เล่ม-1 ตอนที่ 319-1 ศึกตัดสินกับผู้อาวุโส ชูธงคว้าชัยชนะ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 319-1 ศึกตัดสินกับผู้อาวุโส ชูธงคว้าชัยชนะ

เฉียวเวยรู้สึกว่าอาจารย์ตาฮั่วหนีไวเช่นนี้จะต้องมีอะไรรอตนเองอยู่แน่ แต่นางรอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ผึ้งตัวนั้นบินหึ่งๆ ลอยวนอยู่รอบๆ นางคว้าหมับด้วยมือเปล่าจับผึ้งเข้ามาใส่ในกระเป๋า

หลังจากจับผึ้งเสร็จแล้ว นางก็รอไม้ตายของอาจารย์ตาฮั่วอยู่ที่เดิม แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้น

หรือว่าวันนี้อาจารย์ตาฮั่วเกิดมีจิตเมตตาไม่จัดการนางแล้ว

“อาจารย์ตาฮั่ว! อาจารย์ตาฮั่ว ท่านอยู่ที่ไหน จบแล้วใช่หรือไม่ หากจบแล้วพวกเราก็กลับกันเถิด! อาจารย์ตาฮั่ว อาจารย์ตาฮั่ว อาจารย์ตาฮั่ว!”

เสียงเรียบเฉยดังขึ้นเหนือศีรษะ “ข้าอยู่ตรงนี้”

เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ตาค้างในพริบตา “ท่านชอบวิ่งไปอยู่บนนั้นเสมอเลยหรือ ไม่เห็นว่ามีรังต่อหรือไร ท่านรีบลงมาสิ!”

อาจารย์ตาฮั่วไม่ขยับ

เฉียวเวยอ้าปากถาม “ท่านคงไม่ได้ติดอีกแล้วใช่หรือไม่”

เฉียวเวยชูคบไฟปีนขึ้นไปบนต้นไม้ นางรมควันไล่ตัวต่อทั้งหมดเสร็จ อาจารย์ตาฮั่วก็ถูกต่อยจนใบหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตัวต่อพวกนั้นร้ายกาจยิ่งนัก ไม่เพียงต่อยหน้า ยังต่อยมือ ต่อยลำคอ ไปจนถึงต่อยก้น ต่อยมั่วไปหมด เฉียวเวยแกะกระบี่ยาวของอาจารย์ตาฮั่วออกมา “อาจารย์ตาฮั่ว ท่านยังลงไปเองไหวหรือไม่”

“อืม”

“อ้อ” เฉียวเวยปล่อยมือ

อาจารย์ตาฮั่วหล่นตุ้บลงมากระแทกพื้น ร่างชักกระตุกอยู่สองสามทีก็แน่นิ่ง

เฉียวเวย “…”

เวลาครึ่งเดือนผ่านไปเพียงชั่วพริบตา พริบตาเดียวก็ถึงปลายเดือน ถึงวันที่เฉียวเวยจะท้าสู้กับผู้อาวุโสทั้งห้าคนอีกหนแล้ว วันนี้เฉียวเวยตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากอาบน้ำก็ขยับยืดเส้นเอ็นกระดูกอยู่ที่ลานบ้าน กลับห้องไปกินอาหารเช้าเปี่ยมสารอาหารที่ปี้เอ๋อร์เตรียมให้อย่างใส่ใจ หลังจากนั้นจึงเดินไปบอกลาอาจารย์ตาฮั่วที่ถูกพันผ้าทั้งตัวจนกลายเป็นมัมมี่ที่ห้องด้านข้าง สิ่งที่ควรเล่าสักหน่อยก็คือ อาจารย์ตาฮั่วรู้สึกว่ากระบี่ของเขาร่วงตกลงมาบาดเจ็บด้วย จึงขอให้เฉียวเวยพันกระบี่ยาวจนกลายเป็นมัมมี่อีกร่างหนึ่ง

‘มัมมี่’ ตัวใหญ่กับตัวเล็กมองส่งเฉียวเวยเดินจากไป

เวทีประลองยุทธ์วันนี้ครึกครื้นกว่าหนก่อนมาก จะใช้คำว่าคลื่นผู้คนมาพรรณนาก็คงไม่เกินไปนัก หากจะถามว่าเพราะเหตุใด ก็คงเป็นเพราะสิ่งที่เฉียวเวยทำเมื่อหนก่อน ‘น่าประทับใจ’ เกินไป ทุกคนจึงพากันเบียดเสียดมาชมดูเรื่องสนุก ในหมู่คนเหล่านั้นมีศิษย์ที่เร่งรีบเดินทางกลับมาจากข้างนอกอยู่ไม่น้อย แล้วยังมีศิษย์พี่ทั้งหลายที่วั่งซูพา (ลาก) มาจากสำนักศิษย์ใหม่อีกด้วย

นับตั้งแต่ถูกวั่งซูให้ความช่วยเหลือ (จัดการ) อย่างอบอุ่นไปหนึ่งหน ศิษย์อายุน้อยกลุ่มนั้นในสำนักศิษย์ใหม่ก็ไม่กล้าหาเรื่องทรราชน้อยผู้นี้อีกแล้ว ยิ่งเมื่ออาจารย์ตั้งความหวังกับพวกเขาสูงขึ้น แต่ละวันพวกเขาจึงถูกทรมานแทบเป็นแทบตาย ไหนเลยจะยังมีแรงเหลือไปทำเรื่องอื่นอีก

หลิวเกอร์มือซ้ายอุ้มก้อนสีขาวก้อนหนึ่ง มือขวาอุ้มก้อนสีขาวอีกก้อนหนึ่งเดินตามหลังขบวนมาอย่างว่าง่าย

จิ่งอวิ๋นอุ้มจูเอ๋อร์ตามมาท่ามกลางหมู่คนเช่นกัน

แต่คนมากมายเกินไปแล้วจริงๆ คนของสำนักศิษย์ใหม่ต่างตัวเล็ก สายตาจึงถูกบังจนมิด มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น

“หลีกไปๆ”

วั่งซูเบียดเข้าไปในฝูงชน ลูกศิษย์เหล่านี้ส่วนหนึ่งไม่รู้จักฐานะของวั่งซู ในสำนักซู่ซินจงมีศิษย์หญิงอยู่จำนวนไม่น้อย ทุกคนจึงคิดว่านางเป็นศิษย์น้อยที่เข้ามาใหม่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคร้านจะหลีกทางให้นาง ทว่าพวกเขาไม่อยากหลีกทางให้ก็เรื่องหนึ่ง แต่จนใจต้องหลีกทางให้ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ดันส่งๆ ทีหนึ่งก็ผลักศิษย์ในผู้ฝึกฝนวิชาเป็นประจำอย่างพวกเขาถลาไปด้านข้าง

เจ้าสำนัก ผู้พิทักษ์กับศิษย์เอกทั้งหลายล้วนชมอยู่บนอัฒจันทร์ พวกเขาไม่สะดวกจะเข้าไปจู้จี้กับเด็กน้อยตัวกระจ้อยสองสามคน แม้ผลลัพธ์ของการเข้าไปจู้จี้คงจะเป็นความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของพวกเขาก็ตาม วั่งซูพาพี่ชายของตนกับหลิวเกอร์รวมถึงศิษย์พี่ทั้งหลายของสำนักศิษย์ใหม่เบียดเข้ามาจนอยู่แถวหน้าสุด

ในหมู่ศิษย์ที่มุงดูอยู่เหล่านี้ คนจำนวนหนึ่งเคยชมการต่อสู้หนก่อนมากับตาตนเอง พวกเขาทราบว่าสตรีแซ่เฉียวคนนั้นมีสัตว์เลี้ยงแสนองอาจอยู่สามตัวเป็นลูกน้อง แต่หนนี้เจ้าสามตัวนี้กลับถอดผ้าคลุมกับชุดเกราะ นอนอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าซาลาเปาน้อยขายความน่ารักอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังจำได้ว่าพวกมันคือแม่ทัพผู้พ่ายศึกจากหนก่อน

“มารดาของข้าจะออกมาแล้ว มารดาข้าเก่งกาจยิ่งนัก!” วั่งซูยืดหน้าอกเล็กๆ ของตนเอง

ศิษย์ใหม่ทั้งหลายแค่นเสียงดังเหอะในใจ แม่ของเจ้าร้ายกาจแล้วร้ายกาจสู้ผู้อาวุโสได้หรือ รอถูกซ้อมเถิด!

บนอัฒจันทร์มีสวี่หย่งชิง ฟู่เสวี่ยเยียน ผู้พิทักษ์ทั้งสองและจีหมิงซิวกับน้องชายนั่งกันอยู่เช่นเดิม พวกศิษย์พี่ห้ายืนอยู่สองฝั่ง ศิษย์พี่ห้าอาศัยช่วงที่รินชาให้ผู้อาวุโสและแขกทั้งหลาย เดินไปตรงหน้าจีหมิงซิวกับใต้เท้าเจ้าสำนัก ระหว่างที่รินชาร้อนใส่ในถ้วยก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์พี่สี่ พวกเราก็เคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมา ข้าอยากจะเตือนศิษย์พี่สี่สักประโยค อาศัยตอนนี้ยังไม่เริ่ม ทุกสิ่งยังทันเวลา รีบบอกให้ศิษย์พี่สะใภ้สี่ถอนตัว มอบป้ายเจ้าสำนักคืนมาเสียเถิด อย่าดิ้นรนอย่างไร้ความเกรงกลัวต่อไปเลย อย่างไรเสียหนก่อนนางก็หนีไปทีหนึ่งแล้ว แทนที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ มิสู้ไม่โผล่มาเสียจะดีกว่า”

จีหมิงซิวมองเขาแวบหนึ่ง แม้แต่หนังตาก็คร้านจะกระตุก

ศิษย์พี่ห้าเอ่ยต่อว่า “สำนักซู่ซินจงเป็นสำนักใหญ่ในยุทธภพ ไม่ใช่สถานที่เล่นสนุกของศิษย์พี่สะใภ้ นางหนีไปหนหนึ่งก็แล้วไปเถิด แต่หากหนีอีกหน นั่นเห็นสำนักซู่ซินจงเป็นอะไร ข้าเป็นห่วงศิษย์พี่สะใภ้ เกิดยั่วโมโหผู้อาวุโสทั้งหลายจนโกรธขึ้นมาจริงๆ หนนี้นางคิดจะหนีอีกก็หนีไม่พ้นแล้ว”

แกนผลไม้แกนหนึ่งถูกโยนมาใส่ตัวของเขา

เขาก้มมองแกนผลไม้ แล้วหันไปมองผู้ที่โยนแกนผลไม้มา แววตาเฉยชาเข้มขึ้น “คุณชายรองจีทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกินผลไม้พลางพูดว่า “เห็นเจ้าแล้วไม่สบอารมณ์ สุนัขดีย่อมไม่ขวางทางคน เจ้ามาอยู่ตรงนี้ ข้าจะมองเวทีประลองยุทธ์ก็มองไม่เห็น”

ศิษย์พี่ห้ามองเขาอย่างเย็นชา

จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “ยังไม่ไปอีกหรือ”

ศิษย์พี่ห้าหิ้วกาน้ำชาเดินออกไป

เจ้าพวกไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาพวกนี้ รอประเดี๋ยวคอยดูว่าพวกเจ้าจะหาทางลงอย่างไร!

สามฝั่งของเวทีประลองยุทธ์ว่างเปล่า มีฝั่งหนึ่งตั้งฉากไม้อันใหญ่เอาไว้ ด้านหลังฉากไม้มีเพิงไม้ที่ก่อสร้างมาเฉพาะกิจหลังหนึ่ง เรียกแบบบ้านๆ ก็คือหลังเวที

เฉียวเวยเตรียมตัวอยู่หลังเวทีพร้อมแล้ว ปี้เอ๋อร์จัดเสื้อผ้าให้นางอีกหน “ฮูหยิน รอประเดี๋ยวพวกเราไม่ต้องฝืน หากสู้ไม่ไหวจริงๆ ท่านก็หนีเหมือนหนก่อนเสียเข้าใจหรือไม่”

“ข้าจะไม่…” เฉียวเวยกระแอม “รู้ได้อย่างไร”

สู้ไม่ได้ก็หนีคือคติพจน์ประจำใจของหัวหน้าพรรคเฉียว

แต่หนนี้นางตั้งใจแน่วแน่ว่าจะชนะ อย่างไรเสียก็ร่ำเรียนกับอาจารย์ตาฮั่วมานานขนาดนั้น หยาดเหงื่อและน้ำตาเหล่านั้นต้องไม่เสียเปล่า

“เจ้าเด็กอ้วนคนนั้นเล่า” นางถามอย่างไม่สบอารมณ์

ปี้เอ๋อร์ชะโงกศีรษะออกมาจากเพิง มองปราดเดียวก็เห็นวั่งซูกับสหายตัวน้อยของนางอยู่ท่ามกลางผู้คน นางยิ้มแล้วหดหัวกลับมาในเพิง บอกว่า “มาแล้วเจ้าค่ะ พาสหายใหม่มามากมายเชียว”

เฉียวเวยสูดลมหายใจเบาๆ “เจ้าเด็กอ้วนคนนี้!”

ปี้เอ๋อร์หัวเราะ

เสียงกลองบนเวทีดังขึ้น การต่อสู้อย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เฉียวเวยก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างองอาจห้าวหาญ เพราะพฤติกรรมงามหน้าของนางในรอบก่อน แทบจะในพริบตาที่นางปรากฏตัว เบื้องล่างเวทีจึงมีเสียงผิวปากเยาะหยันดังระงม

เฉียวเวยมองฝูงชนคลาคล่ำแล้วนับจำนวนอย่างคร่าวๆ เจ้าคนพวกนี้ จำนวนมากกว่าหนก่อนเกินหนึ่งเท่าอีก ทุกคนคงมาเพื่อดูเรื่องตลกของนางกระมัง ดูท่าศิษย์สำนักซู่ซินจงก็ชอบนินทาอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามีใครในนั้นลงเดิมพันว่านางจะแพ้หรือไม่

ไม่นานผู้อาวุโสห้าก็เดินขึ้นมาบนเวที ผู้อาวุโสห้าสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเทาดุจเดิม ท่วงท่าสงบนิ่ง หากจะบอกว่าเหมือนเทพเซียนผู้มิยุ่งเกี่ยวเรื่องราวในโลกมนุษย์อาจจะมากเกินไป แต่ก็พอมีกลิ่นอายของเทพเซียนอยู่บ้างสักส่วนสองส่วน

ใบหน้าของผู้อาวุโสห้าประดับรอยยิ้มสุขุมและมั่นใจ เขามองเฉียวเวยแล้วกล่าวขึ้นว่า “สาวน้อย ข้าเองก็ไม่อยากเป็นคนแก่หัวรั้น ให้ผู้อื่นว่าร้ายข้าว่ารังแกคนรุ่นหลัง หากเจ้าลงไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้า แต่หากเจ้าเริ่มแล้วคิดจะหนี สำนักซู่ซินจงของข้าก็ไม่ใช่สถานที่ให้ผู้ใดมาเล่นสนุก ข้าจะไม่ให้เจ้าทำเป็นเล่นกับข้าอีกหนแน่”

เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวของตนเองนิดๆ แล้วตอบว่า “อะไรกัน สู้ไม่ได้ก็หนี ไม่ได้หรือ มีกฏว่าต้องสู้จนตายบนเวทีหรือ”

แววตาของผู้อาวุโสห้าแผ่ความความน่าเกรงขามออกมาเล็กน้อย “ในเมื่อรู้แล้วว่าสู้ไม่ได้ ยังไม่รีบส่งป้ายเจ้าสำนักมาอีกหรือ”

เฉียวเวยยิ้มเย็นชา “เจ้าสำนักคนก่อนของพวกเจ้าแพ้เดิมพันป้ายเจ้าสำนักให้ข้าเอง หากมีความสามารถเจ้าก็มาเอาไปเอง!”

แม้ผู้อาวุโสห้าจะยิ้มอยู่ แต่น้ำเสียงแฝงแววคุกคามอยู่เล็กน้อย “สาวน้อย วาจาใหญ่โตนักนะ”

เฉียวเวยมองลงไปด้านล่างเวที “เรียกสาวน้อยๆ อยู่นั่น ไม่เห็นหรือว่าลูกข้าโตขนาดไหนแล้ว”