ตอนที่ 2,575 : ยืนหัวโด่

ได้ฟังคำอธิบายดังกล่าวของเฝิงชิง ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักเรื่องราวได้ทันที

‘แบบนี้นี่เอง’

มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอจะเข้าใจต้นตอของเรื่องราวแล้ว

ที่แท้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในมหาสหัสโลกธาตุ!

มหาสหัสโลกธาตุ คำดังกล่าวต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติมาแล้ว

มหาสหัสโลกธาตุนั้น เป็นคำที่ใช้เรียกหาโลกที่มีระนาบเทวโลกทั้ง 81 ระนาบ กับระนาบโลกียะจำนวนนับไม่ถ้วน รวมถึงระนาบอื่นๆรวมกัน…

กล่าวได้ว่า

มันคือสถานที่อันกว้างใหญ่ไร้ประมาณท่ามกลางสวรรค์และโลก

“มหาสหัสโลกธาตุกำลังปั่นป่วน…ที่แท้ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้หรอกหรือ!”

“ให้ตายเถอะ ข้าไม่คิดเลยว่าดวงของพวกเราจะดีบัดซบขนาดนี้! กลับได้พบกับช่วงเวลาที่มหาสหัสโลกธาตุกำลังปั่นป่วน ซึ่งมีโอกาสเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นเสียได้!!”

“ที่แย่ที่สุดก็คือ…ความแปรปรวนของมหาสหัสโลกธาตุรอบนี้กลับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว…หากข้าขึ้นสู่ระนาบเทวโลกเมื่อปีที่แล้ว ข้าคงไม่ต้องมาโผล่ยังหลิงหลัวเทียนที่ข้าไม่คุ้นเคยมารดามัน!”

“บ้าจริง! ข้าคิดว่าพอขึ้นมายังระนาบเทวโลกข้าจะได้ไปเข้าร่วมขุมพลังเดิมของข้า…แต่ไม่คิดเลยว่าข้ากลับไม่ได้ขึ้นมายังระนาบเทวโลกที่ใกล้ระนาบโลกียะข้าที่สุด!”

พอได้รับฟังคำอธิบายของเฝิงชิง เหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ก็รู้สาเหตุที่ทำให้พวกมันไม่ได้ขึ้นไปยังระนาบเทวโลกที่คุ้นเคยทันที

ที่แท้ทุกเรื่องราวเกิดขึ้นเพราะ ความปั่นป่วนของมหาสหัสโลกธาตุที่จะมีขึ้นทุกๆหมื่นปี…

“ลิขิตฟ้าไม่อาจฝืน…นี่สมควรเป็นโชคชะตาและวาสนาของพวกเรา!”

“ใช่แล้ว การที่พวกเราได้มาปรากฏที่นี่ ผู้ใดกล้าบอกได้ว่าเป็นเรื่องร้ายมิใช่พรหมลิขิต? ถึงจะเป็นการมาโผล่ที่นี่โดยบังเอิญ…แต่ไม่แน่ก่อนจะออกจากระนาบเทวโลกแห่งนี้กลับไปยังระนาบเทวโลกที่คุ้นเคย พวกเราอาจได้พบวาสนาอันใดก็ได้”

“แค่พูดมันก็ง่าย…จะพรหมลิขิต วาสนาหรือโชคชะตาอันใดก็แล้วแต่ พวกเจ้ามิได้ยินที่หวังเวยกล่าวเมื่อครู่หรือไร? หน้าใหม่อย่างพวกเราที่พึ่งขึ้นมา คิดจะเดินทางข้ามไปยังระนาบเทวโลกที่ต้องการมิใช่เรื่องง่าย…”

ในบรรดาเซียนอมตะสวรรค์ที่พึ่งมาถึงแม้จะมีหลายคนที่มองโลกในแง่ดี แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่เป็นอย่างนั้น

อย่างแรกยังแลดูคึกคักไม่เป็นไร อย่างหลังกลับแลดูเคร่งเครียด

“เงียบ!”

ทันใดนั้นเองมีเสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง สยบเสียงเซ็งแซ่ของทุกคนในสระกำเนิดเซียนอมตะทันที

เป็นชายหนุ่มร่างท้วมนามหวังเวยในชุดเกราะสีเงิน มองตวาดทุกคนไม่เว้นต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

หลังตะโกนกล่าวออกมาเสียงดังแล้ว มันก็ค่อยๆพูดออกมาเสียงหนัก “ข้าเรียกว่า หวังเวย เป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมายังระนาบเทวโลกจนกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่…”

“ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนเร่งก้าวออกมาจากสระกำเนิดอมตะ แล้วติดตามข้าไปลงทะเบียนเข้าค่ายเสีย…”

เจ้าหน้าที่ตอนรับ?

ค่าย?

ลงทะเบียน?

ได้ยินวาจาดังกล่าวของหวังเวย คนอื่นๆทั้งต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจกันอยู่บ้าง

ถึงแม้ทุกคนจะรู้เรื่องระนาบเทวโลกที่ต้องขึ้นมาคร่าวๆ แต่ทั้งหมดไม่รู้เลย

ว่าหลังจากขึ้นมายังระนาบเทวโลก ยังต้องไปลงทะเบียนเข้าค่ายอะไรทำนองนั้นด้วย…

ในระนาบโลกียะ ยังมีผู้ใดในที่นี้ไม่ใช่พยัคฆ์มังกร แต่ละคนล้วนคุ้นเคยกับอิสระบ้างก็กระทำตามแต่ใจ

แต่ตอนนี้ฟงัจากวาจาที่หวังเวยกล่าวออก…เจ้าหน้าที่ต้อนรับพาไปลงทะเบียนเข้าค่าย?

สังหรณ์อัปมงคลหนึ่งเริ่มผุดขึ้นในใจทุกคนทันที!

“หวัง…ใต้เท้าหวังเวย เรื่องลงทะเบียนเข้าค่ายเมื่อครู่หมายความว่าอะไร?”

ไม่นานก็มีผู้ที่พึ่งขึ้นมายังระนาบเทวโลกในรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวถามออกมา

“เลิกถามไร้สาระเสียที!”

อย่างไรก็ตามได้ยินคำถามของมัน หวังเวยเพียงหันไปมองตะคอกเสียงเย็นอย่างรำคาญ

หลังจากนั้นมันก็กวาดตามองเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ในสระกำเนิดเซียนอมตะไม่เว้นต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดุร้ายรอบหนึ่ง ค่อยกล่าวข่มขู่ออกมาเสียงเหี้ยม!

“ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าสามลมหายใจ! หากครบ 3 ลมหายใจแล้วยังมีหน้าไหนไม่ขึ้นมาจากสระกำเนิดเซียนอมตะ ก็ดูเจ้านั่นไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง!”

ท้ายประโยคขณะกล่าวออกเสียงเหี้ยม หวังเวยก็ชี้ไปทางชายหนุ่มในชุดหรูหราที่พึ่งจะลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าซีดเซียว และไม่กล้าหืออือต่อหน้าหวังเวยอีก

ถึงแม้ชายหนุ่มในชุดคุณชายมีระดับผู้นี้จะเกลียดชังทั้งเคียดแค้นหวังเวยจับใจแค่ไหน

อย่างไรก็ตามหลังได้รับทราบความแข็งแกร่งของหวังเวย และได้รู้ว่าตอนนี้มันได้อยู่ในระนาบเทวโลกแปลกถิ่น มันก็ไม่กล้าต่อต้านหวังเวยเหมือนก่อนหน้า…

มันได้แต่ฝังความแค้นที่มีต่อหวังเวยเอาไว้ในส่วนลึกของใจ เพียงเฝ้ารอวันใดที่พลังฝีมือมันเหนือกว่าหวังเวย มันจะล้างแค้นหวังเวยให้สาสม!

วูบ วูบ วูบ วูบ วูบ

ได้ยินวาจาเสียงเหี้ยมของหวังเวย เหล่าผู้คนในสระกำเนิดเซียนอมตะยกเว้นต้วนหลิงเทียนก็พากันหันไปมองสภาพชายหนุ่มแขนด้วนหน้ายับ ก่อนที่จะพากันหน้าเปลี่ยนสีทันที

ครู่ต่อมา

ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า! ซ่า!

ในชั่วพริบตาเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ทั้งหลายยกเว้นต้วนหลิงเทียน ก็รีบกระโจนออกไปจากสระกำเนิดเซียนอมตะเร็วไว ไม่กล้าชักช้า…

สุดท้ายก็ไปหยุดยืนเบื้องหน้าหวังเวยอย่างเรียบๆร้อยๆ และดูเชื่อฟังว่าง่ายราวลูกแมวเหมียว

ไม่ทันไรในสระกำเนิดเซียนอมตะ ก็เหลือต้วนหลิงเทียนเท่านั้น..

กล่าวให้ชัด มีต้วนหลิงเทียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์ไปแล้ว แต่ยังอยู่ในสระ!

สำหรับผู้คนที่อยู่ห่างจากต้วนหลิงเทียนและยังคงหลับตาอยู่ ซึ่งก็คือครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมาปรากฏตัวนั้น ทั้งหมดยังไม่ได้เป็นเซียนอมตะสวรรค์

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ออกไปเพราะเขายังจำได้ว่า…

เซี่ยเจี๋ย อาสามของเค่อเอ๋อจากดินแดนแห่งทวยเทพได้บอกเขาเอาไว้ว่า หลังจากที่เขาขึ้นมาถึงระนาบเทวโลกแล้ว ไม่ควรรีบร้อนออกจาสระกำเนิดเซียนอมตะ และควรขัดเกลาชีพจรสวรรค์ทั้ง 99 สายในร่างเสียก่อน…

เขาเชื่อว่าเซี่ยเจี๋ยไม่ได้กล่าวบอกเขาอย่างส่งเดชแน่นอน!

ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะรีบออกจากสระกำเนิดเซียนอมตะ เพราะหากเขาออกไปแล้วเขาจะไม่มีวันย้อนกลับลงมาได้อีก…

“เอ๋ ยังมีคนไม่ขึ้นมาอีกหรือ?”

ไม่นานก็มีเหล่าผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์หลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆหวังเวย หันกลับมามองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยความแปลกใจ

พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลย

ว่าในตอนนี้ยังมีคนที่หาญกล้าขัดคำหวังเวย และไม่ยอมขึ้นมาจากสระกำเนิดเซียนอมตะอยู่อีก

นี่มันไม่กลัวหวังเวยทำร้ายจนพิกลพิการและมีสภาพอนาถาเหมือนเจ้าด้วนหน้ายับนั่นหรือไร?

เพราะสุดท้ายตอนนี้ทั้งหมดก็ได้รับบทเรียนเพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว

“บางทีมันอาจจะเหม่อคิดอะไรอยู่…”

บรรดาเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่หลายคนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาออกมาหลังเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังยืนเฉย

เหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่ขึ้นมายืนรอคำสั่งหวังเวยอย่างเรียบๆร้อยๆแล้ว ก็พากันหันมองย้อนกลับไปยังสระกำเนิดเซียนอมตะ เพื่อชมดูต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจทันที

ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ยังคงยืนหัวโด่ในสระกำเนิดเซียนอมตะ ท่ามกลางเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ยังไม่ได้สติ จึงแลดูโดดเด่นเป็นพิเศษ…

“ไอ้หนู…เจ้าเหลือแค่ลมหายใจเดียว”

หวังเวยเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่ายังจะมีคนกล้าไม่ขึ้นมาตามสั่ง พาลให้หน้าของมันเปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันที

“หากข้าพูดจบแล้วเจ้ายังกล้าไม่ไสหัวขึ้นมา…ข้าจักตัดแขนตัดขาเจ้าอย่างละข้าง ทั้งยังจะย่ำเหยียบหน้าขาวๆของเจ้าให้แหลกคาตีน!”

กล่าวถึงท้ายประโยค หวังเวยที่มองจ้องหน้าหล่อๆของต้วนหลิงเทียนที่มีอานุภาพล่อลวงสตรีน้อยใหญ่นับหมื่นพันด้วยแววตาอิจฉาริษยา แลดูเกรี้ยวกราดขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว!

เพราะหากเทียบกับใบหน้าหล่อๆของต้วนหลิงเทียนแล้ว หน้าตาของมันดั่งฟ้ากลั่นแกล้งก็ไม่ปาน…

ถึงแม้ว่าในฐานะเซียนอมตะคนหนึ่งของระนาบเทวโลก การจะใช้พลังเปลี่ยนแปลงใบหน้าให้แลดูดีขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

อย่างไรก็ตามมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่กระทำเช่นนั้น

เพราะไม่ใช่เรื่องยากที่จะถูกผู้อื่นมองออก สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องกลายเป็นเรื่องชวนหัวของผู้อื่น…

ด้วยเหตุนี้หลายคนแม้หน้าตาจะแลดูอัปลักษณ์แต่ก็ยังคงรูปลักษณ์เดิมไว้ ด้วยไม่อยากตกเป็นขี้ปากผู้อื่น…

“หืม?”

เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ และคิดจะอธิบายให้หวังเวยรับฟังเหตุผลดีๆ

ว่าเขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องกระทำ และยังไม่อาจออกจากสระกำเนิดเซียนอมตะได้ จนกว่าจะเสร็จสิ้น…

ทว่าพอได้ฟังวาจาข่มขู่ดังกล่าวของหวังเวย สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลงทันที

“หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ข้าขึ้นจากสระกำเนิดเซียนอมตะไปแล้วจะย้อนกลับลงมาไม่ได้…ข้าจะขึ้นจากสระกำเนิดเซียนอมตะดูมันตอนนี้ ว่าเจ้าจะมีปัญญาทำลายแขนขาข้าอย่างไร ทั้งจะย่ำเหยียบหน้าข้าอย่างไร…”

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองหวังเวยด้วยสายตาเยียบเย็น กล่าวออกเสียงเข้ม

และเมื่อต้วนหลิงเทียนพูดวาจาดังกล่าวออกมา หวังเวยก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปทันใด

กระทั่งชายหนุ่มในชุดเกราะสีเงินอีกคนอย่าง เฝิงชิง ก็อึ้งไปไม่ต่าง มันมองต้วนหลิงเทียนในสระกำเนิดเซียนอมตะด้วยสายตางุนงง

ด้วยเพราะคิดไม่ออกจริงๆ

ว่าเหตุใดครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่คนนี้ ถึงยังกล้าหยิ่งผยองหลังได้เห็นความแข็งแกร่งของหวังเวย?

ไม่กลัวตายบ้างเหรอ?

สระกำเนิดเซียนอมตะตรงหน้า คือสระกำเนิดเซียนอมตะสำหรับครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งขึ้นมายังแดนสวรรค์หลิงหลัวเทียนไม่ผิดแน่

สำหรับเซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ที่ขึ้นมายังแดนสวรรค์หลิงหลัวเทียนนั้น จะไปปรากฏตัวในสระสวรรค์อีกแห่ง ซึ่งเป็นสระก่อร่างจินเซียนที่ตั้งอยู่สถานที่อื่น…

ดังนั้นมันจึงมั่นใจได้ว่า…

ชายหนุ่มในชุดสีม่วงเบื้องหน้าที่ยังคงแช่ร่างอยู่ในสระกำเนิดเซียนอมตะนั้น เป็นแค่ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่พึ่งกลายเป็นเซียนอมตะสวรรค์ ไม่ใช่เซียนอมตะเสเพล 9 ทัณฑ์ที่กลายเป็นจินเซียนแน่นอน!

และตอนนี้ไม่ใช่แค่หวังเวยกับเฝิงชิงเท่านั้นที่ตกใจกับคำพูดของต้วนหลิงเทียน

กระทั่งเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่ยืนเรียงกันหน้าสลอนอย่างเรียบๆร้อยๆไม่ไกลจากหวังเวย ก็อึ้งไปอยู่นานกว่าจะฟื้นสติ

“เอ่อ…เจ้านั่นมันเสียสติไปแล้วเหรอ?”

เซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่ฟื้นสติ พากันมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับเห็นผี…

“ตอนแรกมันยังไม่ทราบพลังฝีมือหวังเวยก็ไม่อาจนับเป็นอะไร…แต่ตอนนี้มันสมควรรับทราบแล้วว่าหวังเวยมีพลังฝีมือสูงต่ำเพียงใด แล้วไฉนมันยังกล้ากล่าววาจายั่วยุหวังเวยเช่นนี้อยู่อีก…มันเบื่อชีวิตแล้วหรือไร?”

“มีคนให้เห็นเป็นเยี่ยงแล้วแต่มันยังกล้าเอาอย่าง…แส่หาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆ!”

“มันละเมอหลงคิดว่าที่นี่ยังเป็นระนาบโลกียะของมันรึไร?”

เหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ทั้งหลายที่ขึ้นจากสระกำเนิดเซียนอมตะไปแล้วอดไม่ได้ที่จะมองต้วนหลิงเทียนพลางส่ายหัวไปมา ด้วยรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนพูดแบบนี้ดั่งรนหาที่แท้ๆ…

“ไอ้หนูหน้าขาว 3 ลมหายใจของเจ้าหมดแล้ว…”

ตอนนี้เองหวังเวยที่อึ้งไปพลันฟื้นคืนสติ มันมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเยียบเย็นทันนี ทั้งแลดูมีโมโหจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง!

“ข้าจะรอเจ้าจัดการเจ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน…ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะแช่อยู่ในนั้นชั่วชีวิต!”

หลังมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยวาจาอำมหิตจบคำ หวังเวยก็หันไปมองเฝิงชิงข้างๆค่อยพูดต่อว่า “เฝิงชิงเจ้าเอาเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ชุดนี้ไปลงทะเบียนแทนข้าได้เลย…ส่วนเซียนอมตะสวรรค์ชุดใหม่ข้าจะรอพาไปส่งเอง”

“เช่นนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเฝ้ารออันใด ไปส่งคนแล้วจักได้กลับไปบ่มเพาะของเจ้า…”

ไม่ว่าจะเป็นหวังเวยหรือเฝิงชิง ล้วนเป็นผู้ที่มีหน้าที่รับตัวเหล่าเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ไปลงทะเบียนทั้งสิ้น

หวังเวยมีหน้าที่รอรับครึ่งก้าวเซียนอมตะชุดเดียวกับที่ขึ้นมาไล่เลี่ยกับต้วนหลิงเทียน

ส่วนเฝิงชิงมีหน้าที่รอรับครึ่งก้าวเซียนอมตะที่จะขึ้นมาชุดหน้า…

ทว่าตอนนี้เพียงเพื่อรอจัดการกับต้วนหลิงเทียน หวังเวยจึงยอมสละโอกาสส่งงานและกลับไปบ่มเพาะ!