ตอนที่ 322-1 ชนะ ชนะ ชนะ! (2)

การต่อสู้กับผู้อาวุโสสามไม่ใช่เรื่องง่ายดายจริงๆ สู้กับนางเสร็จ เฉียวเวยก็เหนื่อยแทบแย่ นางขอหยุดพักยกแล้วเดินไปหลังเวที

ปี้เอ๋อร์เตรียมน้ำหวานเอาไว้ให้ก่อนแล้ว พอเห็นเฉียวเวยเดินเข้ามาก็รีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้แล้วเปิดกล่องอาหาร “ข้าต้มน้ำถั่วแดง น้ำถั่วเขียวกับน้ำบ๊วยมาให้เจ้าค่ะ ฮูหยินอยากดื่มน้ำอะไรเจ้าคะ”

เฉียวเวยเช็ดเหงื่อ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “น้ำบ๊วย!”

“เจ้าค่ะ!” ปี้เอ๋อร์ตักน้ำบ๊วยอุ่นร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้เฉียวเวย

เฉียวเวยจิบไปคำหนึ่งก็ทำปากแจ๊บๆ อย่างรังเกียจเดียดฉันท์ น้ำบ๊วยใส่น้ำแข็งอร่อยกว่ามาก น้ำบ๊วยแบบร้อนนี่รสชาติประหลาด ดื่มแล้วไม่ชินเอาเสียเลย

เฉียวเวยเปลี่ยนเป็นน้ำถั่วเขียวต้ม แต่ยังไม่ทันดื่มได้ถึงสองคำ ร่างที่กำลังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามายืนตรงหน้าเฉียวเวย แล้วต่อว่าอย่างโกรธเกรี้ยวยากจะระงับ “ของของพี่ใหญ่ข้ามาอยู่ในมือเจ้าได้เช่นไร”

เฉียวเวยมองนางแวบหนึ่งแล้วตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “เจ้าหมายถึงกริชเฟิ่นเทียนหรือ”

ศิษย์พี่หญิงรองเอ่ยเสียงเย็นชา “ก็กริชเฟิ่นเทียนน่ะสิ! เจ้าขโมยมาจากพี่ใหญ่ของข้าใช่หรือไม่”

เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “ก่อนอื่นยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้ามองข้าเป็นคนอย่างไร แต่เจ้าเห็นพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นอะไร เขาเป็นแม่ทัพน้อยแห่งจวนเทพสงครามหนานฉู่ผู้เก่งกาจ จะถูกสตรีนางหนึ่งปล้นสมบัติล้ำค่าที่อยู่บนตัวไปได้หรือ”

ศิษย์พี่หญิงรองแดกดัน “เจ้าก็รู้หรือว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า!”

เฉียวเวยตอบว่า “เพิ่งรู้” หมิงซิวบอกว่าอาภรณ์ไหมฟ้าหอกดาบฟันไม่เข้า น้ำไฟมิอาจกล้ำกราย แต่กริชเฟิ่นเทียนของแม่ทัพน้อยมู่กลับตัดมันขาดได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ว่ากริชเฟิ่นเทียนเป็นของดีชิ้นหนึ่ง มีค่าไม่น้อยไปกว่าผลสองภพสักผล

ศิษย์พี่หญิงรองกล่าวเสียดสี “เจ้าต่ำช้าไร้ยางอายและเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าใช้อุบายอะไรกับพี่ใหญ่ของข้า”

เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ชีวิตพี่ใหญ่ของเจ้า ข้าเป็นคนช่วยเอาไว้ ข้าจะต้องใช้อุบายอันใดกับเขาด้วยหรือ”

ศิษย์พี่หญิงรองอึ้งงัน “เจ้าช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของข้าเมื่อใด”

เฉียวเวยมองนางอย่างประหลาดใจ “อะไรกัน พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ ตอนอยู่เมืองหลวงของต้าเหลียง เขาถูกคนไล่ล่าจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่บังเอิญพบข้าเข้า ข้าจึงไล่มือสังหารพวกนั้นไป แล้วพาเขากลับบ้านมารักษาอย่างใส่ใจ เขาถึงเก็บชีวิตกลับมาได้อย่างหวุดหวิด”

“เจ้าพูด…ความจริงหรือ” ศิษย์พี่หญิงรองขมวดคิ้ว

เฉียวเวยดื่มน้ำถั่วเขียวอีกคำ “ไม่เชื่อเจ้าก็ไปถามพี่ใหญ่ของเจ้าดูสิ”

ศิษย์พี่หญิงรองคลายหมัดอย่างมิใคร่จะยินยอม นางไม่อยากยอมรับเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นพี่ใหญ่เป็นทูตเดินทางไปต้าเหลียงเพราะตั้งมั่นว่าจะล้างแค้นให้นาง เหตุไฉนจับพลัดจับผลูจึงกลายเป็นถูกสตรีนางนี้ช่วยเอาไว้เสียได้ แล้วยังต้องมอบกริชเฟิ่นเทียนให้นางเพื่อตอบแทนบุญคุณอีก! หากบิดาทราบเรื่อง ท่านคงตีพี่ใหญ่จนตาย!

“เจ้าคืนกริชเฟิ่นเทียนให้ข้าเสีย” ศิษย์พี่หญิงรองยื่นมือออกมา

เฉียวเวยหนังตาไม่กระตุกสักนิด “ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว เรื่องอะไรต้องคืนให้เจ้า ให้เจ้ายืม ข้ายังไม่อยากจะให้เลย”

ศิษย์พี่หญิงรองวางมือลง แล้วมองเฉียวเวยอย่างเย็นชา “เจ้าอย่าไร้ยางอายให้มันมากนัก! กริชเฟิ่นเทียนเป็นของตระกูลมู่ของพวกเรา! ใช่ของที่คนนอกเช่นเจ้าจะยึดครองไว้ได้หรือ”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่ของเจ้ามอบมันให้ข้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นมันย่อมเป็นของข้า มีความสามรถเจ้าก็มาแย่งมันเอง แต่ข้าขอเตือนเจ้า ฝีมือของข้าในตอนนี้ เกรงว่าเจ้ามีแต่จะถูกอัดน่วมอยู่ฝ่ายเดียว”

ศิษย์พี่หญิงรองโกรธจนสำลัก แต่นางไม่อาจไม่ยอมรับว่าเฉียวเวยพูดความจริง ตอนนั้นนางใช้แส้ทำร้ายเฉียวเวยบาดเจ็บได้ แต่ยามนี้เกรงว่าสิบแส้ก็ทำไม่ได้แล้ว แต่จะให้นางปล่อยไปเช่นนี้ ใจนางก็ไม่ยินยอม “ข้าขอเตือนเจ้า เรื่องกริชเฟิ่นเทียนอยู่ในมือเจ้า เจ้าอย่าได้โพนทะนาไปทั่ว! มันเป็นสมบัติตระกูลมู่ของพวกเรา หากบิดาของข้ารู้ว่าพี่ใหญ่ของข้ามอบมันให้เจ้า เขาจะต้องตีพี่ใหญ่ข้าตายแน่”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “บิดาของเจ้าดุปานนั้นเชียวหรือ”

ศิษย์พี่หญิงรองไม่ตอบ นางถลึงตาใส่เฉียวเวยแล้วเดินจากไปอย่างคับแค้น

หลายปีที่ผ่านมาผู้ที่มีความกล้าจะท้าสู้กับผู้อาวุโสมีไม่มาก ผู้ที่มีคุณสมบัติจะท้าสู้กับผู้อาวุโสก็มีไม่มาก ผู้ที่มีทั้งความกล้าและมีทั้งคุณสมบัติแทบจะน้อยนิดเท่าขนหงส์เกล็ดกิเลน และในหมู่จำนวนน้อยนิดปานขนหงส์เกล็ดกิเลนนั่นก็ยังไม่เคยมีสตรีนางใดมาก่อน การประลองระหว่างเฉียวเวยกับผู้อาวุโสทั้งห้าคน ตั้งแต่แรกก็เป็นเรื่องน่าตกตะลึงสำหรับสำนักซู่ซินจงอยู่แล้ว หลังจากเอาชนะผู้อาวุโสได้สามคน ความนิยมของเฉียวเวยก็แทบจะพุ่งถึงจุดสูงสุด อาวุธของผู้อาวุโสสามไม่เคยมีใครทำลายได้มาหลายสิบปี เฉียวเวยเป็นคนแรก

ศิษย์ทั้งหลายที่เดิมทียืนอยู่ฝั่งเดียวกับผู้อาวุโส ตอนนี้คาดหวังให้เฉียวเวยเอาชนะตลอดรอดฝั่งให้ได้จริงๆ

เฉียวเวยไปพักหลังเวที ทุกคนก็รอคอยอย่างร้อนรน

ด้านหลังวั่งซู จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์มีศิษย์ที่พยายามเข้ามาประจบโขยงใหญ่

ฉางไห่ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองคอยบีบนวดหัวไหล่ให้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสาม แม้แต่จูเอ๋อร์ ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋ก็ยังได้รับการปรนนิบัติบีบนวดจากเผ่ามนุษย์ด้วย พวกมันเพลิดเพลินอย่างที่สุด

บนทางเส้นน้อยใกล้กับลานประลอง รถม้าคันหนึ่งแล่นมาอย่างเชื่องช้า เวลานี้ทุกคนกำลังจับจ้องเวทีประลองตาเขม็ง ต้องการรู้ว่าเฉียวเวยจะออกมาเมื่อใด พวกเขาจึงไม่สนใจว่าใกล้ๆ มีรถม้าคันหนึ่งมาจอด บุรุษคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถม้า

บ่าวรับใช้คนหนึ่งค้อมกายคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้น บุรุษผู้นั้นเหยียบแผ่นหลังของเขาก้าวลงมาด้วยท่าทางสบายๆ

บ่าวรับใช้ที่สวมอาภรณ์ระดับสูงกว่าอีกคนหนึ่งก้าวตามลงมา

บุรุษผู้นั้นเดินไปยังอัฒจันทร์ของผู้อาวุโสทั้งหลาย

ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นเขาแล้ว