เล่ม 1 ตอนที่ 312-2 ชาติกำเนิด ราชโองการเดินทางลงใต้ (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 312-2 ชาติกำเนิด ราชโองการเดินทางลงใต้ (2)

การเดินทางเที่ยวนี้เฉียวเวยพาปี้เอ๋อร์มาด้วย หลักๆ ปี้เอ๋อร์รับผิดชอบดูแลหลิวเกอร์กับการอยู่การกินของใต้เท้าเจ้าสำนัก ตอนปี้เอ๋อร์เก็บสัมภาระของทั้งสองคนเรียบร้อย ฝั่งเฉียวเวยก็จัดการได้พอประมาณแล้ว

จุดประสงค์ของพวกนางคือสำนักซู่ซินจง การมาจวนเก่าตระกูลจีก็เพื่อแวะพักเท่านั้น หีบส่วนใหญ่จึงไม่จำเป็นต้องเปิด การเก็บข้าวของจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว

อวี๋ซื่อนำซองแดงมามอบชดเชยให้เด็กน้อยที่เหลือ ทุกคนล้วนได้รับเท่าๆ กับวั่งซู กล่าวได้ว่าอวี๋ซื่อต้องขูดเลือดขูดเนื้อออกมาก้อนใหญ่ทีเดียว

คนทั้งครอบครัวทานอาหารเย็นด้วยกัน อวี๋ซื่อจูงเฉียวเวยไปคุยสัพเพเหระ ส่วนจีหมิงซิวไปห้องหนังสือของนายท่านสาม

ในจดหมายที่ตระกูลจีส่งมาให้นายท่านสามเล่าถึงสถานการณ์ในบ้านอย่างสั้นกระชับมาด้วย แต่นายท่านสามยังอยากจะฟังจีหมิงซิวเล่าเรื่องราวโดยละเอียดให้ฟังตรงๆ อีกหน “เรื่องหมิงเยี่ยกับท่านอาเขยของเจ้าเป็นมาอย่างไรกันแน่”

จีหมิงซิวเล่าเรื่องของหมิงเยี่ยอย่างสั้นๆ เขาตัดส่วนของชนเผ่าลึกลับออก ส่วนฉินปิงอวี่ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องปิดบัง

นายท่านสามตกตะลึง “อาเขยของเจ้าเป็นสายลับของเยี่ยหลัวหรือ ช่างทำให้คนคิดไม่ถึงจริงๆ ท่านอาของเจ้าคงรู้สึกแย่มาก เจ้าคิดจะจัดการกับเขาอยางไร”

จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ขังไว้ก่อน วันหน้าค่อยว่ากัน”

นายท่านสามพยักหน้า ไม่ถามสิ่งใดอีก

แล้วจีหมิงซิวก็เอ่ยขึ้นมาว่า “จริงสิ ท่านอาสาม หนก่อนข้าส่งไปคนตรวจสอบที่สุสานตระกูลจี พบว่าตอนนั้นหมิงเยี่ยเข้าไปในสุสานตระกูลจีก่อน แล้วถึงถูกคนลักพาตัวไป ท่านทราบหรือไม่ว่าคนที่เฝ้าสุสานสมัยนั้นคือผู้ใด”

นายท่านสามถอนหายใจ “ยี่สิบกว่าปีแล้ว คนเฝ้าสุสานในสมัยนั้นล้วนเป็นตาเฒ่าอายุมากกันหมด ตอนนี้ไม่อยู่บนโลกมนุษย์กันแล้ว แต่หากเจ้าต้องการจะสืบ ข้าไปถามครอบครัวของพวกเขาให้ได้”

จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่จำเป็น ข้ามีแนวทางที่จะสืบหาแล้ว”

นายท่านสามมีสีหน้ายินดี “ถ้าเช่นนั้นก็ดี จะต้องหาตัวคนร้ายออกมาให้ได้เร็วที่สุด ปลอบประโลมดวงวิญญาณของแม่เจ้าที่อยู่บนสวรรค์”

พอกล่าวจบ เห็นว่าจีหมิงซิวยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไปจึงถามต่อว่า “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือ”

จีหมิงซิวชะงักไปวูบหนึ่ง “ไม่มีอะไร”

นายท่านสามกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอยากจะถามเรื่องสวินซื่อใช่หรือไม่ นางเฝ้าสุสานอย่างว่าง่ายยิ่งนัก ข้าแวะไปดูอยู่สองหน ไม่เห็นนางเล่นลูกไม้อันใด เจ้าวางใจเถิด นางตกลงมาอยู่ในจุดนี้ย่อมมิอาจทำเรื่องชั่วช้าอีกแล้ว หลิวเกอร์ต่างหากเขา…”

จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “เสี่ยวเวยดูแลเขาดียิ่งนัก”

พวกจีหมิงซิวมาได้จังหวะพอดีอย่างยิ่ง สำนักศึกษาที่ชิวโจวกำลังเปิดเรียนอยู่ พวกเขาจึงไม่ได้พบหน้าบุตรชายของหลี่ซื่อ เฉียวเวยจึงทิ้งของขวัญกับสาวใช้ที่หลี่ซื่อเตรียมให้จีฉงหมิงเอาไว้ วันต่อมาหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทางไปยังสำนักซู่ซินจง

อวี๋ซื่อจับมือเฉียวเวยแล้วบอกว่า “โธ่ พวกเจ้าออกเดินทางกันรีบร้อนเกินไปแล้ว อยู่เพิ่มอีกสักสองสามวันไม่ได้หรือ”

เฉียวเวยตอบในใจ ไม่ได้น่ะสิ ฮ่องเต้ใจดำบางคนให้เวลาหมิงซิวกำจัดเผ่าเยี่ยหลัวเพียงครึ่งปี แต่ตอนนี้แม้แต่เผ่าเยี่ยหลัวมีฐานทัพอยู่ที่ใด พวกเขาก็ยังไม่รู้ ไม่เร่งเวลาสักหน่อยย่อมไม่ได้!

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “เด็กทั้งสามคนต้องรีบไปรายงานตัวที่สำนักซู่ซินจง ชักช้ามาหลายวันแล้ว จะช้ากว่านี้อีกไม่ได้ หากไปสายแล้วถูกรายงานกลับไปยังราชสำนัก ฮ่องเต้จะตำหนิว่าพวกเราชักช้าได้”

ขนฮ่องเต้ออกมาอ้างแล้ว อวี๋ซื่อย่อมไม่สะดวกรั้งไว้อีก นางสั่งคนเตรียมอาหารกล่องใหญ่ไว้หลายกล่อง ให้เฉียวเวยพกไปกินระหว่างทาง

เฉียวเวยรับไปพร้อมกับรอยยิ้ม พวกเขาบอกลาครอบครัวของนายท่านสาม จากนั้นนั่งรถม้าเดินทางไปยังสำนักซู่ซินจง

บนรถม้า เฉียวเวยหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาใช้ดินสอถ่านจดบันทึกบางสิ่งอย่างละเอียดลออ ตัวอักษรจากปลายพู่กันของนางดูไม่ได้ แต่เวลาใช้ดินสอแข็งๆ เขียนกลับงดงามยิ่งนัก เพียงแต่จำนวนขีดของตัวอักษรน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง แล้วยังตัวเหลี่ยมๆ คมๆ ไม่เป็นเส้นโค้งงดงามเหมือนตัวอักษรของต้าเหลียง

“เจ้ากำลังบันทึกสิ่งใด” จีหมิงซิวถาม

เฉียวเวยตอบว่า “จดบัญชี หนนี้พวกเรานับว่าเดินทางออกมาทำงาน ค่าใช้จ่ายมากน้อยในระหว่างทาง กลับไปต้องไปเบิกค่าใช้จ่ายกับฮ่องเต้!”

ฮ่องเต้ใจดำพระองค์นั้น นางจะขูดรีดเขา ขูดรีดเขา แล้วก็ขูดรีดเขา เอาให้หมดเนื้อหมดตัว!

จากจวนหลังเก่าของตระกูลจีมาถึงสำนักซู่ซินจง หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน สองชั่วยามก็มาถึงแล้ว แต่ฟ้ากลับไม่เป็นใจ เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลีฮวา ท้องฟ้าก็มืดครึ้มอย่างไม่มีลางบอกสักนิด หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อพายุฝนที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เฉียวเวยเคยพบมานับตั้งแต่ข้ามมิติก็เทลงมา

หลังจากฟ้าร้องเปรี้ยงปร้างก็ตามมาด้วยสายฝนเทกระหน่ำ

คนทั้งขบวนจำเป็นต้องหาโรงเตี๊ยมสักแห่ง รอจนฝนหยุดค่อยเดินทางต่อ

เมืองหลีฮวาเป็นเมืองเล็กแห่งสุดท้ายตรงชายแดนทิศใต้ของต้าเหลียง เมืองแห่งนี้อยู่ใกล้กับสำนักซู่ซินจง แล้วก็อยู่ใกล้กับหนานฉู่ มีศิษย์ของสำนักซู่ซินจงกับพ่อค้าจากหนานฉู่ปรากฏตัวอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ควรเอ่ยถึงอยู่บ้างก็คืออำนาจของราชสำนักในแถบนี้ค่อนข้างอ่อนแอ ทางการล้วนอาศัยสำนักในยุทธภพคุ้มหัว ขุนนางท้องถิ่นที่ไร้สำนักหนุนหลัง มักจะทำงานได้ไม่พ้นสามเดือน สำนักยุทธภพแถบนี้ทั้งหมดล้วนยึดถือสำนักซู่ซินจงเป็นแกนนำ

ศิษย์ของสำนักซู่ซินจงจะได้นั่งตรงตำแหน่งที่ดีที่สุดในห้องโถงใหญ่ ตำแหน่งที่ดีถัดลงมาเป็นของพ่อค้ามือเติบ ส่วนขุนนางที่แต่เดิมสมควรมีอำนาจบารมีเหล่านั้นกลับถูกเบียดไปอยู่ที่มุม

คณะของเฉียวเวยเข้ามาในโรงเตี๊ยม

เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะร่าเข้ามาต้อนรับ “ท่านลูกค้าเชิญด้านใน! ขอถามท่านลูกค้าเป็นคนที่ใดหรือ”

“เป็นคนที่ใดแล้วเกี่ยวอะไรด้วย”

เสี่ยวเอ้อร์วาดมือวาดไม้แบ่งสัดส่วนพื้นที่ “ศิษย์ของสำนักซู่ซินจงนั่งด้านนี้ ส่วนที่เหลือนั่งด้านนั้นขอรับ”

ลูกตาของเฉียวเวยกลอกไปมา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่คล้ายรอยยิ้ม “หากอัครมหาเสนาบดีมาต้องนั่งตรงไหน”

เสี่ยวเอ้อร์อึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ด้านนั้นสิ!”

ไม่ใช่ฝั่งของสำนักซู่ซินจง

เฉียวเวยถองศอกใส่จีหมิงซิวอย่างขบขัน “นายน้อยหมิง ฐานะของท่านดูท่าจะเอามาเบ่งที่นี่ไม่ค่อยได้นะ”

จีหมิงซิวหยิบป้ายคำสั่งของสำนักซู่ซินจงแผ่นหนึ่งออกมา เสี่ยวเอ้อร์เบิกตาโต นับกระบี่บนป้ายอย่างถี่ถ้วน “เก้า… เก้ากระบี่หรือ ท่าน ท่าน ท่าน…ท่านผู้สูงศักดิ์มาเยือน! เชิญชั้นบนขอรับ!”

เฉียวเวยผู้คิดจะอวดป้ายเจ้าสำนักกัดฟันกรอดยัดป้ายเข้าไปในอกเสื้อ

สัญชาตญาณบอกนางว่าป้ายเจ้าสำนักแผ่นนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่เท่าป้ายลูกศิษย์ธรรมดาอะไรนั่นของเขา

เฉียวเวยเดาไม่ผิด เสี่ยวเอ้อร์ไม่เคยเห็นป้ายเจ้าสำนัก ถึงเห็นก็ย่อมไม่รู้จัก แต่ป้ายระดับของศิษย์สำนักซู่ซินจงเขาเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน มองปราดเดียวก็ทราบจริงลวงตื้นลึกหนาบาง

จีหมิงซิวจองห้องพักชั้นบนสามห้อง ห้องหนึ่งให้ศิษย์น้องเล็กกับจูเอ๋อร์ ห้องหนึ่งให้เขากับใต้เท้าเจ้าสำนัก อีกห้องหนึ่งให้เฉียวเวยกับเด็กน้อยทั้งสาม รวมไปถึงเจ้าตัวน้อยทั้งสอง

เดิมทีพวกเขาคิดจะพักตอนเที่ยงสักหน่อยแล้วออกเดินทาง ไหนเลยจะรู้ว่าฝนกลับเทลงมาตลอด จวบจนพลบค่ำถึงหยุด เวลานี้สำนักซู่ซินจงย่อมปิดทางขึ้นเขาแล้ว

เฉียวเวยกับใต้เท้าเจ้าสำนักสองมือเท้าคาง ดวงตาคู่โตจ้องมองดวงตาคู่เล็ก เจ้าตัวน้อยทั้งสามก็มองตากันอย่างเบื่อหน่าย จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “พาพวกเจ้าออกไปเดินเที่ยวดีหรือไม่”

ทุกคนได้ยินว่าจะออกไปเที่ยวก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในพริบตา

ฝนหยุดแล้ว ผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนเริ่มมีมากมาย เฉียวเวยค้นพบว่าเมืองน้อยแห่งนี้ครึกครื้นกว่าที่ตนเองจินตนาการไว้มาก ประตูร้านรวงเปิดกว้าง ลูกค้าเนืองแน่นร้าน ร้านแผงลอยขนาดเล็กสองข้างทางตั้งร้านจากหัวถนนจรดท้ายถนนจนไม่เห็นช่องว่าง พ่อค้าร้านแผงลอยตะโกนเอะอะ ผู้คนที่เดินบนถนนหัวร่อต่อกระซิก เสียงล้อรถกับเสียงอาชาดังขึ้นไม่ขาด

เมืองหลีฮวาเป็นเมืองเล็กทางตอนใต้จึงมีอาหารทะเลไม่น้อย แต่เพราะตัวเมืองไม่ติดทะเล และไม่มีท่าเรือขนาดใหญ่ ดังนั้นอาหารทะเลจึงไม่อุดมสมบูรณ์เท่าเมืองเฟยอวี๋ แล้วก็ไม่มีตำนานเรื่องเงือกโฉมงาม ถึงกระนั้นงานฝีมือของเมืองแห่งนี้ก็มีมากมายหลากหลายรูปแบบยิ่งนัก

เฉียวเวยกับเด็กๆ ชมดูจนตาลาย

โครกกก

ท้องน้อยๆ ของวั่งซูส่งเสียงร้อง

จีหมิงซิวจูงมือลูกสาวพาทุกคนไปยังร้านแผงลอยที่ขายขนมปูร้านหนึ่ง

ร้านแผงลอยร้านนี้ขายดีไม่เลว โต๊ะห้าตัวมีลูกค้านั่งเต็ม เจ้าของร้านยืมโต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกหลายตัวจากสหายที่ขายบะหมี่อยู่ข้างๆ มาให้พวกจีหมิงซิวนั่ง

กลิ่นหอมหวนลอยมาจากรถเข็น คราวนี้ไม่ใช่แค่ท้องของวั่งซูที่ส่งเสียงร้อง ท้องของหลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นก็เริ่มส่งเสียงโครกครากแล้วเหมือนกัน

เฉียวเวยถามขึ้นมา “ร้านนี้ขายอะไรหรือ”

จีหมิงซิวตอบว่า “ขนมปู ตอนยังเล็กข้าจะมากวาดสุสานบรรพบุรุษที่เมืองนี้กับครอบครัว มารดาของข้าเคยพาข้ามากินหนหนึ่ง นางบอกว่านางชอบกินขนมปูของร้านนี้มากที่สุด แม้แต่ในวังก็ยังทำรสชาตินี้ออกมาไม่ได้”

เถ้าแก่หัวเราะคิกคักเดินเข้ามา “แน่หนอน ขนมปูร๋านเราเป็นสูตรลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ! ข้างนอกหากินไม่ได้เน้อ!”

จีหมิงซิวมองรอบๆ “ร้านขายขนมปูร้านนี้เป็นของครอบครัวพวกเจ้าหรือ”

เถ้าแก่ตบหน้าอกบอกว่า “เป๋นของครอบครัวเรามาตลอดหละเน้อ!”

จีหมิงซิวมองเขา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก “ข้าจำได้ว่าสมัยนั้นเจ้าของร้านไม่ใช่เจ้า”

เถ้าแก่ร้องอ้อคำหนึ่งแล้วก็ขยับยิ้ม “ที่แท้เป๋นลูกค้าเก่าหรอกเร้อ ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะไม่ได้มานานแล้วสิเน้อ! ข้าจำไม่ยักได้ว่าข้าเคยเห็นเจ้า! พ่อข้าเขาแก่แล้ว ทำไม่ไหวแล้วเน้อ! ตอนนี้เลยเปลี่ยนเป็นข้าทำแทน! ท่านลูกค้าอยากกินรสอะไรดีเน้อ”

จีหมิงซิวพยักหน้า ย้อนนึกถึงรสชาติที่องค์หญิงเจาหมิงสั่ง “หมาล่า ใส่ต้นหอมลงไปทอดด้วยกัน แล้วก็เพิ่มพริกไทยนิดหน่อย”

“ได้ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ!”

เถ้าแก่ยิ้มแย้มเดินจากไป

แม่นางน้อยผู้สวมหมวกปีกกว้างคนหนึ่งเดินมาข้างแผงร้าน “เถ้าแก่ ข้าเอาขนมปูรสหมาล่าหนึ่งจาน ใส่ต้นหอมลงไปทอดด้วยกัน เพิ่มพริกไทยนิดหน่อย”