เล่ม-1 ตอนที่ 314-1 สามตัวจ้อยแสดงอำนาจข่ม ชนะขาดลอย

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 314-1 สามตัวจ้อยแสดงอำนาจข่ม ชนะขาดลอย

ความจริงฉางไห่ไม่ได้มีพื้นเพมาจากเมืองหลีฮวา เขาเพียงแต่ถูกเลือกให้เป็นศิษย์ใหม่ที่เมืองหลีฮวาเท่านั้น ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ใด ตัวเขาเองก็จดจำไม่ได้ รู้เพียงว่าตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตอย่างหวาดผวาท่ามกลางหมู่ขอทานที่ไม่มีงานมีการทำ หนึ่งปีก่อนเขาระเหเร่ร่อนมาถึงเมืองหลีฮวา ได้ทำงานจิปาถะที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทำงานนี้มาได้ครึ่งค่อนปี จนกระทั่งสามเดือนก่อนสำนักซู่ซินจงก็ลงจากเขามารับสมัครศิษย์ วันนั้นบังเอิญเป็นวันหยุด แต่เดิมเขาคิดจะไปหาหมั่นโถวกินสักสองลูก ผู้ใดจะคิดว่ากลับถูกเลือก

เขาสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นซอมซ่อ เนื้อตัวก็สกปรก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าโชคดีใหญ่หลวงเช่นนี้จะตกมาใส่หัวของตน เขาไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่เข้าใจหลักการของคนมีความรู้ แต่มีประโยคหนึ่งที่เขาเคยได้ยินมา ประโยคนั้นกล่าวไว้ว่าวีรบุรุษมิถามที่มา ดูท่าสำนักซู่ซินจงก็คงจะเลือกศิษย์เช่นนี้กระมัง

หลังจากเข้ามาในสำนักซู่ซินจง ชีวิตของเขาก็พลิกกลับตาลปัตร เถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่เคยใช้งานเขาเป็นวัวเป็นม้าเริ่มเคารพนบนอบต่อเขา แต่ละวันเขาไม่ต้องกังวลเรื่องกินดื่ม เพียงเอ่ยปากสั่งเท่านั้น ที่ใดมีคนที่นั่นมียุทธภพ อย่าเห็นว่าทุกคนอายุยังน้อยเชียว จะเข้ามาผูกสัมพันธ์ด้วยหาง่ายดายไม่

สิ่งที่สำนักซู่ซินจงกับสำนักศึกษาแตกต่างกันมากที่สุดก็คือที่นี่เน้นวรยุทธ์มิเน้นวิชาความรู้ ผลของการเน้นวรยุทธ์มิเน้นวิชาความรู้ก็คือทุกคนไม่ใช้เหตุผลในการแยกแยะผิดถูก แต่ใช้กำปั้นตัดสินแพ้ชนะ เขาได้ยินว่าจะต้องถูกคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์ในก่อนจึงจะได้เรียนตัวอักษร แต่ละวันมีอาจารย์สั่งสอนสี่ตำราห้าคัมภีร์ หลักความประพฤติคุณธรรมและกิริยามารยาท ทว่าก่อนหน้านั้นทุกคนล้วนเป็นอันธพาลน้อย

ไม่กี่เดือนที่เขามาอยู่ในสำนักซู่ซินจง เขาเรียนรู้ว่าศิษย์พี่ต้องประจบ ศิษย์น้องต้องขู่ให้หงอ ให้ของขวัญแสดงความนับถือศิษย์พี่ทั้งหลายบ้างเป็นบางครั้งจะทำให้ชีวิตของตนเองสบายขึ้น แต่เขาเป็นเด็กน้อยยากจน จะเอาเงินจากที่ใดมาให้ของขวัญเล่า ด้วยเหตุนี้ความคิดจะขูดรีดศิษย์ใหม่จึงผุดขึ้นมาในสมองของเขา

เจ้าตัวน้อยทั้งสามไม่ใช่กลุ่มแรกที่เขาขูดรีด ศิษย์พี่ทั้งหลายเมื่อเคยลิ้มรสหวานก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเขามากขึ้นอีก ศิษย์น้องทั้งหลายแม้เคยถูกขูดรีด แต่กลับเหมือนจะไม่คิดแค้นเขา ตรงกันข้ามกลับมองเขาด้วยสายตานับถือ แม้ความจริงเขาจะไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใดก็ตาม

ปกติศิษย์ใหม่จะเข้าใจธรรมเนียมอย่างยิ่ง เขาจึงไม่เคยพบอุปสรรคมาก่อน เจ้าตัวน้อยสามคนนี้ท่าทางจะอายุน้อยเกินไปจนยังไม่เข้าใจโลก คงต้องให้บทเรียนกกับพวกเขาดีๆ สักหน เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะได้ควักสิ่งของในกระเป๋าข้างเอวออกมาอย่างว่าง่าย

“ศิษย์พี่ฉางไห่ เหตุใดยังไม่ถึงอีกเล่า พวกเราเดินมาตั้งนานแล้วนะ!” วั่งซูผายมือ คิ้วน้อยขมวดมุ่นอย่างไร้เดียงสา มิใช่ว่านางเดินไม่ไหว แต่นางไม่อยากเดินแล้ว!

ฉางไห่ยิ้มน้อยๆ บอกว่า “สำนักซู่ซินจงใหญ่มาก สำนักศิษย์ใหม่ก็ใหญ่มากเช่นเดียวกัน”

จะแปลกอะไรเล่า จะจัดการพวกเจ้าย่อมปล่อยให้พวกอาจารย์รู้ไม่ได้ แน่นอนว่าต้องเลือกสถานที่ไกลและเปลี่ยวสักแห่งสิ

“สำนักศึกษาของพวกเจ้าชื่อว่าสำนักศึกษาอะไรนะ ใหญ่เหมือนกันหรือไม่” ฉางไห่ยิ้มถาม

วั่งซูวาดมืออธิบาย “สำนักศึกษาของพวกเราชื่อว่าสำนักศึกษาหนานซาน ใหญ่มากๆ เลย !”

สำหรับวั่งซูแล้ว สถานที่ใดใหญ่กว่ากระท่อมน้อยบนภูเขาก็ล้วนถือว่าใหญ่ทั้งสิ้น

ฉางไห่เห็นแม่นางน้อยคนนี้ใสซื่อน่ารักเช่นนี้ก็เกือบจะลงมือจัดการนางมิลงแล้ว แต่เมื่อคิดถึงหนทางเบื้องหน้าของตนเองก็รู้สึกว่าตนอย่าได้ใจอ่อนจะดีกว่า

จิ่งอวิ๋นเห็นว่าพวกเขาเดินออกมาไกลขึ้นทุกที คิ้วน้อยๆ ก็ขมวดมุ่น “ศิษย์พี่ฉางไห่ ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้พามาผิดทาง”

ฉางไห่เซวูบหนึ่ง เกือบจะหกล้ม เขาตั้งสมาธิตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่อยู่แล้ว!”

ฉางไห่พาเจ้าตัวน้อยทั้งสามเดินมาอีกพักหนึ่งก็มาถึงสถานที่ฝึกกระบี่ ที่แห่งนี้ทางใต้คือลานฝึกกระบี่ ทางตะวันออกเป็นห้องพักติดกันเป็นแถว ฝั่งตะวันตกเป็นป่า ส่วนทางเหนือว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด พวกเขาเดินมาจากทางทิศเหนือ

ศิษย์ทั้งหลายหลบอยู่ในห้องทำสัญญาณมือส่งให้ฉางไห่อย่างเงียบๆ ฉางไห่ทราบทันทีว่าพวกเขาเอาของมาได้แล้ว จึงรีบนำเจ้าตัวน้อยทั้งสามเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม ศิษย์ใหม่มาแล้ว”

ศิษย์พี่ทั้งสามคนอายุมากกว่าฉางไห่ไม่มาก แต่พวกเขาเข้ามาในสำนักศิษย์ใหม่เร็วกว่าฉางไห่หลายเดือน ทั้งสามคนมองเจ้าตัวน้อยน่ารักน่าชังทั้งสามคน เนื้อผ้าที่ใส่ราคาแพงจริงดังว่า ท่าทางก็ใสซื่อโง่เง่าน่าจะรังแกง่ายยิ่งนัก

ศิษย์พี่ทั้งสามคนเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา

ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวขึ้นว่า “ฉางไห่ ศิษย์น้องทั้งหลายเดินมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยแล้ว รีบไปรินชาให้ศิษย์น้องทั้งหลายเร็ว”

ฉางไห่เรียกเจ้าตัวน้อยทั้งสามมานั่ง “พวกเจ้านั่งก่อน”

เจ้าตัวน้อยนั่งลงตรงข้ามกับศิษย์พี่ทั้งหลาย

ศิษย์พี่ทั้งหลายยิ้มอย่างเป็นมิตร ยิ้มจนใบหน้าจะชาแล้ว

ฉางไห่รินชาไปก็หยิบผงยาสีชมพูห่อหนึ่งออกมาจากในตู้ จากนั้นโรยลงบนขนมกุหลาบสีเดียวกัน

ผงชนิดนี้เรียกว่าผงคัน ใช้ขนของหนอนบุ้งขนเขียวทำขึ้นมา ขอเพียงแตะถูกนิดเดียวก็จะคันคะเยอจนเจ้าสงสัยว่ามีชีวิตอยู่ไปทำไม ฉางไห่เคยแตะถูกหนอนบุ้งชนิดนี้อย่างไม่ทันระวังระหว่างขึ้นเขาไปฝึกวิชาตอนเช้า ก่อนที่อาจารย์จะมาถึง เขาไม่รู้เลยว่าตนเองทนผ่านมาได้อย่างไร น่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวเหลือเกินจริงๆ!

ฉางไห่วางชาเย็นกับขนมลงบนโต๊ะ

ศิษย์พี่ใหญ่ฉีกยิ้มแข็งทื่อแล้วบอกว่า “พวกเจ้าเดินมานานเพียงนี้ คงจะหิวแล้วสินะ ขนมสำนักซู่ซินจงของพวกเราล้วนเป็นของอร่อยที่สุดในใต้หล้า พวกเจ้ารีบลองชิมดู”

กล่าวจบก็ไม่มีผู้ใดขยับ

ศิษย์พี่ใหญ่หันไปมองศิษย์พี่สามพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่คล้ายกับรอยยิ้ม “ไม่รู้จักยกจานไปให้ศิษย์น้องหน่อยหรือไร”

ศิษย์พี่สามรีบยกขนมส่งไปหน้าเจ้าตัวน้อยทั้งสาม

ขนมส่งกลิ่นหอมหวาน ดูแล้วนุ่มนิ่ม เจ้าตัวน้อยทั้งสามน้ำลายยืด วั่งซูเอื้อมมือออกมา ขณะที่กำลังจะหยิบถูกชิ้นหนึ่ง หลิวเกอร์ก็ถูกกลิ่นหอมของดอกกุหลาบรมจนคันจมูก เขาอดกลั้นไม่ไหว “ฮัดเช้ย!”

เขาจามอย่างแรงจนขนบุ้งปลิว ศิษย์พี่สามถูกจามใส่เต็มหน้า เขาตกตะลึงเป็นอย่างแรก ต่อจากนั้นก็กรีดร้อง “อ้ากกก” แล้ววิ่งออกจากห้องไป

“ศิษย์พี่สามเขาเป็นอะไรหรือ” วั่งซูถามอย่างไม่เข้าใจ

จิ่งอวิ๋นจึงบอกว่า “ต้องเป็นเพราะหลิวเกอร์จามใส่หน้าศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สามจึงรังเกียจจนวิ่งหนีไปแน่ๆ”

“อ้อ” วั่งซูทำท่าเข้าใจ

มุมปากของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองกับฉางไห่กระตุก…

“พวกเจ้าสองคน…กินหน่อยหรือไม่” ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแต่ปากดวงตาไม่ยิ้ม

วั่งซูว่าอย่างรังเกียจ “มีแต่น้ำมูกของหลิวเกอร์ ไม่กิน!”

ศิษย์ทั้งสามเกือบจะร่ำไห้แล้ว

เพื่อซื้อผงคันถุงนี้ พวกเขาลงเงินไปถึงห้าตำลึง! ผลปรากฏว่าไม่ได้ผลลัพธ์อะไรสักอย่าง แล้วยังทำให้ศิษย์พี่สามล้มป่วยอีก ประเดี๋ยวกลับไปต้องจ่ายค่ารักษาอีกห้าตำลึง เงินที่รีดไถมาเดือนนี้ละลายหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว…

ปวดใจนัก ปวดใจนักจริงๆ!

ยังดีที่ฉางไห่ไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้เจ้าตัวน้อยทั้งสามเพียงชิ้นเดียว

“ศิษย์พี่ใหญ่ หนนี้พลาดไป แต่หนหน้าข้ารับประกันว่าพวกเขาจะไม่โชคดีเช่นนี้แน่” ฉางไห่เอ่ยเสียงเบา

ศิษย์พี่ใหญ่ปวดใจกับเงินสิบตำลึงนั่นก็จริง แต่ในเมื่อลงทุนไปแล้ว ไม่เอากลับมาสักหน่อยเขาคงนอนไม่หลับ

ศิษย์พี่ใหญ่เห็นด้วยกับความคิดของฉางไห่ ฉางไห่จึงเริ่มแผนการที่สอง

ฉางไห่ตบต้นขาหัวเราะ “พักกันพอประมาณแล้ว พวกเราไปฝึกวรยุทธ์กันเถิด!”

“ครูมาแล้วหรือ” จิ่งอวิ๋นถาม

ฉางไห่แววตาทอประกายวูบหนึ่ง แล้วตอบว่า “พวกเราที่นี่ไม่เรียกว่าครู เรียกว่าอาจารย์ ท่านอาจารย์ยังจัดการธุระอยู่ ปกติแล้วพวกเราจะฝึกกันเองก่อนครึ่งชั่วยาม ขยับร่างกายให้พร้อมรอท่านอาจารย์มา!”

เจ้าตัวน้อยทั้งสามตามฉางไห่กับศิษย์พี่ทั้งสองออกไปด้านนอก

“คนอื่นเล่า” จิ่งอวิ๋นถามอีก

เจ้าเด็กคนนี้ หลอกไม่ง่ายเลยนะ

ฉางไห่กระแอมเบาๆ แล้วหัวเราะบอกว่า “คนอื่นไม่อยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาไปฝึกที่อื่น พวกเจ้าเห็นรูปสลักหินบนลานฝึกประบี่หรือไม่ พวกเราต้องแบกรูปสลักหินขึ้นหลังแล้ววิ่ง ทุกคนแบกพวกมันวิ่งไปแล้ว เหลือแต่เจ้าพวกนี้”

ความจริงตั้งแต่แรกก็มีรูปสลักหินอยู่แค่ไม่กี่ตัวนี้เท่านั้น

หลิวเกอร์มองรูปสลักหินที่สูงเท่าตัวเองต่อกันสองคน แล้วเอ่ยอย่างหวาดกลัว “จะแบกเจ้านี่ไหวได้อย่างไรเล่า”

ฉางไห่ตบหน้าอกบอกว่า “ไม่ใช่ว่ายังมีข้ากับศิษย์พี่ทั้งสองอยู่หรือ พวกข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง! พวกเจ้าเพียงต้องแบกรูปสลักหินไว้ พวกข้าจะประคองอยู่ด้านข้าง ไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเหน็ดเหนื่อย! รอพวกเจ้าวิ่งเสร็จแล้ว พวกข้าค่อยไปวิ่งบ้าง!”

ให้มันรู้ไปสิว่าจะทับเจ้าไม่ตาย!

วั่งซูเอ่ยเสียงหวาน “ศิษย์พี่ฉางไห่ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง พวกท่านช่างใจดีจริง!”

ที่สำนักศึกษาไม่มีผู้ใดดีกับนางเช่นนี้เลย (ยกเว้นท่านพี่นะ) หากที่สำนักศึกษามีคนช่วยแบ่งเบาการบ้านของนางบ้าง นางคงดีใจยิ่งนัก!

ศิษย์พี่ทั้งหลายดีต่อนางเช่นนี้ นางก็จะดีต่อศิษย์พี่ทั้งหลายเช่นกัน

ศิษย์พี่รองกับฉางไห่เริ่มร่วมแรงกันอุ้มรูปสลักหิน รูปสลักหินชิ้นนี้แต่เดิมพวกเขาเอาไว้ใช้ฝึกกระบี่ มันหนักราวกับภูเขา ทั้งสองคนฝึกวรยุทธ์มาสามเดือนแล้ว พอมีกำลังภายในอยู่บ้าง จึงยกของที่เมื่อก่อนยกไม่ไหวได้เล็กน้อย แต่รูปสลักหินหนักเกินไปแล้วจริงๆ!

ฉางไห่กัดฟันกรอด “ข้าจะนับหนึ่ง สอง สาม พวกเราค่อยออกแรงพร้อมกัน! หนึ่ง สอง สาม!”

รูปสลักหินลอยขึ้นมาจริงๆ!

ฉางไห่ ศิษย์พี่รองแรงเยอะจริง! ยอดเยี่ยมมาก!

ศิษย์พี่รอง ฉางไห่แรงเยอะจริง! สุดยอดมาก!

วั่งซูยิ้มจนตาหยีบอกว่า “ข้าเอง”

ฉางไห่กับศิษย์พี่รองตกตะลึง พวกเขาลืมตาขึ้นพร้อมกันแล้วก็เห็นว่าในมือของอีกฝ่ายไม่ได้ยกรูปสลักหินอยู่แต่อย่างใด พวกเขาหันไปมองแม่นางน้อยหน้าตางดงามผู้นี้ เห็นนางยกรูปสลักหินขึ้นเหนือศีรษะได้อย่างสบายๆ ทั้งสองคนรู้สึกประหนึ่งถูกอสนีบาตฟาดใส่กระหม่อม…

วั่งซูบอกว่า “ไม่ต้องให้พวกศิษย์พี่ออกแรงแล้ว พวกเราทำเองได้ พวกศิษย์พี่ไปวิ่งของตัวเองเถิด!”

ฉางไห่ “ข้า ข้า ข้า…”

ขอปฏิเสธ…

ฉางไห่ยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก วั่งซูก็วางหินลงบนหลังของเขา

ฉางไห่ถูกหินทับทรุดหมอบในทันใด

ก่อนที่เขาจะถูกทับจนหมอบติดพื้น วั่งซูก็ขยับไปอุ้มรูปสลักหินตัวอื่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นภาพอันแปลกพิลึกก็ปรากฏขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองวิ่งรอบลานฝึกประบี่อย่างบ้าคลั่ง วั่งซูยกรูปสลักหินตัวหนึ่งวิ่งตึงตึงไล่ตามอยู่หลังพวกเขาทั้งสองคน

“พวกเราไม่ต้องการให้เจ้าช่วย!”

ประโยคนี้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นผู้ร่ำไห้ร้องตะโกนออกมา

“พวกเราทำเองได้! ไม่ลำบากศิษย์น้องเล็ก!”

คำนี้เป็นคำสารภาพจากก้นบึ้งหัวใจของศิษย์พี่รอง

วั่งซูรู้สึกว่าศิษย์พี่ทั้งสองช่างดียิ่งนักจริงๆ พวกเขาไม่อยากรบกวนนาง ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ นางยิ่งต้องช่วยเหลือพวกเขา

ในที่สุดวั่งซูก็ไล่ตามศิษย์พี่ทั้งสองทัน จากนั้นวางรูปสลักหินบนแผ่นหลังของท่านสองอย่างมั่นคง

ข้าช่างเป็นแม่นางน้อยผู้เอื้ออารีอย่างแท้จริง!

วั่งซูคิดอย่างภาคภูมิใจ

ฉางไห่ที่ถูกทับจนตาเหลือกลอย เวรเอ๊ย นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน…

จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเดินเตร็ดเตร่ค้นหาเบาะแสในสำนักซู่ซินจง เจ้าตัวน้อยทั้งสามไปร่ำเรียนที่สำนักศิษย์ใหม่ ใต้เท้าเจ้าสำนักนอนอยู่ในห้องตามลำพัง น่าเบื่อยิ่งนัก ตอนที่เขากินผลไม้ลูกที่เจ็ดแปดสิบ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ปัดมือแล้วเดินออกมาจากห้อง

ปี้เอ๋อร์กำลังตากผ้าอยู่ในลานบ้าน เห็นเขาออกมาจึงรีบถามว่า “คุณชายรอง ท่านจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไปที่ใด”

“เอ๋” ปี้เอ๋อร์งุนงง

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินจากไปอย่างเกียจคร้าน

ปี้เอ๋อร์ไล่ตามมา “พอฮูหยินกับท่านเขยกลับมา ข้าต้องบอกพวกเขาว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างหมดคำจะพูด “ต้องบอกอะไร สถานที่อย่างสำนักซู่ซินจง เจ้าคิดว่าข้ายังจะหนีได้อีกหรือ”

ปี้เอ๋อร์คิดถึงค่ายกลศิลาที่ตีนเขา แล้วก็คิดว่าคุณชายรองผู้เจ้าเล่ห์แสนกลคนนี้ ต่อให้ตายก็คงจะหนีออกไปไม่ได้จริงๆ ปี้เอ๋อร์จึงยิ้มอย่างขัดเขิน “เชิญท่าน”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาแล้วเดินออกไป

สำนักซู่ซินจงสร้างขึ้นตามแนวภูเขา เทือกเขาซู่ซินทั้งหมดล้วนเป็นอาณาเขตของสำนัก ตัวสำนักครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่เพียงใด ลองจินตนาการดูก็รู้ ทิศเหนือของสำนักติดกับต้าเหลียง ทิศใต้ติดกับหนานฉู่ ภูมิประเทศเอื้อประโยชน์และพิเศษอย่างยิ่ง ทรัพยากรก็อุดมสมบูรณ์ ยามยืนอยู่บนยอดเขาสามารถมองเห็นชาวบ้านและลูกศิษย์ที่กำลังทำงานอยู่บนไหล่เขา บอกว่าเป็นสำนักแห่งหนึ่ง มิสู้บอกว่าเป็นชนเผ่าสักแห่งดูจะเข้าเค้ากว่า

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงสวนดอกไม้ ช่วงเวลานี้ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ล้วนไปเข้าเรียน ภายในสวนจึงมีคนน้อยนิด ใต้เท้าเจ้าสำนักชื่นชอบความเงียบสงบ ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็พบคนผู้หนึ่ง