ตอนที่ 316-2 ทัพเสริมจากเฮ่อหลันชิง
เฉียวเวยสะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง! คว้าจดหมายในมือของจีหมิงซิวมาทันควัน หน้าแรกเขียนเพียงไม่กี่คำเท่านั้น พอพลิกดูด้านหลังถึงพบข้อความยาวเฟื้อย
เสี่ยวเวย ตอนที่เจ้าอ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงไม่อยู่ในเกาะนิรนามที่ผู้คนปรารถนาจะไปเยือนอีกแล้ว แม้เกาะนิรนามจะดี แต่อยู่ที่นี่นานเข้าก็ยังเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
หนังสืออนุญาตติดต่อค้าขายที่เจ้าส่งมาแม่ได้รับแล้ว เรือสินค้าของไซน่าอิงก็สร้างเสร็จแล้วเช่นกัน ร่างกายของท่านตาเจ้าได้รับการรักษาจนไม่เป็นอะไรแล้ว ตอนนี้ในเผ่าไม่มีสิ่งที่จำเป็นต้องให้แม่ทำอีก แม่จึงตัดสินใจออกจากเกาะมาท่องเที่ยวกับพ่อของเจ้า ชื่นชมขุนเขาธาราในโลกภายนอกสักหน่อย รายละเอียดว่าจะเดินทางไปที่ใด แม่ยังไม่ได้วางแผนไว้ แต่น่าจะไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานนัก
เรื่องสำนักซู่ซินจง แม่ทราบแล้ว แม่จะเดินทางไปให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเผื่อว่าเดินทางไปไม่ทัน แม่ส่งคนผู้หนึ่งไปก่อนแล้ว เขาเคยสั่งสอนวรยุทธ์ให้แม่ มีเขาชี้แนะอยู่ข้างๆ เจ้าจะต้องชนะพวกตาเฒ่าสารเลวของสำนักซู่ซินจงได้อย่างแน่นอน
เขาตามไปกับเหยี่ยวทุ่ง ตอนที่เจ้าได้รับจดหมาย เขาก็น่าจะไปถึงแล้ว
เอาล่ะ แม่ไม่พูดกับเจ้าแล้ว พ่อของเจ้ากำลังเร่งอยู่ พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว สู้ดีๆ ตีพวกตาสารเลวพวกนั้นให้ตายเรียบ อย่าทำให้ตระกูลเฮ่อหลันขายหน้า
ดูแลจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูให้ดี แม่กับพ่อของเจ้าคิดถึงพวกเขาแล้ว
แล้วก็หมิงซิว…
หมิงซิวอะไร ด้านหลังไม่มีเขียนต่อแล้ว รีบร้อนเดินทางปานนั้นเชียว
บรรทัดแรกสองสามบรรทัดเห็นชัดว่าบิดาของนางเป็นผู้เขียน ลายมือจึงเรียบร้อยสวยงาม ถ้อยคำที่ใช้เรียบง่าย เพราะรู้ระดับทักษะการอ่านของนางดีอย่างยิ่ง ตัวอักษรไก่เขี่ยบรรทัดท้ายๆ คงเป็นลายมือของมารดา บิดาของนางคงไม่เขียนคำอย่างคำว่าตาเฒ่าสารเลวออกมาเป็นแน่
ที่แท้มารดาของนางก็มาไม่ได้ นางสมควรรู้สึกผิดหวัง แต่ประโยคขึ้นต้นนั่นทำนางตกใจแทบแย่ นางคิดว่าคำที่อยู่ต่อจากนั้นจะเป็น ‘แม่คงไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว’ พอได้รู้ว่ามารดาของนางไม่เป็นอะไร นางก็ดีใจจนเกือบจะเป็นลม ไหนเลยจะยังผิดหวังที่มารดาของนางมาไม่ได้อีก
ล้ำเลิศ บิดาของนางช่างมีชั้นเชิงล้ำเลิศนัก!
จากที่จดหมายบอกปรมาจารย์คนนั้นน่าจะใกล้มาถึงสำนักซู่ซินจงแล้ว แต่สำนักซู่ซินจงมีค่ายกลศิลาอยู่ คนนอกเข้ามาไม่ได้ เฉียวเวยตั้งใจจะออกไปรับปรมาจารย์คนนั้นด้วยตนเองตอนที่ประตูสำนักเปิดตอนฟ้าสาง ทว่าตอนนั้นเองปรมาจารย์ท่านนั้นก็ขึ้นเขามาแล้ว
เฉียวเวยเดินไปถึงไหล่เขาก็เห็นบุรุษสวมอาภรณ์ตัวยาวสีเทาหม่นเหินมาทางนางประหนึ่งห่านป่า บนแผ่นหลังเขาสะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง การเคลื่อนไหวรวดเร็วดุดันนัก
อากาศคล้ายจะถูกฟันแหวกเป็นสอง รอบด้านเริ่มมีสายลมแรงโหมกระหน่ำ ฝุ่นฟุ้งหินดีดกระเด็น ใบไม้ถูกเป่าจนส่งเสียงดังแสกสาก
สายลมกรรโชกพัดอาภรณ์ของเขาจนเกิดเสียงดังพรึ่บพรั่บ ดูแล้วองอาจห้าวหาญอย่างยิ่ง!
เวลานี้เฉียวเวยรู้สึกว่าตนเองกำลังมองห่านป่าตัวหนึ่ง แล้วยังเป็นห่านป่าที่เท่มากตัวหนึ่งอีกด้วย!
ไม่เสียทีเป็นอาจารย์ของมารดานาง เปิดตัวมาก็องอาจเช่นนี้แล้ว!
กึก!
ห่านป่าสุดเท่หยั่งเท้าบนกิ่งไม้ มองเฉียวเวยด้วยสีหน้าสุขุม
เฉียวเวยอุทานในใจ มิเสียทีเป็นยอดฝีมือ แม้แต่คุยยังต้องยืนคุยบนยอดไม้!
เฉียวเวยวิ่งเข้าไปแหงนหน้ามองเขา นางแย้มรอยยิ้มสว่างไสวบอกว่า “ข้าคือเฉียวเวย ขอถามท่านปรมาจารย์ใช่ยอดฝีมือที่แม่ข้าส่งมาหรือไม่”
คนผู้นั้นตอบเรียบๆ “นับตามรุ่นแล้ว เจ้าสมควรเรียกข้าว่าอาจารย์ตาฮั่ว”
เฉียวเวยเรียกเสียงหวาน “อาจารย์ตาฮั่ว!”
“อืม” อาจารย์ตาฮั่วตอบรับอย่างเฉยชา
เฉียวเวยยกมือขึ้นเหนือหน้าผากบังแสงแดดที่ทิ่มแทงตาแล้วบอกว่า “อาจารย์ตาฮั่ว ท่านรีบลงมาเถิด ข้าจะพาท่านไปที่พัก ข้าให้คนเก็บกวาดห้องของท่านไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านไปดูซิว่ายังมีสิ่งใดต้องการเพิ่มอีก!”
อาจารย์ตาฮั่วตอบว่า “ข้าลงไปไม่ได้”
เฉียวเวยงุนงง “เอ๋”
อาจารย์ตาฮั่ว “ข้าติด”
เฉียวเวย “…”
เฉียวเวยปีนต้นไม้ใหญ่สูงสิบกว่าเมตรเพื่อแกะกระบี่ยาวที่ติดอยู่กับกิ่งไม้ออกมาจากร่างของอาจารย์ตาฮั่ว หลังจากนั้นเฉียวเวยก็พาอาจารย์ตาฮั่วกลับที่พัก สำนักซู่ซินจงไม่เข้มงวดเหมือนเผ่าถ่าน่า การพาคนคุ้นเคยเข้าไปด้านในไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
จีหมิงซิวไปสำรวจภูมิประเทศของสำนักซู่ซินจง เจ้าตัวน้อยทั้งสามอยู่ที่สำนักศิษย์ใหม่ ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ทราบว่าเดินเตร่ไปที่ใด สรุปก็คือเขาไม่อยู่ภายในเรือน มีเพียงปี้เอ๋อร์กับบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ปัดกวาดไม่กี่คนเท่านั้น
เฉียวเวยโบกมือให้ปี้เอ๋อร์ “ปี้เอ๋อร์ มาคารวะปรมาจารย์ฮั่ว”
ปี้เอ๋อร์วางเสื้อผ้าที่ตากได้ครึ่งหนึ่งลง จากนั้นเดินมาคำนับอย่างนอบน้อม “ปรมาจารย์ฮั่ว”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เด็กคนนี้คือสาวใช้ประจำตัวของข้า เรื่องภายในเรือนล้วนเป็นนางที่จัดการ อาจารย์ตาฮั่วมีสิ่งใดต้องการสั่งก็เรียกข้าได้ตลอด หากข้าไม่อยู่ ท่านก็เรียกหานาง”
อาจารย์ตาฮั่วเป็นคนหน้าตายและประหยัดถ้อยคำ เขาขานอืมตอบเรียบๆ นับว่าตอบแล้ว
เฉียวเวยนำทางอาจารย์ตาฮั่วเข้ามาในห้อง จากนั้นก็วางสัมภาระที่น้อยจนน่าสงสารของอาจารย์ตาฮั่วไว้บนโต๊ะ นางรินชาให้อาจารย์ตาฮั่วถ้วยหนึ่ง “อาจารย์ตาฮั่ว เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องดื่มชาแล้ว” อาจารย์ตาฮั่วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเพียงสองคำ “การต่อสู้จะเริ่มเมื่อใด”
เฉียวเวยตอบว่า “ตามกฎของสำนักซู่ซินจง ศิษย์ที่ท้าสู้แพ้สามารถขอท้าสู้กับผู้อาวุโสทั้งหลายได้อีกหนภายในเวลาครึ่งเดือน ครั้งก่อนผ่านมาแล้วหนึ่งวัน ตอนนี้เหลืออีกสิบสี่วัน”
อาจารย์ตาฮั่วลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “ท่านจะไปที่ใด”
อาจารย์ตาฮั่วตอบโดยไม่หันกลับมามอง “หาสถานที่สักแห่ง ถ่ายทอดวิชาให้เจ้า”
เวลากระชั้นชิด เฉียวเวยจึงไม่พิธีรีตองกับอาจารย์ตาฮั่วแล้ว นางไล่ตามอาจารย์ตาฮั่วไป หาสถานที่คนน้อยแห่งหนึ่งริมทะเลสาบด้านหลัง
อาจารย์ตาฮั่วกล่าวว่า “แม่ของเจ้าเล่าสถานการณ์ของเจ้าให้ข้าฟังคร่าวๆ แล้ว ใช้กำลังภายในไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าจะต้องจับจุดสำคัญที่ข้าสั่งสอนเจ้าให้ได้ เท่านี้เจ้าก็จะหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายพบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบสนองก็โจมตีอีกฝ่ายเหี้ยมๆ ให้ล้มเสีย”
เฉียวเวยคล้ายจะมองเห็นความหวัง!
อาจารย์ตาฮั่ววางกระบี่ยาว “ข้าจะสอนท่าเท้าชุดหนึ่งให้เจ้าก่อน นี่คือท่าเท้าตระกูลฮั่วที่ข้าคิดค้นขึ้นเอง เมื่อเรียนท่าเท้าชุดนี้สำเร็จแล้ว คู่ต่อสู้ของเจ้าก็จะไล่ตามเจ้าไม่ทันอีก ดูให้ดี”
เฉียวเวยเบิ่งตาโต!
อาจารย์ตาฮั่วชี้ด้านหลังของเฉียวเวย “นั่นอะไรน่ะ”
เฉียวเวยหันขวับไปมอง ไม่เห็นมีอะไรนี่นา
พอหันกลับมาอีกหน เอ๋ อาจารย์ตาหายไปไหนเล้ว
เวลาเพียงพริบตาเดียวก็หายไปจนไม่เหลือแม้แต่เงา ท่าเท้าชุดนี้ร้ายกาจจริงๆ!
นางต้องเรียนให้ได้!
ตอนที่เฉียวเวยกำลังตื่นเต้นอย่างยิ่งอยู่นั่นเอง เสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากใต้เท้าของนาง “ดึงข้าขึ้นไปหน่อย ข้าตกลงมาในหลุม”