ตอนที่ 313-2 เสี่ยวไป๋ผู้กล้าหาญ ตีศิษย์สำนักชั่วให้น่วม
สวี่หย่งชิงเอ่ยต่อว่า “วันนี้ที่เรียกทุกคนมารวมตัวกัน หลักๆ เพราะมีเรื่องต้องประกาศสามเรื่อง เรื่องที่หนึ่งสำนักศึกษาหนานซานส่งลูกศิษย์มาแลกเปลี่ยนสอง…สามคน พวกเขาจะมาร่ำเรียนที่สำนักซู่ซินจงเป็นเวลาครึ่งปี ขอให้ทุกคนดูแลพวกเขาให้ดี เรื่องที่สอง คือเรื่องการแต่งงานของศิษย์พี่ของพวกเจ้า ทุกคนจงร่วมแสงความยินดีกับเขา เรื่องที่สามการแต่งงานระหว่างลูกสาวข้ากับศิษย์พี่ฟู่ของพวกเจ้า…”
เฉียวเวยยกมือขึ้น “ประเดี๋ยวก่อน เจ้าสำนักสวี่ ท่านลืมเรื่องหนึ่งไปหรือไม่”
“เรื่องใด” สวี่หย่งชิงถาม
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ท่านแพ้พนันสำนักซู่ซินจงให้ข้าแล้ว”
สวี่หย่งชิงกำที่วางมือของเก้าอี้แน่น
เฉียวเวยยิ้มอย่างเฉยชา “อะไรกัน ป้ายเจ้าสำนักก็อยู่ในมือข้า ท่านคิดจะหนีหนี้หรือ ตอนนั้นพวกเจ้าทุกคนที่นี่ต่างเป็นประจักษ์พยานสัญญาพนันระหว่างข้ากับอาจารย์ของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่อยากยอมรับก็ไม่เป็นไร แต่สมาคมกระบี่ก็รู้เรื่องนี้ด้วย มิสู้เชิญศิษย์ของสมาคมกระบี่มาตัดสินเรื่องราวระหว่างข้ากับสำนักซู่ซินจงดีหรือไม่”
สวี่หย่งชิงสีหน้าเย็นชา “ตำแหน่งเจ้าสำนัก ไฉนจะทำเป็นเรื่องเด็กเล่น”
เฉียวเวยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้แต่ว่ากล้าพนันก็ต้องกล้าแพ้”
ดวงตาของสวี่หย่งชิงจ้องเขม็ง
ลูกศิษย์คนหนึ่งกระโดดออกมา “เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาพูดเรื่องกล้าพนันต้องกล้าแพ้ ตอนนั้นเจ้าอาศัยศิษย์พี่สี่ถึงชนะพนันอาจารย์ของข้า! หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่สี่ช่วยเจ้า เจ้าก็ถูกอาจารย์ของข้าตบหนึ่งฝ่ามือตายไปแล้ว! ยังจะมีโอกาสให้เจ้ามาพูดจาเหิมเกริมที่นี่วันนี้หรือ”
เฉียวเวยคิดว่าตนเองน่าจะเคยพบศิษย์น้องคนนี้มาแล้ว แต่หน้าตาของอีกฝ่ายเหมือนตัวประกอบริมทางมากเกินไปจริงๆ นางจึงจดจำไม่ได้แม้แต่น้อย นางมองอีกฝ่ายอย่างขบขัน “ศิษย์น้องผู้นี้ ไม่ยินยอมอย่างนั้นหรือ”
ศิษย์น้องเจ็ดเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าสำนักเป็นเจ้า ข้าย่อมไม่ยินยอม! เจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักซู่ซินจงของพวกเราสักหน่อย อาศัยอะไรมาแย่งตำแหน่งเจ้าสำนักของพวกเราไป”
เฉียวเวยผายมือ ตอบอย่างผู้บริสุทธิ์ “เรื่องนี้ต้องถามเจ้าสำนักสวี่ของพวกเจ้าแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นจึงเดิมพันกับข้า แล้วเหตุใดจึงเอาสำนักซู่ซินจงมาวางเป็นของเดิมพัน ข้าไม่ได้เอาดาบจ่อคอบังคับให้เขาทำเช่นนี้สักหน่อย”
ศิษย์น้องเจ็ดถูกโต้จนสะอึก อับจนหนทางจะเถียง ทว่าระหว่างที่ร้อนใจก็เกิดปฏิภาณไหวพริบขึ้นมา “ศิษย์พี่สี่ ท่านช่วยพูดให้ความเป็นธรรมสักคำสิ!”
จีหมิงซิวขานอืมตอบอย่างนึกสนใจ “สำนักซู่ซินจงเป็นสำนักใหญ่ในใต้หล้า คิดว่าลั่นวาจาแล้วคงไม่กลับคำ”
นี่เท่ากับหนุนหลังเฉียวเวย
ศิษย์น้องเจ็ดโมโหจนหน้าเขียว ตอนยังไม่พบสตรีนางนี้ ศิษย์พี่สี่ดีกับพวกเขา กตัญญูเชื่อฟังท่านอาจารย์ ทว่านับตั้งแต่สตรีนางนี้ปรากฏตัว ศิษย์พี่สี่ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่สนิทชิดเชื้อกับสำนักซู่ซินจงสักนิดอีกแล้ว ทุกสิ่งเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้!
เขาต้องสั่งสอนนางให้จงได้ ให้นางรู้ว่าสำนักซู่ซินจงไม่ใช่สถานที่ที่นางจะมาทำตามอำเภอใจ!
ศิษย์น้องเจ็ดพลิกมือรวบรวมลมปราณ จากนั้นซัดเข้าใส่แผ่นหลังของเฉียวเวยอย่างโหดเหี้ยม!
ยามเล่าช้าแต่ตอนเกิดขึ้นจริงรวดเร็วยิ่งนัก ลำแสงสีขาวเส้นหนึ่งกระโจนมาเบื้องหน้าเฉียวเวย กรงเล็บข้างหนึ่งตวัดใส่ลำคอของศิษย์น้องเจ็ด!
ศิษย์น้องเจ็ดหน้าถอดสี เขาเปลี่ยนทิศทางของฝ่ามือได้ทันเวลา ซัดฝ่ามือเข้าใส่เสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋พลิ้วกายหลบ สายลมจากฝ่ามือจึงตกต้องเก้าอี้ด้านหลังของมัน เก้าอี้ตัวนั้นแหลกเป็นเศษไม้ในชั่วพริบตา บ่งบอกว่าฝ่ามือนี้ของเขาร้ายกาจมากเพียงใด
แต่เสี่ยวไป๋ก็ไม่ใช่สัตว์กินพืช เสี่ยวไป๋หลบพ้นการโจมตีได้หนหนึ่งก็ส่งการโจมตีเข้าใส่เขาอีกครั้ง กรงเล็บตะปบใส่หน้าอกของเขา กรีดเป็นรอยเลือดสามเส้น!
ศิษย์น้องเจ็ดโมโหทันที เขาชักกระบี่คู่กายที่ห้อยอยู่ตรงเอวออกมา ฟันใส่เสี่ยวไป๋ แต่เสี่ยวไป๋ไหนเลยจะให้โอกาสเขา ไม่รอให้เขาชักกระบี่ออกมาจนสุด เขาก็ถูกเสี่ยวไป๋ถีบหนึ่งเท้าเข้ากลางหลังมือ พละกำลังมหาศาลทำให้กระบี่ที่เขาชักออกมาได้เกินครึ่งดีดกลับไปอยู่ในฝักกระบี่!
เขาตกตะลึง หนก่อนตอนพบเจ้าตัวน้อยตัวนี้ มันยังไม่มีพละกำลังมากเท่านี้ เพิ่งจะไม่พบหน้ากันไม่กี่เดือน เหตุไฉนมันจึงเหมือนผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก
เสี่ยวไป๋เหยียบหลังมือเขาแล้วอาศัยแรงกระโจนไปถึงใบหน้า ฉวยช่องว่างพริบตาสั้นๆ ตวัดกรงเล็บคมกริบอันงดงาม ตบบ้องหูดัง เพียะ! เพียะ! เพียะ! ด้วยความเร็วที่ตาเปล่าแทบจะจับไม่ทัน
ศิษย์น้องเจ็ดถูกตบจนหน้าบวมจมูกเขียว ดวงตาทั้งสองข้างเห็นดาว เขาโซเซเดินวนอยู่ที่เดิมหลายรอบ จากนั้นสองตาก็เหลือกลอยฟุบลงไปกองกับพื้น ไม่รับรู้สิ่งใดอีก
ทุกคนตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พิทักษ์ทั้งสอง คางของพวกเขาเกือบจะร่วงลงมา นี่ไม่ใช่แค่ลูกสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ เหตุไฉนจึงตีศิษย์น้องเจ็ดที่วรยุทธ์สูงส่งจนกลายเป็นเช่นนี้ได้
ศิษย์พี่หญิงห้ากับศิษย์น้องแปดเคยลิ้มรสความร้ายกาจของเจ้าตัวจ้อยตัวนี้มาแล้ว ตอนนั้นศิษย์น้องเจ็ดเป็นคนตีกลองจึงไม่ได้เข้าร่วมสู้ แต่เขาเองก็เคยเห็นความสามารถของเสี่ยวไป๋ หนนี้ไม่เห็นเสี่ยวไป๋ถึงกล้าลงมือกับเฉียวเวย ไหนเลยจะรู้ว่าสตรีนางนี้ช่างเจ้าเล่ห์ ซ่อนเจ้าตัวโหดเหี้ยมตัวนี้เอาไว้ในแขนเสื้อ
สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนจับจ้องบนร่างเสี่ยวไป๋ ขมวดคิ้วเหมือนขบคิดบางสิ่ง
เสี่ยวไป๋กระโดดกลับไปอยู่ในแขนเสื้อของเฉียวเวย
เฉียวเวยยิ้มหยันมองทุกคน “หนก่อนลอบจู่โจมสัตว์เลี้ยงของข้า วันนี้ก็ยังลอบจู่โจมข้าอีก สำนักซู่ซินจงของพวกเจ้าได้ชื่อว่าเป็นพรรคธรรมะ แต่วิธีลงมือเช่นนี้ออกจะต่ำช้าเกินไปหน่อยกระมัง”
ทุกคนอับอาย กล่าวความจริงแล้ว การลอบจู่โจมก็นับว่าไม่สง่าผ่าเผยจริงๆ เรื่องเมื่อครู่ศิษย์น้องเจ็ดทำผิด ดังนั้นหนนี้ตอนที่ศิษย์น้องเจ็ดถูกเจ้าตัวจ้อยตัวนั้นตบจนหน้าบวมเป็นหัวหมู พวกเขาปวดใจก็ส่วนปวดใจ แต่ก็ไม่สะดวกออกหน้าทวงความเป็นธรรมให้ศิษย์น้องเจ็ดเช่นกัน
พวกเขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองสู้เจ้าตัวจ้อยตัวนั้นไม่ได้
สวี่หย่งชิงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “ตำแหน่งเจ้าสำนักรอผู้อาวุโสทั้งหลายเลิกเก็บตัวฝึกวิชาแล้วค่อยหารือกัน หากไม่มีเรื่องใดแล้วก็แยกย้ายกันก่อนเถิด”
ทุกคนประสานมือคำนับ “น้อมส่งเจ้าสำนัก!”
สวี่หย่งชิงเดินลงจากบันได เมื่อเดินไปถึงข้างกลุ่มของเฉียวเวยก็หยุดฝีเท้า หันไปมองศิษย์น้องเล็ก แล้วบอกด้วยท่าทางน่าเกรงขาม “ยังไม่ตามข้ากลับไปอีกหรือ”
ศิษย์น้องเล็กดึงแขนเสื้อเฉียวเวยอย่างหวาดกลัว
เฉียวเวยยิ้มมองสวี่หย่งชิงหนึ่ง จากนั้นตอบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ไปเถิด ผู้อาวุโสทั้งหลายยังไม่เลิกเก็บตัวฝึกวิชา รอพวกเขาออกมาแล้ว ข้าจะไปยกเลิกงานแต่งงานหนนี้กับพวกเขาด้วยตนเอง”
สีหน้าของสวี่หย่งชิงเย็นยะเยือกในชั่วพริบตา
ศิษย์น้องเล็กจึงฝืนตัวเองเดินจากไป
เจ้าสำนักไปแล้ว ทุกคนจึงแยกย้าย
ฟู่เสวี่ยเยียนลุกขึ้นผละจากที่นั่ง ก้าวออกจากห้องโถงใหญ่อย่างเนิบช้า ตอนที่เดินเฉียดผ่านใต้เท้าเจ้าสำนัก นางไม่ชายตาแลเขาเลยสักหน ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะอย่างไม่สบอารมณ์
ฟู่เสวี่ยเยี่ยนหนังตาไม่กระตุกสักนิด นางเดินจากไปอย่างเฉยชา
ใต้เท้าเจ้าสำนักโกรธจนกระทืบเท้า!
จีหมิงซิวมองฟู่เสวี่ยเยียนเดินจากไป แล้วหันมามองน้องชายที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นจึงพาภรรยากับน้องชายกลับไปยังหอของตน
สำนักซู่ซินจงสร้างขึ้นบนภูเขา ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก ทอดสายตามองไปเห็นทิวเขาเขียวขจีลดหลั่นเป็นชั้นๆ เมฆหมอกลอยวนเวียน ราวกับแดนเซียนบนโลกมนุษย์
เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนวิ่งเล่นขึ้นลงบันได ส่วนปี้เอ๋อร์ในที่สุดก็หิ้วสัมภาระหอบแฮ่กมาถึงสำนักซู่ซินจง
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามคนมาร่ำเรียน แต่เดิมมีเพียงจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แต่จีหมิงซิวไปหาฮ่องเต้ให้เพิ่มชื่ออีกชื่อหนึ่ง หลิวเกอร์เองก็ได้เข้าเรียนด้วย ทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็มีศิษย์วัยเยาว์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาพาพวกจิ่งอวิ๋นสามคนไปยังยอดเขาปี้อวิ๋น
ยอดเขาปี้อวิ๋นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของยอดเขาซู่ซิน เป็นสถานที่ให้ลูกศิษย์ร่ำเรียนโดยเฉพาะ ที่แห่งนี้จะรองรับลูกศิษย์ใหม่ที่มีจำนวนแตกต่างกันไปทุกปี อายุตั้งแต่หกขวบขึ้นไป แต่ไม่ถึงสิบหกปี หลังจากร่ำเรียนได้ช่วงเวลาหนึ่ง คนที่มีฝีมือโดดเด่นและผ่านการทดสอบก็จะกลายเป็นศิษย์ในของสำนักซู่ซินจง ศิษย์ใหม่ทุกคนถือว่าการกลายเป็นศิษย์ในคือเกียรติยศ เพียงแต่การฝึกฝนและบททดสอบของสำนักซู่ซินจงเข้มงวดยิ่งนัก มิใช่ว่าทุกคนจะทนไปได้ถึงท้ายสุด
ลูกศิษย์ตัวน้อยแนะนำตนเองว่า “ข้ามีนามว่าฉางไห่ ปีนี้อายุสิบขวบ พวกเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ฉางไห่ก็ได้ ข้าเข้ามาก่อนพวกเจ้าสามเดือน” ทั้งสามคนเรียกศิษย์พี่ฉางไห่อย่างมีมารยาท
ฉางไห่ถามว่า “พวกเจ้ามาจากเมืองหลวงหรือ”
เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนพยักหน้า
วั่งซูถามว่า “ท่านมาจากที่ใดหรือ”
ฉางไห่ตอบว่า “ข้าเป็นคนเมืองหลีฮวานี่เอง จริงสิ พวกเจ้าเพิ่งมาที่นี่อาจไม่รู้สถานการณ์ดีนัก ศิษย์พี่ทั้งหลายล้วนเข้ามาร่ำเรียนนานกว่าพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเคารพพวกเขาให้ดี”
“หืม” วั่งซูเบิกตาโตอย่างไม่เข้าใจ
หลิวเกอร์งุนงงยิ่งกว่าวั่งซู
จิ่งอวิ๋นถามว่า “เคารพอย่างไร”
ฉางไห่ยิ้มๆ แล้วถูนิ้วมือ
จิ่งอวิ๋นมองเขาแล้วถามขึ้นว่า “เงินหรือ”
ฉางไห่ยิ้ม
จิ่งอวิ๋นตอบอย่างเย็นชา “ไม่ได้พกมา”
วั่งซูเปิดกระเป๋าใบน้อย แล้วคุ้ยสมบัติที่ซ่อนอยู่ด้านใน ไม่ใช่ทองก็เป็นลูกกวาด ไม่มีเงินนะ
ฉางไห่มองแวบเดียวก็เห็นแสงสีทองวิบวับในกระเป๋าของนาง เขาละโมบจนน้ำลายยืด เอ่ยว่า “ไม่มีเงิน ทองก็ได้!”
กล่าวจบก็เอื้อมมือจะคว้า แต่วั่งซูกำกระเป๋าน้อยของตนเองแน่น
จิ่งอวิ๋นสลับตำแหน่งมาขวางระหว่างฉางไห่กับน้องสาวอย่างหน้าตาเฉย
ฉางไห่แค่นเสียงดังเหอะ ไม่เคารพกันใช่หรือไม่ คอยดูเถอะ เด็กตัวกระจ้อยอย่างพวกเจ้าต้องเจอดี!
ทั้งสี่คนขึ้นมาบนยอดเขาปี้อวิ๋น ฉางไห่หยุดฝีเท้าหน้าประตูของสำนักศิษย์ใหม่ เขายิ้มบอกว่า “ตอนนี้ศิษย์พี่ทั้งหลายนอนกลางวันอยู่ พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปแจ้งสักหน่อย!”
เจ้าตัวน้อยทั้งสามรออยู่ที่ประตูอย่างเชื่อฟัง
ฉางไห่ก้าวผ่านประตูสำนัก เดินผ่านโถงทางเดินแล้วเข้ามาในโรงนอนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง เวลานี้เป็นเวลาพักกลางวันก็จริง แต่ไม่มีศิษย์สักคนงีบกลางวันอยู่ ทุกคนเห็นฉางไห่ก็กระโดดลงจากฟูกมากันหมด
“ฉางไห่ เป็นอย่างไร เจอหนอนหนังสือพวกนั้นแล้วหรือไม่”
“พวกเขาอัปลักษณ์หรือไม่”
“อ่อนแอมากเลยใช่หรือไม่”
ฉางไห่วาดมือลง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่อัปลักษณ์ แต่งเนื้อแต่งตัวงดงามยิ่งนัก มองทีแรกก็รู้ว่าเป็นคนมีเงิน! ของที่ใส่อยู่ในกระเป๋าข้างตัวมีแต่ทองคำ! ข้าให้พวกเขาแสดงความเคารพศิษย์พี่ทั้งหลาย พวกเขากลับไม่ทำ! พวกเรา…คงต้องแสดงอำนาจข่มพวกเขาสักหน่อย!”
ฉางไห่เป็นหนึ่งในคนที่หัวไวและเจ้าเล่ห์ที่สุดในหมู่ศิษย์รุ่นนี้ ประจบเอาใจศิษย์พี่เบื้องบน ข่มขู่รังแกศิษย์น้องเบื้องล่าง เขาเป็นมันสมองของเหล่าสหาย เขาบอกให้แสดงอำนาจข่มก็ไม่มีศิษย์สักคนคัดค้าน
“แต่จะทำอย่างไรเล่า ศิษย์พี่ฉางไห่” ศิษย์น้องอายุน้อยคนหนึ่งถาม
ฉางไห่กระดิกนิ้วเรียกทุกคน “พวกเจ้าขยับเข้ามา ฟังข้า…”
…
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ฉางไห่ก็เดินออกมาจากสำนัก เจ้าตัวน้อยทั้งสามรอจนเบื่อหน่ายจึงใช้กิ่งไม้วาดวงกลมบนพื้น ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็พาดทับบนวงกลม เจ้าตัวน้อยหันหน้ามาพร้อมกัน วั่งซูยิ้มแย้มเอ่ยเรียก “ศิษย์พี่ฉางไห่!”
ฉางไห่ตอบด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษด้วย ปล่อยให้พวกเจ้ารอเสียนาน พวกศิษย์พี่เพิ่งตื่นนอน ต้องสวมเสื้อผ้ากับแต่งเนื้อแต่งตัว พวกเจ้าอย่าได้ถือโทษ”
ศีรษะน้อยๆ ของวั่งซูชะโงกเข้าไปด้านในสำนัก “พวกเราเข้าไปได้แล้วหรือยัง”
ฉางไห่ยิ้มอย่างขัดเขิน “แน่นอนย่อมได้อยู่แล้ว! เชิญด้านใน!”