ่มนี้ ศิษย์ที่อยู่ด้านนอกก็ตะโกนแจ้งว่า “เจ้าสำนักสวี่มาถึงแล้ว”

เฉียวเวยหันมองตามเสียงไปที่ประตูก็เห็นสวี่หย่งชิงที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายเดือน เขาสวมชุดเจ้าสำนัก ผูกสายคาดเอวสีทอง บนศีรษะสวมกวานหยก พาแรงกดดันอันแข็งแกร่งเดินมาจากด้านนอก ลูกศิษย์ในห้องโถงกับผู้พิทักษ์ประสานมือค้อมกายคำนับอย่างพร้อมเพรียง

สายตาของสวี่หย่งชิงไม่ได้จับบนร่างผู้ใด เขาก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก้าวเดียวก็หยุดฝีเท้า หันไปมองด้านหลังคล้ายกับว่า…กำลังรอผู้ใดอยู่

เฉียวเวยกะพริบตาอย่างประหลาดใจ ยังมีผู้ใดอีกหรือ สวี่หย่งชิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจง ผู้ใดจะใหญ่โตจนทำให้เขาต้องรอเช่นนี้อีก

เมื่อหญิงสาวสวมกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนที่ผูกผ้าแพรปิดหน้าสีเดียวกันผู้นั้นก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทางสง่างาม ดวงตาของเฉียวเวยก็เบิกโตทันควัน

เหตุไฉนเป็นนาง

ใต้เท้าเจ้าสำนักก็มึนงงเช่นกัน นางยักษ์หมายเลขสองไม่ใช่หรือ!

ตอนที่เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็เห็นพวกเขาเช่นเดียวกัน แต่บนใบหน้าของนางกลับไม่มีความประหลาดใจมากเท่าใดนัก เห็นชัดว่าทราบอยู่ก่อนแล้วว่าคนตระกูลจีจะมา เพียงแต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ยามที่เดินเฉียดผ่านใต้เท้าเจ้าสำนักไป มือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อกว้างของนางก็ยังกำหมัดแน่น

เฉียวเวยหรี่ตาลง สำนักซู่ซินจงสมคบกับเผ่าเยี่ยหลัวอยู่จริงๆ ถึงขั้นให้คนเยี่ยหลัวเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย!

การมาถึงของสตรีนางนี้ทำให้ทั้งห้องโถงมีบรรยากาศแปลกออกไปจากปกติอยู่หลายส่วน นางสูงส่งและงดงาม สง่าแต่เย็นชา เหมือนกับดอกบัวเดียวดายที่เบ่งบานอยู่บนยอดเขาหิมะ ไกลจนมิอาจเอื้อมมือเด็ด

แววตาของศิษย์พี่ห้าวูบไหว

อีกด้านหนึ่ง สวี่หย่งชิงตบหัวไหล่ของจีหมิงซิวแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

ท่าทีประหนึ่งบิดาผู้เมตตา คล้ายกับว่าระหว่างทั้งสองคนไม่เคยเกิดเรื่องผิดใจอะไรกัน

จีหมิงซิวตอบด้วยท่าทางอ่อนโยนเช่นกัน “อาจารย์สบายดีหรือ”

สวี่หย่งชิงยิ้ม “จะไม่สบายตรงที่ใดกันเล่า ก็แค่…” พูดพลาง สายตาก็จับบนร่างของศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องเล็กหดตัวหลบไปอยู่หลังเฉียวเวย “ถูกสาวน้อยคนนี้ทำให้โกรธพอสมควร โชคดีเจ้าพานางกลับมาส่งแล้ว”

จีหมิงซิวหัวเราะ เสียงหัวเราะเหมือนแฝงความนัยบางอย่าง

สวี่หย่งชิงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับเฉียวเวยและใต้เท้าเจ้าสำนัก จากนั้นจึงตบหัวไหล่เด็กน้อยทั้งสามคน ท่าทางปลาบปลื้มใจยิ่งนัก หลังจากนั้นสวี่หย่งชิงจึงไปนั่งบนเก้าอี้ทองของเจ้าสำนัก ด้านข้างต่ำลงมาจากที่นั่งของเขา มีเก้าอี้วางไว้อีกตัวหนึ่ง คนที่นั่งบนนั้นก็คือสตรีที่เพิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่เมื่อครู่

สวี่หย่งชิงแนะนำว่า “คนผู้นี้คือลูกศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่นามว่าฟู่เสวี่ยเยียน นางมาร่ำเรียนก่อนพวกเจ้าสักระยะหนึ่ง หากนับรุ่นดูแล้ว พวกเจ้าทุกคนสมควรเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงฟู่”

ลูกศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่อะไรกัน ลูกศิษย์สายตรงคนไหนจะไปนั่งข้างเจ้าสำนักได้ ไปหลอกคนโง่เถอะ