ตอนที่ 312-1 ชาติกำเนิด ราชโองการเดินทางลงใต้ (2)
คนทั้งห้องถูกหลิวเกอร์ทำให้ตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง คางของจีเหล่าฮูหยินเกือบจะร่วงลงมา
ภายในบ้านชิงเหลียน จีหมิงซิวกำลังบอกเรื่องเดินทางลงใต้กับน้องชาย ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง เขากอดอกแค่นเสียงอย่างไม่พอใจแล้วกลอกตาใส่ “พวกเจ้าจะไปก็ไปกันเองสิ ไม่ต้องลากข้าไปด้วย! ข้าไม่ไป!”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไป” จีหมิงซิวถาม
“แล้วเหตุใดข้าต้องไป” ใต้เท้าเจ้าสำนักย้อนถามกลับ
จีหมิงซิวจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา “ทิ้งเจ้าไว้ที่เมืองหลวงคนเดียว ข้าไม่วางใจ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหัวเราะเยาะ “เหอะ พูดเหมือนข้าถูกเจ้าเลี้ยงมาจนโตเสียอย่างนั้น ก่อนนี้ตอนไม่มีเจ้า ข้าก็อยู่มาได้ไม่ใช่หรือไร”
“เจ้าอยู่มาได้ แต่อยู่มาลำบาก” จีหมิงซิวพูดจากใจจริง
ใต้เท้าเจ้าสำนักบื้อใบ้ทันควัน
หากกล่าวถึงการโต้คารม ขุนนางทั้งราชสำนักรวมเข้าด้วยกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะจีหมิงซิวได้ ใต้เท้าเจ้าสำนักผู้ไร้คารมคมคายอย่าเพ้อฝันเลยว่าจะเถียงชนะพี่ชายของตน แต่จะให้เขายอมทำตาม เขาก็ไม่ยินดี “สรุป…สรุปว่าข้าไม่ไป!”
“เจ้าไม่ไปจริงหรือ”
เสียงของเฉียวเวยดังเอื่อยเฉื่อยตรงประตู
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหล่มองเฉียวเวยอย่างเฉยเมย คร้านจะเอ่ยตอบ เฉียวเวยเข้ามาในห้อง ตบหัวไหล่สามีของตนเองแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “สัมภาระทั้งหลายข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ห้องหนังสือของท่านข้ายังไม่ได้แตะ ท่านไปดูเองว่าของชิ้นไหนต้องขนไปด้วยบ้าง”
จีหมิงซิวมองน้องชายของตัวเองแล้วตอบว่า “ได้” ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
เฉียวเวยทิ้งก้นนั่งบนเก้าอี้ มองใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างนิ่งๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักถูกมองจนขนหัวลุก เขาถลึงตาใส่เฉียวเวยแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ามองอะไร”
เฉียวเวยเลิกคิ้วคลี่ยิ้ม “คนงามตัวน้อยหายหน้าไปตั้งหลายวันแล้ว ใช่หรือไม่”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดอย่างเย็นชาจบ แววตาก็วูบไหว “คนงามตัวน้อยทำไม”
เฉียวเวยเอ่ยขัดเขา “เอาล่ะๆ ข้าไม่ใช่พี่ใหญ่ของเจ้าเสียหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้าหรอก มิสู้ข้าพูดความจริงกับเจ้าก็แล้วกัน ข่าวที่ข้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าจะเดินทางไปสำนักซู่ซินจงแพร่ออกไปแล้ว ศิษย์พี่ห้าคนนั้นก็ดี คนงามตัวน้อยคนนั้นของเจ้าก็ดี เกรงว่าคงจะย้ายฐานไปปักหลักที่สำนักซู่ซินจงกันหมด หากเจ้าอยากพบคนงามตัวน้อยของเจ้าล่ะก็…”
“ผู้ใดอยากพบนาง” ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตา “เยียนเอ๋อร์!”
เยียนเอ๋อร์สาวเท้าเข้ามาอย่างว่องไว คำนับหนหนึ่งแล้วบอกว่า “คุณชายรอง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสั่งเรียบๆ “เก็บของ”
เยียนเอ๋อร์ตอบอย่างดีใจ “เจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวกำลังจะไปจากตระกูลจี ศิษย์น้องเล็กจึงไม่สะดวกอาศัยอยู่ต่อ เพราะหากสำนักซู่ซินจงหรือจวนไท่ซือบุกมาขอตัวคน ตระกูลจีย่อมไม่มีเหตุผลที่จะยึดตัวนางไว้แล้ว นางจึงเก็บข้าวของเพื่อเดินทางลงใต้พร้อมกับคณะของเฉียวเวย
วันนี้เป็นวันที่สิบเดือนสี่ ทุกสิ่งตระเตรียมพร้อมสรรพแล้ว ทุกคนมาอำลาคนตระกูลจีที่หน้าประตู
จีซั่งชิงไม่พูดอันใด เพียงกำชับให้จีหมิงซิวดูแลน้องชายให้ดี
จีเหล่าฮูหยินคิดว่าสองสามีภรรยาไปซ่อมแซมเขื่อนที่ชิวโจวจริงๆ จึงจับมือเฉียวเวยกำชับกำชาจากหัวใจว่า “ชิวโจวอากาศชื้นมาก จำไว้ต้องดื่มชาขิงให้มาก น้องรองของเจ้า…ตอนนี้สมควรเรียกว่าน้องสาม น้องสามของเจ้าก็อยู่ทางโน้นเหมือนกัน เจ้าไปเยี่ยมน้องสามของเจ้าแทนอารองกับอาสะใภ้รองของเจ้าสักหน่อย…อาสามของเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างที่สุด คบหาด้วยง่ายนัก เจ้าไม่ต้องกังวลใจ…ที่โน่นก็เป็นจวนตระกูลจี เจ้ากับหมิงซิวเป็นทายาทเจ้าตระกูลสายตรงตัวจริงเสียงจริง อย่าปล่อยให้ผู้อื่นหยามหมิ่นเอาได้ เข้าใจหรือไม่”
เฉียวเวยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านย่า”
จีเหล่าฮูหยินลูบศีรษะของหลิวเกอร์อีกหน เจ้าตัวน้อยคนนี้ตั้งแต่เกิดมาก็มิเคยออกเดินทางไปไกลบ้าน สถานที่ไกลที่สุดที่เคยไปก็คือหมู่บ้านน้อยของเฉียวเวย ทุกวันคนในบ้านทะนุถนอมเขาราวกับอมไว้ในปากกลัวจะละลาย ประคองไว้ในมือกลัวจะหล่นพื้น เลี้ยงดูจนมีนิสัยเสียเต็มไปหมด หนนี้เดินทางไปชิวโจว ไม่รู้ว่าจะพบความยากลำบากสักเท่าใด “เจ้าอยู่ที่บ้านดีหรือไม่ ย่าจะซื้อนกให้เจ้าหลายๆ ตัว ซื้อสุนัขให้เจ้าหลายๆ ตัวไว้เล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
หลิวเกอร์ไม่เอา
หลี่ซื่อกับจีหว่านอวี๋และน้องสาวก็มาส่งเฉียวเวยด้วย งานแต่งงานของสองพี่น้องใกล้จะมาถึงแล้ว ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่อย่างนางจะเร่งเดินทางกลับมาทันงานแต่งของทั้งสองหรือไม่
หลังจากร่ำลากันสักพัก คนทั้งครอบครัวก็ออกเดินทางอย่างเบิกบานใจ
เฉียวเวยได้ทราบจากปากจีหมิงซิวว่าเมืองชิวโจวไม่ได้ตั้งอยู่ที่ตีนเขาสำนักซู่ซินจงจริงๆ ระหว่างสถานที่ทั้งสองยังมีเมืองน้อยตรงชายขอบอยู่แห่งหนึ่ง พอผ่านเมืองน้อยไปจึงจะเข้าสู่เทือกเขาซู่ซิน ปีนขึ้นไปถึงยอดเขาซู่ซินจึงจะนับว่าไปถึงสำนักซู่ซินจง
แต่เมืองน้อยขนาดไม่ใหญ่นัก นั่งรถม้าแล่นผ่านใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ที่ดินศักดินาของตระกูลจีครอบคลุมเมืองชิวโจวครึ่งหนึ่ง มีถนนหลู่หนานเป็นเส้นแบ่งเขตแดน ฝั่งเหนือของถนนหลู่หนานเป็นที่ดินศักดินาของตระกูลจี ทางใต้ของถนนหลู่หนานเป็นดินแดนที่อยู่ในการปกครองของทางการ
การเดินทางไปแถบชิวโจวหลู่หนาน หากหวดแส้เร่งม้าเดินทางใช้เวลาครึ่งเดือนก็ถึง แต่ครอบครัวมีทั้งภรรยาและลูกน้อยจึงไม่สะดวกเดินทางสมบุกสมบันเกินไปนัก พวกเขาจึงผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย อีกทั้งตอนใกล้จะถึงชิวโจว หลิวเกอร์เกิดล้มป่วยจึงล่าช้าไปหลายวัน เมื่อไปถึงชิวโจวจริงๆ ก็ต้นเดือนห้าแล้ว
ชิวโจวในเดือนห้ามีกลิ่นอายของคิมหันต์อยู่จางๆ สายฝนฟ้าร้องมีมาไม่ขาด แต่พวกเขาโชคดี หลายวันที่เดินทางในรถม้าล้วนแต่แดดจ้าลมสงบ จวบจนกระทั่งเดินทางมาถึงจวนตระกูลจีถึงมีฝนห่าใหญ่เทลงมา
ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางตระกูลจีก็ส่งจดหมายมาแจ้งเรือนสามแล้วว่าจีหมิงซิวกับเฉียวเวยจะพาเด็กๆ มา นายท่านสามนับวันดู รู้สึกว่าสมควรจะมาถึงแล้ว แล้วก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้เข้ามาแจ้งจริงๆ “นายท่าน! นายท่าน! พวกคุณชายใหญ่มาแล้วขอรับ!”
“มาแล้วหรือ รีบเรียกฮูหยินมาเร็ว!” นายท่านสามดวงตาเป็นประกาย เขาม้วนแขนเสื้อกว้าง สาวเท้าก้าวออกไปต้อนรับ
ฮูหยินสามอวี๋ซื่อพาลูกสาวของตนเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูใหญ่ด้วยกันกับนายท่านสาม
สมัยจีหมิงซิวมาฝึกวิชายุทธ์ที่สำนักซู่ซินจงก็มักจะมาพักที่จวนหลังเก่าบ่อยๆ หลังจากเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักก็อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงอย่างยาวนาน ปีกลายตอนพวกเขากลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง ใจอยากจะพบหน้าครอบครัวของหมิงซิว แต่จนปัญญาที่พวกเขาทั้งครอบครัวออกเดินทางไกลอยู่
พวกเขามองปราดแรกก็เห็นจีหมิงซิว จีหมิงซิวเปลี่ยนไปไม่มาก เขายังคงท่าทางสง่างามประหนึ่งหยกเฉกเช่นเดิม ข้างกายเขามีแม่นางผู้หนึ่งยืนอยู่ ที่เรียกว่าแม่นางเป็นเพราะใบหน้าดวงนั้น ดูแล้วเหมือนคนอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น ดวงหน้างามพริ้มเพรา ผิวนวลผุดผ่อง หน้าผากมนคล้ายหัวจักจั่น คิ้วโก่งเรียวยาว เป็นคนงามล่มเมืองอย่างแท้จริง ยามนางยืนอยู่ข้างกายจีหมิงซิว ทั้งคู่เสมือนหนึ่งภาพวาดประดับกำแพง เหมาะสมกันยิ่งนัก
บุรุษมักจะวางสายตาไว้บนร่างสตรีมากสักหน่อยอย่างไม่รู้ตัว ตอนที่นายท่านสามมองสำรวจเฉียวเวยอย่างสงสัยใคร่รู้อยู่ อีกฝั่งหนึ่งอวี๋ซื่อก็ถูกเจ้าตัวกลมที่กลิ้งลงมาจากรถม้าดึงดูดสายตา
วั่งซูเพิ่งตื่นนอน ระหว่างที่สะลึมสะลือนางก็ได้ยินว่าถึงแล้ว นางคิดว่าอยู่บนเตียงจึงกลิ้งตัวลงมา แต่กลายเป็นว่ากลิ้งหลุนๆ ลงมาจากรถม้า
รถม้าใช่ว่าจะเตี้ย นางร่วงมากระแทกพื้นดัง ปั้ก! อวี๋ซื่อตกใจจนใจสั่น แต่จีหมิงซิวกับเฉียวเวยกลับพูดคุยหัวเราะกันเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อวี๋ซื่อคิดในใจว่าลูกของพวกเจ้าร่วงตกลงมาเช่นนี้แล้ว เหตุไฉนพวกเจ้ายัง…
นางกำลังจะเดินเข้าไปดู ก็เห็นเด็กตัวกลมคนนั้นลุกขึ้นมาเอง นางเห็นชัดๆ ว่าหน้าผากของเจ้าอ้วนน้อยกระแทกพื้น แต่เจ้าตัวอ้วนกลับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นแผ่นหินเขียวที่ถูกนางโขก แตกเป็นรอยร้าวเส้นหนึ่ง…
อวี๋ซื่อ “…”
วั่งซูลงมาเสร็จ จิ่งอวิ๋นก็ตามลงมาบ้าง หลังจากนั้นหลิวเกอร์ก็มือซ้ายกอดเจ้าก้อนสีขาวก้อนหนึ่ง มือขวากอดเจ้าก้อนสีขาวก้อนหนึ่ง เดินลงมาอย่างวางมาดอย่างยิ่ง!
อวี๋ซื่อค้นพบว่าเด็กน้อยทั้งสามคนนี้หน้าตางามยิ่งนักจริงๆ พวกเขารูปงามยิ่งกว่าเด็กคนใดที่นางเคยพบเจอ เด็กน้อยคนหนึ่งในนั้นหน้าตาเหมือนหมิงซิวตอนยังเล็กอย่างกับแกะ แม้แต่ท่าทีเคร่งขรึมเย็นชาบนใบหน้ากับท่าทางราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยบนร่างนั่นก็เหมือนหมิงซิวเหลือเกิน
“เจ้าคือจิ่งอวิ๋น เจ้าคือวั่งซู เจ้าคือหลิวเกอร์สินะ” อวี๋ซื่อยิ้มแย้มเดินเข้าไปหา
เจ้าตัวน้อยทั้งสามหันไปมองนาง
วั่งซูยิ้มหวานเรียกว่า “คารวะท่านอาสะใภ้!”
อวี๋ซื่อถูกประจบก็ยิ้มกว้าง “ข้าไม่ใช่อาสะใภ้หรอก ข้าไม่ได้อ่อนวัยถึงเพียงนั้น ข้าคือท่านย่าสามของพวกเจ้า”
วั่งซูเบิกตาโตอย่างไร้เดียงสา “โอ๊ะ ท่านเป็นท่านย่าแล้วหรือ! แต่ท่านงดงามยิ่ง อ่อนเยาว์ยิ่ง เหมือนอาสะใภ้ของข้าเลย!”
เฉียวเวย “…”
เจ้ามีอาสะใภ้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
อวี๋ซื่อฐานะสูงส่งเป็นถึงฮูหยินสามแห่งตระกูลจี ที่ผ่านมาไม่รู้ว่านางเคยฟังถ้อยคำหวานหูมามากเท่าใด แต่ไม่มีประโยคใดทำให้นางสบายใจเช่นนี้ นางยิ้มจนปากไม่หุบ แต่เดิมตระเตรียมซองแดงไว้หกซอง คิดว่าจะให้คนละซอง ตอนนี้ด้วยอารามชอบใจจึงมอบทั้งหมดให้วั่งซู
วั่งซูกอดซองแดงเต็มมือ ยิ้มจนตาหยีเอ่ยว่า “ขอบคุณอาสะใภ้!”
อวี๋ซื่อยิ้มจนแทบจะไม่ไหวแล้ว “ยังจะเรียกอาสะใภ้อยู่อีก เรียกย่าสามสิ”
วั่งซูเรียกตาม “ท่านย่าสาม!”
อวี๋ซื่อหันไปมองจิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นก็เรียกท่านย่าสามเสียงหวานด้วย ผลัดถึงตาหลิวเกอร์แล้ว
หลิวเกอร์เรียกเสียงดังอย่างมีพลังยิ่งนัก “ท่านย่าสาม!”
อวี๋ซื่อหน้าดำทะมึน
จีหมิงซิวนำเฉียวเวยกล่าวทักทายท่านอาสามกับท่านอาสะใภ้สาม
นายท่านสามชะเง้อมองรอบด้าน “หมิงเยี่ยเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินลงมาอย่างอืดอาดยืดยาด ใบหน้าบึ้งตึง แม้จะสวมหน้ากากอยู่จนมองไม่ออกนัก แต่จมูกนั่นก็เชิดขึ้นฟ้า ไม่ว่าผู้ใดก็ได้ยินเขาแค่นเสียงดังเหอะอยู่ในใจ
นายท่านสามหัวเราะถามว่า “คนนี้หมิงเยี่ยสินะ”
จีหมิงซิวมองน้องชายแล้วบอกว่า “เรียกท่านอาสามสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “เหอะ”
เฉียวเวยหยิกหลังเอวของเขา เขาร้องโอดโอย “โอ้ย…ท่านอาสาม!”
นายท่านสามยัดหัวใจที่เกือบจะหลุดออกมาจากคอเพราะถูกเขาทำให้ตกใจลงไป จากนั้นพยักหน้าอย่างอึ้งๆ “อืม เด็กดี เด็กดี!”
จีหมิงซิวแนะนำศิษย์น้องเล็กกับนายท่านสามและอวี๋ซื่อด้วย ทั้งสองคนทักทายอย่างมีมารยาท
นายท่านสามพาทุกคนเข้าไปในจวนหลังเก่า
บรรพบุรุษของตระกูลจีเคยได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอ๋องต่างแซ่ จวนหลังเก่าจึงเคยเป็นจวนอ๋อง กล่าวถึงพื้นที่ กว้างใหญ่ไม่แพ้จวนอัครมหาเสนาบดีในเมืองหลวง เพียงแต่อายุค่อนข้างจะมากอยู่บ้าง จึงมีสง่าราศีสู้จวนอัครมหาเสนาบดีไม่ได้ก็เท่านั้น
อวี๋ซื่อจัดแจงให้พวกจีหมิงซิวพักในเรือนชิงฮุย ห่างจากเรือนของพวกเขาไม่ไกล จะพูดคุยหรือจะเรียกใช้คนก็ล้วนสะดวกอย่างยิ่ง
นายท่านสามมีบุตรสาวทั้งหมดสามคน คุณหนูสี่จีเหวินซินเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของอวี๋ซื่อ ปีนี้อายุสิบสองปี ส่วนคุณหนูห้ากับคุณหนูหกล้วนเป็นบุตรของอนุภรรยาจึงไม่ได้ออกมาต้อนรับแขก
จีเหวินซินยังไม่พ้นจากวัยเด็ก ตลอดทางจึงเบิกดวงตาโตสีดำขลับจ้องเจ้าลิงน้อยด้านหลังจิ่งอวิ๋นเขม็ง เจ้าลิงน้อยสวมผ้าคลุมด้านนอกสีดำด้านในสีแดง ยามก้าวเดินทั้งองอาจทั้งสง่างาม เจ้าลิงน้อยเป่าเล็บ มันทัดดอกไม้น้อยให้ตัวเอง แล้วยังฉกผ้าเช็ดหน้าของมารดานางไปเช็ดน้ำมูกก่อนจะยัดกลับคืนให้มารดาของนางอีก
เจ้าลิงน้อยน่ารักยิ่งนัก!
จูเอ๋อร์ค้นพบว่าจีเหวินซินกำลังมองตนเองอยู่ มันเชิดคางอย่างหยิ่งยโส ดวงตาเชิดจนเกือบจะขึ้นไปอยู่บนกระหม่อม
เวลานี้ มันกลายเป็นสตรีสูงศักดิ์ตัวน้อยผู้สง่างามอีกหน!
จีเหวินซิน “อ๊ะ…”
อ๊ะอะไร จูเอ๋อร์ผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ตัวน้อยเชิดคางสูงขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นเท้าก็เหยียบถูกความว่างเปล่า หน้าคว่ำลงไปในแอ่งโคลน…
จีเหวินซิน “โถ…”
…