ตอนที่ 316-1 ทัพเสริมจากเฮ่อหลันชิง
ฉากจบของละครทำให้คนทั้งหมดที่นั่นตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักพับตั๊กแตนมาสิบเจ็ดสิบแปดตัวแล้วแต่ยังไร้ประโยชน์ เขาจึงพับหัวใจดวงน้อยดวงหนึ่ง ลำบากนักกว่าจะพับเสร็จ กำลังจะโยนเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่เสวี่ยเยียน ผลปรากฏว่าภาพฉากนี้ทำให้เขาตาเกือบบอด มือสั่นวูบหนึ่งโยนหัวใจดวงน้อยเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของสวี่หย่งชิงแทน
สวี่หย่งชิงหยิบหัวใจดวงน้อยที่จู่ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าอกขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าฉงนงงงวย
ลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่างเวทีฮือฮาราวกับหม้อระเบิด
ผู้อาวุโสลูบแขนเสื้ออย่างสง่างาม แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “เจ้าเด็กโง่เขลา”
ผู้พิทักษ์และพวกศิษย์พี่ใหญ่บนอัฒจันทร์ต่างหัวเราะเยาะ หากจะบอกว่ายังมีผู้ใดนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็คงมีแต่ฟู่เสวี่ยเยียนกับจีหมิงซิว ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งย่อมไม่แปลก เฉียวเวยไม่ได้เป็นอะไรกับนางเสียหน่อย เฉียวเวยเป็นอย่างไรย่อมไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง นางมิใช่สตรีผู้ชมชอบความครึกครื้น แต่จีหมิงซิวไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะว่าอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นภรรยาของเขา ภรรยาของเขาหนีโดยไม่สู้ เขาคนเป็นสามีคนนี้จะไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยหรือ
ศิษย์พี่ห้าเชิดหน้าสาวเท้าเดินเข้ามาหา เขามองจีหมิงซิวแล้วยิ้มเย้ย “ข้ายังคิดว่านางจะใจกล้าสักเพียงใด แตกหักกับอาจารย์เพื่อคนเช่นนี้ ศิษย์พี่รู้สึกว่าคุ้มหรือไม่”
จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “ศิษย์น้องห้าคิดว่าสมควรทำเช่นไรเล่า”
ศิษย์พี่ห้ากล่าวอย่างลำพอง “หากวันนี้คนที่ท้าสู้กับผู้อาวุโสทั้งหลายคือข้า ข้ายินดีตายอยู่บนเวที แต่จะไม่มีวันถอยหนียามศึกมาประชิดเป็นอันขาด!”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างดูแคลน “กล้าหาญอย่างไร้สมอง”
ศิษย์พี่ห้าพูดอย่างหยิ่งยโส “วีรบุรุษลูกผู้ชาย…”
จีหมิงซิวแทรกขึ้นว่า “นางเป็นลูกผู้ชายหรือไร”
ประโยคเดียว ศิษย์พี่ห้าก็พูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
จีหมิงซิวลุกขึ้นยืน บอกอย่างไม่สะทกสะท้าน “ผู้กล้ามิสู้ศึกที่เห็นชัดว่าพ่ายแพ้ น่าเสียดายศิษย์น้องห้าท่องอยู่ในยุทธภพมาหลายปี แต่แม้กระทั่งหลักการตื้นเขินเช่นนี้ก็ยังไม่เข้าใจ”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ทิ้งศิษย์พี่ห้าให้ยืนตะลึงมองแผ่นหลังของเขาอยู่ที่เดิมคนเดียว
ศิษย์พี่ห้าไม่เข้าใจ ยามจีหมิงซิวเก่งกาจ อีกฝ่ายกดหัวเขาอยู่ขั้นหนึ่ง เหตุไฉนยามนี้อีกฝ่ายตกต่ำแล้ว ยังจะกดหัวเขาได้อยู่อีก เขามีตรงไหนสู้จีหมิงซิวไม่ได้กันแน่
การท้าสู้ดำเนินมาถึงตรงนี้ก็นับว่าปิดม่านแล้ว ศิษย์ทั้งหลายทยอยเดินจากไป สวี่หย่งชิงกับผู้พิทักษ์ทั้งสองคนก็เดินจากไปด้วย
ฟู่เสวี่ยเยียนลุกขึ้นเดินออกไป ศิษย์พี่ห้าก้าวเข้ามาขวางทางนางแล้วยิ้มอ่อนโยน พูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงฟู่ วันก่อนข้าได้สุราร้อยบุปผามาหนึ่งไห ประเดี๋ยวข้าจะนำไปมอบให้ศิษย์พี่หญิงฟู่ด้วยตนเอง”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบเรียบๆ “ข้าไม่ดื่มสุรา”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเปล่งเสียงหัวเราะ
แววตาของศิษย์พี่ห้าฉายแววเย็นชา ปากยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม “คุณชายรองจีหัวเราะอันใด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับกลีบปากที่แดงสดยิ่งกว่าอิสตรียกโค้งแล้วตอบว่า “ข้าหัวเราะที่หนังหน้าเจ้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมือง ผู้อื่นเขียนคำว่าข้าเกลียดเจ้าแปะอยู่บนใบหน้า เจ้ากลับยังทำตัวเหมือนแมลงวันไล่ไม่ไป ไม่รู้ว่าเจ้าเอาความกล้ามาจากที่ใดจริงๆ”
ศิษย์พี่ห้าโกรธจนหน้าซีดเผือด
ฟู่เสวี่ยเยียนยกเท้าเดินจากไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินอาดๆ ตามไปด้วย
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเบา “ห้ามตามข้ามา!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยัน “ผู้ใดตามเจ้า ข้าจะกลับเรือนก็ต้องเดินผ่านทางนี้เหมือนกัน! มีกฎว่าเจ้าเดินได้ แต่ข้าเดินไม่ได้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนคร้านจะสนใจเขา
เมื่อเดินมาถึงทางแยก ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ยังคงตามติดเป็นวิญญาณอาฆาต ฟู่เสวี่ยเยียนมองลูกศิษย์ที่เดินไปมาอยู่รอบด้าน แววตาเย็นยะเยือกขู่ว่า “หากตามข้ามาอีก ข้าจะหักขาเจ้าเสีย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้ปากแค่นเสียงดังเหอะ “ก็บอกอยู่ว่าไม่ได้เดินตามเจ้ามา ข้าเพียงอยากจะเดินมาทางนี้! ทางเส้นนี้ทิวทัศน์งดงามนัก! ถึงอย่างไรข้าก็ไม่รีบ!”
“เจ้าเลิกเกาะแกะศิษย์พี่หญิงฟู่เสียที!” ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ห้าไล่ตามมาตั้งแต่เมื่อใด เขาดึงใต้เท้าเจ้าสำนักออก แล้วหันไปมองฟู่เสวี่ยเยียน “ศิษย์พี่หญิงฟู่ คนผู้นี้ตามตื๊อท่านอยู่หลายครั้งหลายหน ข้าจะสั่งสอนเขาแทนท่านเอง!”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองทั้งสองคนอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสองคน หายหัวไปให้พ้นหน้าข้าให้หมด”
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”
ศิษย์พี่ห้า “…”
…
เล่าถึงจีหมิงซิว หลังจากเขาออกมาจากอัฒจันทร์ก็ตรงดิ่งกลับไปที่เรือน ประตูห้องปิดสนิท ปี้เอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าเหมือนทำอะไรไม่ถูก จีหมิงซิวปลดสลักประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง เห็นเฉียวเวยใช้ผ้าห่มห่อตัวเองนั่งอยู่บนเตียง เขากลั้นหัวเราะไม่อยู่ เดินเข้าไปอุ้มทั้งคนทั้งผ้าห่มเข้ามาในอ้อมแขน
เฉียวเวยดิ้นเบาๆ สองที
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ ถามว่า “ตอนนี้รู้จักอายแล้วหรือ”
“ขายขี้หน้าคนเขา” เฉียวเวยตอบอย่างหดหู่
จีหมิงซิวตอบว่า “ก็ขายขี้หน้าอยู่พอสมควร”
เฉียวเวยเปิดผ้าห่ม หันไปถลึงตาใส่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว
จีหมิงซิวพูดต่อ “แต่หากถูกซัดจนหมอบคงขายหน้ายิ่งกว่า แล้วยังบาดเจ็บอีกด้วย เจ้ารักษาพละกำลังให้อยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ ว่ากันตามหลักกลยุทธ์ ความจริงแล้วก็เป็นวิธีรับมือศัตรูที่ฉลาดและได้ผลอย่างยิ่งวิธีหนึ่ง”
เฉียวเวยกระแอม “จริง…จริงหรือ”
“ไม่จริง”
เฉียวเวยหน้าดำทะมึน
จีหมิงซิวย่อมพูดจริง ด้วยความสามารถของเฉียวเวยตอนนี้ นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสห้าอย่างสิ้นเชิง หากแข็งขืนเข้าปะทะ ผลลัพธ์มีอยู่เพียงสองประการ ประการที่หนึ่งถูกผู้อาวุโสห้าปลิดชีวิตในหนึ่งกระบวนท่า ประการที่สองถูกผุ้อาวุโสห้าปลิดชีวิตในสองกระบวนท่า มิว่าผลลัพธ์ประการใดล้วนมิใช่สิ่งที่เขาปรารถนาจะเห็น สูญเสียตำแหน่งเจ้าสำนักไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือสูญเสียคนผู้นี้
นางกล้าหนี เขาดีใจยิ่งนัก
เฉียวเวยเกาะอยู่ในอ้อมแขนของสามีโหยหาการปลอบประโลม หาไปหามาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเบิกตาโตเอ่ยขึ้นว่า “หมิงซิว ก่อนออกเดินทางข้าเขียนจดหมายหาท่านแม่ฉบับหนึ่งใช่หรือไม่”
“อืม” จีหมิงซิวตอบ “เหตุใดจู่ๆ จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้เล่า”
ก่อนหน้านี้รีบร้อนเร่งเดินทาง นางจึงเกือบลืมเรื่องนี้ไปสนิท ตอนแรกที่รู้จากปากศิษย์น้องเล็กว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะเลิกเก็บตัวฝึกวิชาล่วงหน้า นางก็ทราบแล้วว่าอี้เชียนอินคงมาไม่ทัน แต่นางกลัวว่าตนเองจะสู้ไม่ชนะผู้อาวุโสเหล่านั้น นางจึงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้มารดาของนาง ให้มารดาของนางเดินทางมาเสริมทัพ นับวันเวลาดู จดหมายฉบับนี้ก็น่าจะตอบกลับมาแล้ว
เฉียวเวยนับวันได้แม่นอย่างยิ่ง ตกกลางคืนเหยี่ยวทุ่งตัวหนึ่งก็ร่อนลงมาบนขอบหน้าต่างห้องของทั้งสองคน จีหมิงซิวแกะกระบอกไม้ไผ่น้อยออกมาจากขาของเหยี่ยวทุ่ง แล้วหยิบจดหมายที่ม้วนอยู่ด้านในออกมา
“จะอ่านตอนนี้หรือไม่” จีหมิงซิวกลับมาบนเตียง
เฉียวเวยอ้าปากหาว เอ่ยตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “อ่าน…”
จีหมิงซิวหยิบไข่มุกจันทร์กระจ่างเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของนาง
เฉียวเวยนอนอยู่บนเตียง อาศัยแสงเรืองๆ ของไข่มุกจันทร์กระจ่างอ่านอย่างสะลึมสะลือ “เสี่ยวเวย ตอนที่เจ้าอ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงไม่อยู่ใน…”