ตอนที่ 311-2 ชาติกำเนิด ราชโองการเดินทางลงใต้ (1)
ฮ่องเต้ไม่ตอบคำถามเฉียวเวยทันที แต่ชี้ไปที่กาสุราที่เหลือสุราเย็นชืดเพียงครึ่งเดียว “เจ้าทราบหรือไม่ว่านี่คือสุราอะไร”
“ข้าจะสนทำไมว่ามันเป็นสุราอะไร” เฉียวเวยตอบอย่างเย็นชา
ฮ่องเต้อธิบายอย่างอดทน “มันคือสุราลายบุปผา แต่ไม่ใช่สุราลายบุปผาธรรมดา ในสุรานี้มีส่วนผสมของสมุนไพรที่ชื่อว่าหยกเถาวัลย์ม่วงอยู่ ใบของหยกเถาวัลย์ม่วงมีพิษรุนแรง แต่รากของมันเป็นยาแก้พิษ ทว่ารากของแต่ละต้นแก้ได้เฉพาะพิษจากใบของต้นนั้นเท่านั้น”
กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็หยุดพูด แล้วล้วงขวดกระเบื้องน้อยขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนโต๊ะ “นี่คือยาแก้พิษของข้า ข้ามอบยาแก้พิษให้พวกเจ้า เมื่อพวกเจ้ากลับมาก็นำมาแลกกับข้า หากพวกเจ้าพลาดพลั้งจบชีวิตระหว่างการต่อสู้กับเผ่าเยี่ยหลัว ข้าก็จะลงสุสานเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว นางทราบว่าฮ่องเต้ไม่ได้โป้ปด สิ่งที่บรรจุอยู่ในภายในขวดใบนี้คือยาแก้พิษส่วนของเขาจริงๆ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้เกิดมาในราชวงศ์ ย่อมไม่เข้าใจความคิดของผู้ปกครองเหล่านี้ ในความคิดของนาง ฮ่องเต้ทำเช่นนี้เท่ากับมอบชีวิตของตนให้กับหมิงซิวแล้ว หมิงซิวต่อกรกับเผ่าเยี่ยหลัวย่อมอันตราย หากตายไประหว่างทางจริง ฮ่องเต้ก็จะต้องลงสุสานไปกับหมิงซิวจริงๆ อย่างแน่นอน ในเมื่อแม้แต่ชีวิตของเขาเอง เขายังยอมสละได้ เหตุไฉนจึงไม่สามารถเชื่อใจหมิงซิวมากขึ้นสักนิด อย่างมากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็คือหมิงซิวกำจัดเผ่าเยี่ยหลัวไม่สำเร็จ นั่นคงไม่แย่กว่าตัวเขาเดินทางไปพบพระพุทธองค์สักเท่าใด
แผ่นดินไม่อยู่แล้ว ก็ยังมีชีวิตไม่ใช่หรือ
หรือจะบอกว่าเพื่อแผ่นดินแล้ว บุรุษผู้นี้สละได้แม้แต่ชีวิต
ฮ่องเต้จ้องจีหมิงซิวนิ่งๆ “นี่เป็นความจริงใจที่สุดของข้า”
จีหมิงซิวยื่นมือออกมาหยิบขวดยามาไว้ในมือ
ฮ่องเต้ตรัสว่า “หลังจากเข้าวสันต์ทางใต้ก็มีฝนตกหนักติดต่อกัน เขื่อนหลายแห่งถูกน้ำซัดทลาย รอเข้าหน้าน้ำปีนี้คงจะยากต้านทาน ข้าขอออกคำสั่งให้เจ้าเป็นขุนนางใหญ่ผู้แทนพระองค์ เดินทางไปชิวโจวเพื่อซ่อมบำรุงเขื่อนกั้นน้ำ รอพ้นหน้าน้ำหลากแล้วค่อยหวนคืนเมืองหลวง จำไว้ ข้ากับเจ้ามีเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น อีกอย่างแต่งตั้งให้เฉียวซื่อเป็นท่านหญิงตราตั้งขั้นสอง เดินทางติดตามไปชิวโจวด้วย”
ลูกตาของเฉียวเวยกลอกวูบหนึ่ง “เหตุใดข้าต้องไปชิวโจวด้วย”
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ชิวโจวตั้งอยู่ตีนเขาของสำนักซู่ซินจง”
เฉียวเวยวางหน้าเคร่งขรึมถามขึ้นว่า “เบี้ยหวัดเดือนละเท่าใด”
ฮ่องเต้ตรัสตอบ “สามสิบตำลึง”
เฉียวเวยพองขน “อะไรนะ ท่านหญิงตราตั้งขั้นสองคนหนึ่งได้เบี้ยหวัดเพียงเดือนละสามสิบตำลึง นี่จะโกงกันเกินไปแล้ว!”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเคร่ง “มหาบัณฑิตในหมู่เสนาบดียังได้เบี้ยหวัดเพียงยี่สิบห้าตำลึงต่อเดือน เจ้าเป็นท่านหญิงตราตั้งที่ไม่ต้องทำงานทำการอะไรคนหนึ่ง ได้เบี้ยหวัดต่อเดือนมากกว่ามหาบัณฑิต ก็นับว่าเป็นน้ำพระกรุณาอันท่วมท้นแล้ว อีกอย่างเงินก้อนนี้ไม่ใช่เงินจากท้องพระคลังของแผ่นดิน เป็นเงินส่วนตัวของข้าเอง!”
เฉียวเวยเบ้ปากแค่นเสียงดังเหอะ “ในเมื่อไม่ใช่เงินจากท้องพระคลัง ถ้าเช่นนั้นย่อมไม่กระทบต่อแผ่นดินและประชาชน เหตุใดท่านจึงไม่เพิ่มให้อีกสักหน่อย เงินส่วนพระองค์ของท่านน้อยนักหรือ”
ฮ่องเต้สะอึกทันใด
สุดท้ายเบี้ยหวัดต่อเดือนก็ถูกต่อรองจนไปจบที่หนึ่งร้อยตำลึง
ฮ่องเต้ใจดำพระองค์นี้ ไม่จัดการเชือดเหี้ยมๆ สักหนก็ไม่รู้จักเหตุผล!
…
สองสามีภรรยาออกจากวังหลวง จากนั้นนั่งรถม้ากลับมาถึงจวน เจ้าตัวน้อยทั้งสามนั่งอยู่บนพื้นรถอย่างว่าง่าย
เฉียวเวยจับชีพจรของจีหมิงซิว “ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวกุมมือนาง “ท่านหมอเฉียวเห็นว่าอย่างไรเล่า”
เฉียวเวยสะบัดมือเขาทิ้ง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แล้วจับมือนางขึ้นมา “ข้าไม่เป็นอะไร เจ้าต่างหาก บุกเข้าไปในวังหลวงอย่างไม่สนสิ่งใดเช่นนี้ ไม่กลัวผู้อื่นมองว่าเป็นมือสังหารหรือไร”
เฉียวเวยไม่ใส่ใจนัก ตอบว่า “มีสิ่งใดน่ากลัว ก็แค่องครักษ์ของวังหลวงไม่กี่คน จะทำอันใดข้าได้ แต่ถ้าพวกเขาส่งทหารราชองครักษ์ กองทหารรักษาพระองค์อะไรมา ข้าก็คงสู้ไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร จับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน หากเรื่องดำเนินไปถึงจุดนั้นจริง ข้าก็จะถือดาบพาดคอรัชทายาท บังคับให้ฮ่องเต้ปล่อยพวกเราทั้งหมดออกไป!”
“ปล่อยไปแล้วอย่างไร” จีหมิงซิวถามยิ้มๆ
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ปล่อยไปเสร็จก็ขนทั้งตระกูลย้ายไปชนเผ่าลึกลับสิ! แต่เดิมตระกูลจีก็เป็นคนของชนเผ่าลึกลับอยู่แล้ว ก็ถือเสียว่านำเกียรติยศหวนคืนสู่บ้านเกิด!”
คนที่พูดให้การหลบหนีลี้ภัยกลายเป็นเรื่องมีเกียรติเชิดหน้าชูตาเช่นนี้ได้คงจะมีแต่นางผู้เดียว
จีหมิงซิวข่มกลั้นมุมปากไม่ให้ยกโค้งขึ้นมาไม่ไหว
“ท่านยิ้มอะไร” เฉียวเวยมองเขาอย่างฉงน
จีหมิงซิวคลึงนิ้วมือของนาง “ข้ายิ้มเพราะเจ้าทำให้คนตกหลุมรักเก่งยิ่งนัก”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว” วันนี้ตนโกรธเกรี้ยวเพื่อคนงาม เขาคงซาบซึ้งแทบแย่แล้วล่ะสิ
ทันใดนั้นจีหมิงซิวก็เอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าเวลาใดเจ้าน่ารักที่สุด”
แน่นอนต้องรู้อยู่แล้ว ก็ตอนที่ทำเพื่อท่านโดยไม่คิดถึงตัวเองใช่หรือไม่เล่า! ในหัวใจคิดเช่นนี้ แต่ปากกลับแสร้งไม่เข้าใจ “เวลาใดหรือ”
จีหมิงซิวเขยิบเข้าไปชิดริมหูนางแล้วตอบเสียงหยอกเย้า “ตอนอยู่บนเตียง”
เฉียวเวยหน้าดำทะมึน
…
การเดินทางลงใต้จึงถูกกำหนดเช่นนี้ ตอนแรกยังกังวลอยู่ว่าหลังจากจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปสำนักซู่ซินจงจะต้องแยกจากหมิงซิว คราวนี้ดีแล้ว ทั้งครอบครัวได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่ารังของเผ่าเยี่ยหลัวอยู่ที่ใด แต่สำนักซู่ซินจงจะต้องมีเบาะแสอย่างแน่นอน
ในมือพวกเขายังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งที่องค์หญิงเจาหมิงประสบมากเท่าใดนัก แต่เมื่อรวมกับเบาะแสที่มีตอนนี้ ก็พอเดาออกได้ไม่ยากว่าสมัยนั้นองค์หญิงเจาหมิงแต่งเข้าตระกูลจีมาพร้อมกับภารกิจ แต่สิ่งที่ชาวเยี่ยหลัวคิดไม่ถึงก็คือ สุดท้ายองค์หญิงเจาหมิงกลับตัดใจลงมือกับตระกูลจีไม่ลง
สาเหตุที่นางตัดใจไม่ลงจะเป็นเพราะจีซั่งชิงหรือลูกทั้งสองคนก็สุดจะรู้
สรุปก็คือนางทรยศเยี่ยหลัว
หลังจากเยี่ยหลัวเสียตัวหมากอย่างนางไปก็ส่งฉินปิงอวี่เข้ามาในเมืองหลวงทันที ฉินปิงอวี่อาศัยฐานะสหายร่วมรียนของนายท่านสามกับนายท่านรองเข้ามาใกล้ชิดตระกูลจี คนเยี่ยหลัวน่าจะต้องการกำจัดองค์หญิง แต่องค์หญิงกำจุดอ่อนของฉินปิงอวี่อยู่ นางเก็บเงียบเรื่องตัวตนของฉินปิงอวี่เพื่อแลกกับการปล่อยให้ตนเองกับลูกทั้งสองมีชีวิตอยู่ต่อ
นางเคยเสี่ยงชีวิตเตือนจีซวงว่าฉินปิงอวี่มิใช่คู่ครองที่ดีของจีซวง
จีซวงไม่เชื่อ นางดึงดันแต่งฉินปิงอวี่เข้ามาในตระกูลจี ยามนั้นจีซวงคิดอย่างลำพองว่าฉินปิงอวี่รักนางจนถึงขนาดยอมแต่งเข้า แต่กลับมิทราบว่าตั้งแต่แรกเริ่มจุดประสงค์ของฉินปิงอวี่ก็คือการหาเหตุผลอันสง่าผ่าเผยมาอยู่ในตระกูลจี
องค์หญิงเลี้ยงดูลูกน้อยทั้งสองจนเติบใหญ่ภายใต้เงามืดของเยี่ยหลัวได้อย่างไร คนทั่วไปคงมิอาจจินตนาการออก แต่มารดาผู้เข้มแข็งและทรหดเช่นนี้เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กน้อยที่ยอดเยี่ยมเช่นหมิงซิวออกมา
แม้หมิงซิวไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของมารดา แต่เขาก็สัมผัสความผิดปกติได้ไม่มากก็น้อย เขาจึงรู้ความกว่าเด็กคนอื่นมาตั้งแต่เยาว์วัย
เขาไม่ทรยศความตั้งใจขององค์หญิง เขาทำได้ดีอย่างยิ่งมาเสมอ
…
เมื่อทราบว่าครอบครัวของหมิงซิวต้องเดินทางลงใต้ ทั้งจวนก็ยุ่งวุ่นวาย รถม้าที่จะใช้เดินทาง บ่าวรับใช้ เงินทองข้าวของทั้งหมดต้องตระเตรียมอย่างรอบคอบ ช่างหายากยิ่งที่เฉียวเวยแต่งเข้าตระกูลจีแล้วไม่เคยต้องเข้าไปยุ่งกับศึกแย่งชิงอำนาจภายในบ้าน ไม่ว่าหลี่ซื่อก็ดี จีซวงก็ดี สิ่งใดสมควรเป็นของตน สิ่งใดมิใช่ของตน พวกนางล้วนเข้าใจชัดเจนอย่างยิ่ง
จีซวงยังรักษาตัวอยู่ในเรือน ข้าวของสำหรับการออกเดินทางล้วนเป็นหลี่ซื่อที่จัดแจงให้ นางเลือกสาวใช้ หญิงรับใช้กับเด็กรับใช้ที่ฉลาดเฉลียวมาหลายคนให้เดินทางไปชิวโจวด้วยกัน คนมากกว่าครึ่งไว้รับใช้ครอบครัวของเฉียวเวย ส่วนสาวใช้หน้าตาเกลี้ยงเกลา จิตใจใสซื่อสองคนมอบให้บุตรชายของตน
ได้ยินว่าเจ้าตัวน้อยทั้งหลายจะออกเดินทางอีกแล้ว จีเหล่าฮูหยินอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก ภายในจวนเพิ่งจะครึกครื้นได้กี่วัน ก็จะไปกันอีกแล้วหรือ
“หมิงเยี่ยไปด้วยหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินถามหน้าเศร้า
เฉียวเวยยิ้มตอบ “ไปด้วยเจ้าค่ะ”
เจ้าหมอนั่นก่อเรื่องเก่งเกินไป คิดจะหนีอยู่ได้ตลอดเวลา ไม่เอาเขามาไว้ในสายตา รอหนหน้ากลับเมืองหลวงมา น่ากลัวว่าเขาคงจะหนีไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้
“หลิวเกอร์ไปด้วยหรือไม่” จีเหล่าฮูหยินถามอย่างอ่อนระโหยโรยแรง
หลิวเกอร์ที่นั่งกินข้าวอยู่บนเก้าอี้อย่างเบื่อหน่ายหูตั้งขึ้นมาทันใด!
เฉียวเวยครุ่นคิด แล้วตอบว่า “หลิวเกอร์อย่าไปเลยจะดีกว่า แม้แต่ตะเกียบเขายังใช้ไม่ค่อยจะเป็น ไปที่โน่น ไม่มีคนดูแลเขามากมายเท่านี้ เขาจะทำอย่างไรเล่า”
หลิวกอร์วางช้อนลงอย่างฉับไวแล้วหยิบตะเกียบมาคีบเผือกชิ้นหนึ่ง!
นี่เผือกอันมันแผล็บเชียวนะ!
เฉียวเวยพูดต่อว่า “เขากินข้าวก็ไม่ค่อยจะยอมกิน”
หลิวเกอร์พุ้ยข้าวกินคำโตๆ!
เฉียวเวยบอกอีกว่า “ร่างกายกับกระดูกก็อ่อนแอ เดินไม่กี่ก้าวก็หอบแฮ่ก”
หลิวเกอร์กระโดดลงมาบนพื้นเบ่งกล้ามแขนอวดหนึ่งหน แล้วลุกนั่งหนึ่งร้อยที!