เล่ม-1 ตอนที่ 318-2 ผู้เป็นมารดานั้นแข็งแกร่ง ฝึกโหด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 318-2 ผู้เป็นมารดานั้นแข็งแกร่ง ฝึกโหด

เฉียวเวยปีนจนจิตใจใกล้แตกสลายแล้ว นางเกาะผนังบ่ออย่างไร้เรี่ยวแรง “รีบดึงแม่ขึ้นไปเร็ว แม่ปีนไม่ไหวแล้ว…”

วั่งซูผายมืออย่างใสซื่อ “แต่อาจารย์ตาบอกว่า ห้ามดึงท่านแม่ขึ้นมา ต้องให้ท่านขึ้นมาเอง!”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างคับแค้นนัก “ข้าเป็นแม่ของจ้า หรือว่าเขาเป็นแม่ของเจ้า เจ้าจะเชื่อฟังผู้ใด”

วั่งซูเอียงหัว “แต่เมื่อคืนวาน ท่านแม่บอกพวกเราว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์ตานี่เจ้าคะ!”

ก็ได้ข้าผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าบอกอะไรเจ้าไปตั้งมากมาย เหตุไฉนเจ้าจึงจำได้แต่ประโยคนี้ ประโยคที่สั่งสอนเจ้าพวกนั้น เหตุไฉนเจ้าถึงจำไม่ได้

“ดึงแม่ขึ้นไป แม่ต้องดื่มน้ำ คนไม่ดื่มน้ำจะกระหายจนตายได้” เฉียวเวยตีหน้าตายบอก

ตะกร้าน้อยใบหนึ่งหย่อนลงมาช้าๆ จนลงมาถึงตรงหน้าเฉียวเวย เฉียวเวยเห็นถุงน้ำด้านในตะกร้า หว่างคิ้วก็ขมวดมุ่น เงยหน้ามองเหนือศีรษะก็เห็นวั่งซูกำลังจับปลายเชือกอีกฝั่ง ยิ้มจนตาหยีมองตนอยู่ “ท่านแม่ดื่มน้ำมากๆ หน่อยนะเจ้าคะ”

แม่สาวน้อยคนนี้!

เฉียวเวยหยิบถุงน้ำขึ้นมาอย่างฮึดฮัด นางดื่มส่งๆ สองคำแล้วบอกอีกว่า “แม่ไม่อยากดื่มน้ำแล้ว แม่ต้องกินข้าว!”

วั่งซูรีบบอกว่า “ท่านแม่รอประเดี๋ยว ข้าจะส่งลงไปให้ท่าน”

เฉียวเวยผลักตะกร้าตรงหน้าอย่างรังเกียจรังงอน “ตะกร้าผุๆ ใบน้อยของเจ้าจะใส่อะไรลงมาได้ ข้าอยากกินห่านย่าง ไก่พะโล้ ซี่โครงแกะ กีบเท้าหมูตุ๋นเห็ดหอม…”

ร่ายไปได้ครึ่งหนึ่ง กล่องอาหารมหึมาใบหนึ่งก็ถูกวั่งซูหย่อนลงมา กล่องอาหารมีทั้งหมดห้าชั้น แต่ละชั้นมีอาหารสี่อย่าง หมูเห็ดเป็ดไก่มีครบทุกสิ่งอัน

เฉียวเวยกำหมัด เจ้าตุ้ยนุ้ย ทำกับแม่เช่นนี้ เจ้าจะได้เสียใจแน่!

เฉียวเวยเปิดกล่องอาหารแล้วหยิบอาหารออกมายัดใส่ปากคำโต

“กรี๊ด…จะตายแล้ว ช่วยด้วย!”

เสียงของวั่งซู!

คิ้วของเฉียวเวยดีดสูง นางลุกพรวดขึ้นมาทันที ตะเกียบข้างหนึ่งถูกปักไว้กับผนังบ่อ ปลายเท้าเหยียบกล่องอาหาร อาศัยแรงดีดตัว เหยียบผนังลื่นกับตะเกียบไม้บอบบางอย่างละหนก็เหินขึ้นมาถึงบนพื้น

“วั่งซู!”

นางวิ่งเข้าไปหาร่างเล็กจ้อยที่ดูเหมือนจะฟุบแน่นิ่งไม่ขยับอยู่บนพื้น

วั่งซูหันหน้ามาอย่างระมัดระวัง แล้วชูงูพิษน้อยตัวหนึ่งขึ้นมา นางเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ข้าไม่ทันระวังเหยียบมันเข้า”

เฉียวเวยพองขน “เจ้าเหยียบมันแล้วเจ้าร้องว่าจะตายแล้ว ช่วยด้วยทำอะไร จะร้องก็ให้มันร้องสิ!”

วั่งซูตอบอย่างจริงจัง “มันร้องไม่ได้ ข้าเลยช่วยร้องแทน”

เจ้าเด็กซุกซนคนนี้ ทำนางตกใจแทบตาย!

วั่งซูกะพริบตาปริบๆ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านขึ้นมาได้แล้วหรือ ท่านขึ้นมาได้อย่างไร”

เฉียวเวยก็ไม่รู้ว่าตนเองขึ้นมาได้อย่างไร นาทีนั้นหัวสมองขาวโพลนไปหมด นางแทบจะอาศัยปฏิกิริยาจากสัญชาตญาณล้วนๆ

อาจารย์ตาฮั่วเดินเข้ามา

เฉียวเวยยิ้มแล้วหันไปมองเขา “อาจารย์ตาฮั่ว ข้าขึ้นมาได้แล้ว! ข้าขึ้นมาเอง!”

อาจารย์ตาฮั่วพยักหน้าพลางตบหัวไหล่ของนาง หลังจากนั้นก็ผลักนางลงไปใหม่…

เฉียวเวย “…”

ในที่สุดเฉียวเวยก็ปีนขึ้นมาจากบ่อที่ฉาบขี้ผึ้งโดยไม่อาศัยยืมแรงจากสิ่งใดๆ ได้ในสิบสองวันถัดมา ไม่ว่าอย่างไรพื้นฐานร่างกายของนางก็อยู่ในขั้นดี หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นถูกทรมานเช่นนี้คงม้วยมรณาไปนานแล้ว แต่นางกลับยังพิงต้นไม้ใหญ่หอบแฮ่กได้ นับว่าเป็นยอดคนผู้หนึ่ง

เฉียวเวยเช็ดเหงื่อแล้วถามว่า “อาจารย์ตาฮั่ว พวกเราฝึกสองอย่างนี้มาหลายวันเช่นนี้ ไม่ฝึกสิ่งอื่นหรือ ตัวอย่างเช่นท่าเท้าตระกูลฮั่วที่ท่านพูดถึงก่อนหน้านี้”

อาจารย์ตาฮั่วตอบว่า “ยังเหลืออีกหนึ่งอย่าง หากเจ้าฝึกสำเร็จ ท่าเท้าก็จะอยู่ในใจของเจ้า”

เฉียวเวยกุมหน้าอกของตนเอง รู้สึกว่าหนังหัวหนาววาบ

อาจารย์ตาฮั่วพาเฉียวเวยเข้ามาในป่าริมทะเลสาบ ป่าแห่งนี้ดูแล้วอายุเก่าแก่พอสมควร ต้นไม้เจริญเติบโตจนสูงใหญ่กว่าปกติ ใบไม้ทับซ้อนสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นตาข่ายที่แม้แต่สายลมยังมิอาจลอดผ่าน แสงแดดถูกบดบังถึงเก้าส่วน หนึ่งส่วนที่เหลือรอดส่องลงมาไม่เหลือความอบอุ่นแม้แต่น้อย

หน้าต้นอู๋ถงต้นใหญ่ต้นหนึ่ง อาจารย์ตาฮั่วหยุดฝีเท้า จากนั้นล้วงเชือกเส้นเล็กออกมาจากห่อสัมภาระ ปลายข้างหนึ่งผูกไว้กับขาของเฉียวเวย ปลายอีกข้างหนึ่งมัดไว้กับต้นไม้

“นี่จะทำอะไรหรือ” เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ

อาจารย์ตาฮั่วล้วงขวดใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วบอกว่า “ในขวดใบนี้มีผึ้งอยู่ตัวหนึ่ง เจ้าต้องจับมันให้ได้”

“จับผึ้งหรือ” เฉียวเวยลูบคาง “จับแบบเป็นๆ หรือแบบตายแล้วเล่า”

“ได้ทั้งนั้น” อาจารย์ตาฮั่วตอบ

หากได้ทั้งหมดก็ง่ายขึ้นมากแล้ว เมื่อไม่ต้องพะวงเรื่องแรง ความแม่นยำของมนุษย์ย่อมเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้นนางกะประมาณจากสายตาแล้วว่าเชือกน้อยเส้นนี้ยาวสามเมตร ขอเพียงผึ้งไม่บินห่างออกไปจากตรงนี้ นางก็มั่นใจเก้าส่วนว่าจะจับมันได้

เพียงแต่ว่า หลังจากถูกอาจารย์ตาผู้นี้ทรมานมาเนิ่นนาน นางก็ถูกทรมานจนเกิดเป็นปมในใจใหญ่เท่ามหาสมุทรแล้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายดายเช่นนั้น จะต้องมีกับดักอะไรรอนางกระโดดลงไปแน่

“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง” อาจารย์ตาฮั่วถาม

“ประเดี๋ยวก่อน” ระวังไว้ย่อมล่องเรือไม่ล่มหมื่นปี เฉียวเวยปลดกระเป๋าข้างเอวออกมา นางเทของด้านในออกมาซุกไว้ในอกเสื้อ จากนั้นจึงกางปากกระเป๋าให้กว้างที่สุด “พร้อมแล้ว”

อาจารย์ตาฮั่วดึงจุกขวด

“ประเดี๋ยวก่อน!” เฉียวเวยเรียกเขาไว้อีกหน “จับผึ้งตัวเดียวจริงๆ ใช่หรือไม่”

อาจารย์ตาฮั่วตอบย้ำ “ใช่ จับผึ้งตัวนี้ตัวเดียว”

เฉียวเวยตอบ “เข้าใจแล้ว พอมันบินออกมาจากขวด ข้าก็ต้องจับมันทันทีเลยสินะ มีเวลาจำกัดหรือไม่”

“ไม่มี”

แต่ต่อให้ไม่มี ก็อย่าได้ดีใจเร็วเกินไปนัก

สายตาของอาจารย์ตาฮั่วจับบนใบหน้าของเฉียวเวย เฉียวเวยมองอาจารย์ตาฮั่วด้วยสีหน้าไร้เดียงสา ตรงจุดที่เฉียวเวยมองไม่เห็น บนกิ่งของต้นอู๋ถงต้นนี้มีรังต่อที่ทั้งใหญ่ทั้งหนักอยู่รังหนึ่ง จับผึ้งตัวเดียวย่อมไม่ยาก แต่จับผึ้งตัวเดียวท่ามกลางตัวต่อทั้งรังย่อมยากเท่าเหยียบขึ้นสวรรค์ ยังมิทันเห็นแม้แต่เงาของเป้าหมายก็อาจถูกฝูงต่ออันดุร้ายนั่นต่อยจนหน้าบวมเป็นหัวหมูแล้ว

นิ้วโป้งของอาจารย์ตาฮั่วแนบลงบนจุดขวด อีกมือหนึ่งเด็ดใบไม้ใบหนึ่งมาไว้ในมือ ประเดี๋ยวเขาจะออกแรงพร้อมกัน พร้อมกับใช้วิชาตัวเบาเหินออกไป

สาม สอง หนึ่ง

ฟึบ! เป๊าะ!

ใบไม้ร่อนออกไป จุกขวดร่วงหล่น อาจารย์ตาฮั่วใช้วิชาตัวเบาเหินร่างลอยขึ้นไป!

แขนเสื้อของเขาถูกสายลมตีสะบัดพลิ้ว เส้นผมดำขลับถูกลมพัดปลิวสยาย เขาเสมือนหนึ่งอินทรีหนุ่มสยายปีกเหินสู่นภา!

ในตอนที่เขากำลังจะทะยานพ้นแนวไม้แถบนี้นั่นเอง กึก! กระบี่ยาวก็ติด รังต่อที่ถูกเขาใช้ใบไม้จู่โจมแกว่งซ้ายแกว่งขวาห้อยอยู่ตรงหน้า ตัวต่อทั้งหลายยื่นหัวออกมาจากรังทีละตัวๆ

อาจารย์ตาฮั่ว “…”