ตอนที่ 322-2 ชนะ ชนะ ชนะ! (2)
ใต้เท้าเจ้านักมองตามสายตาของนางไปจนเห็นบุรุษผู้นั้น เขาหายเข้าไปในม่านมุกอย่างรวดเร็วยิ่ง ทำให้แม้แต่ใบหน้าเต็มๆ ก็ยังไม่ทันเห็น เขาโยนเมล็ดแตงทิ้งลงในถาดอย่างรำคาญใจ “เหตุไฉนเจ้าจึงชอบมองบุรุษคนอื่นนัก”
ไม่นานบ่าวรับใช้คนหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังม่านมุก ลงจากอัฒจันทร์ด้านนั้นขึ้นมาบนอัฒจันทร์ด้านนี้ ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของทุกคน เขาเข้ามาข้างกายฟู่เสวี่ยเยียนแล้วพูดสองสามประโยคเป็นภาษาที่ใต้เท้าเจ้าสำนักฟังไม่เข้าใจ ฟู่เสวี่ยเยียนลุกขึ้นยืน
“เจ้าจะไปที่ใด” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบอย่างเย็นชา “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่าตามมา”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินลงจากอัฒจันทร์พร้อมกับบ่าวรับใช้คนนั้น ผู้พิทักษ์กับพวกศิษย์เอกทั้งหลายแม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับฟู่เสวี่ยเยียน อาจารย์บอกไว้แล้วว่าศิษย์พี่หญิงฟู่เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่ ทางที่ดีพวกเขาอย่าไปหาเรื่องนาง นางทำสิ่งใด พวกเขาจงพยายามอย่าเข้าไปยุ่ง
ฟู่เสวี่ยเยียนกับบ่าวรับใช้เดินขึ้นมาบนอัฒจันทร์ของผู้อาวุโสทั้งหลาย
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว ลุกขึ้นเดินลงจากอัฒจันทร์ มุ่งหน้าไปยังอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามบ้าง
จีหมิงซิวมองน้องชายแวบหนึ่ง แต่กลับไม่พูดอะไร เขาดื่มชาอย่างนิ่งสงบ
สายตาของศิษย์พี่ห้าจับอยู่บนร่างของฟู่เสวี่ยเยียนตั้งแต่ชั่วขณะที่นางลุกออกจากที่นั่งแล้ว ว่ากันตามตรงเขาก็สงสัยใคร่รู้ยิ่งนักเช่นกันว่า เหตุไฉนฟู่เสวี่ยเยียนไม่ไปด้านนั้นให้เร็วกว่านี้ หรือไม่ไปด้านนั้นให้ช้ากว่านี้ แต่ต้องไปด้านนั้นเวลานี้ นางเกี่ยวข้องอันใดกับบุรุษที่เพิ่งเข้าไปหลังม่านมุกเมื่อครู่
อัฒจันททร์ของผู้อาวุโสทั้งหลายมิใช่ว่าผู้ใดก็จะเข้าไปได้ ตรงทางเข้ามีลูกศิษย์ร่างกำยำพละกำลังมากสองคนเฝ้าอยู่ ใต้เท้าเจ้าสำนักย่อมถูกกันอยู่ด้านนอกอย่างไม่ต้องสงสัยสักนิด
“พวกเจ้าหลีก! ข้าจะขึ้นไป!” ใต้เท้าเจ้าสำนักสั่งอย่างไม่สบอารมณ์
ลูกศิษย์ทางฝั่งขวาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีคำสั่งจากผู้อาวุโส เจ้าขึ้นไปไม่ได้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองม่านมุกที่ปิดสนิทอยู่แล้วถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดนางจึงงขึ้นไปได้”
ศิษย์คนนั้นกล่าวว่า “นางได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากผู้อาวุโสแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วบุรุษคนนั้นเมื่อครู่เล่า ผู้อาวุโสก็อนุญาตเป็นพิเศษด้วยหรือ”
ลูกศิษย์คนนั้นมองเขาแล้วกอดอกเชิดคาง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเขย่งปลายเท้า ชะเง้อมองทางม่านมุกไม่หยุด คล้ายกับว่าจะมองเห็นบางสิ่งจากช่องว่างเล็กกระจิดริดพวกนั้นได้
“เขาเป็นใคร” บุรุษผู้นั้นจิบชาคำหนึ่งแล้วมองลงมาที่ใต้เท้าเจ้าสำนักซึ่งอยู่ด้านล่าง
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “คุณชายรองตระกูลจี”
“คนตระกูลจี” บุรุษผู้นั้นยิ้มอ่อนโยน “เจ้ารู้จักกับคนตระกูลจีด้วยหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างเย็นชา “ไม่รู้จัก”
บุรุษผู้นั้นอมยิ้ม “ข้าเห็นว่าเขาเหมือนจะรู้จักเจ้านะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ตอบ
บุรุษผู้นั้นรินชาร้อนถ้วยหนึ่งให้ตนเองแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าอาภรณ์ไหมฟ้าแดนหิมะถูกตัดขาด”
ฟู่เสวี่ยเยียนขานอืมตอบอย่างเฉยเมย
บุรุษผู้นั้นยกถ้วยชาขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วบอกว่า “หากเป็นเช่นนั้นกริชเฟิ่นเทียนก็ปรากฏแล้วสินะ”
“ไม่ทราบ” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยตอบ
สายตาของบุรุษผู้นั้นมองลอดผ่านช่องว่างของม่านมุกไปจับบนร่างจีหมิงซิวที่อยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม ความยอดเยี่ยมของม่านมุกเหล่านี้ก็คือด้านนอกมองเห็นด้านในไม่ชัด แต่ด้านในมองเห็นด้านนอกได้อย่างชัดเจน “คนผู้นั้นก็คือจีหมิงซิวหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ใช่”
บุรุษผู้นั้นยกมุมปากโค้ง เปลี่ยนถ้วยมาถือไว้ในมือซ้าย แล้วกุมมือนุ่มของฟู่เสวี่ยเยียนแผ่วเบา
ในที่สุดใต้เท้าเจ้าสำนักก็ผ่านด่านศิษย์สองคนนั้นไม่ได้ เขาคอตกกลับไปยังอัฒจันทร์ฝั่งของตนเอง แล้วนั่งลงข้างจีหมิงซิว เวลานี้ศิษย์คนหนึ่งก็ยกผลไม้เดินขึ้นมาพอดี ตอนที่เขายกผลไม้มาวางให้จีหมิงซิว เสียงแผ่วเบาก็เอ่ยบางอย่างข้างหูเขา
จีหมิงซิวเงยสายตาขึ้นมองฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถิด”
ศิษย์ผู้นั้นยกผลไม้ที่เหลือไปยังที่นั่งของคนอื่นอย่างไม่ทิ้งร่องรอยพิรุธสักนิด
ใต้เท้าเจ้าสำนักถามว่า “เมื่อครู่พวกเจ้าพูดอะไรกัน”
“ไม่มีอะไร” จีหมิงซิวตอบ
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ “ข้าได้ยินหมดแล้ว พูดถึงบุรุษที่เพิ่งมาใหม่คนนั้นฝั่งตรงข้ามใช่หรือไม่เล่า เขาคือผู้ใด”
จีหมิงซิวชะงักวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “พี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน”
…
เฉียวเวยพักได้พอประมาณแล้วจึงกลับขึ้นมาบนเวทีประลองพร้อมกับเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม นางขึ้นมาบนเวที ด้านล่างก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นเป็นเกลียวคลื่น เฉียวเวยโบกมือให้ทุกคนอย่างใจกว้างยิ่งนัก แถมยังส่งจูบให้อีกสองที
ใบหน้าของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีดำทะมึนในพริบตา
“คนนั้นคือผู้ใด” บุรุษผู้นั้นมองเวทีประลองแล้วตั้งคำถาม
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ภรรยาของจีหมิงซิว”
ในดวงตาของบุรุษผู้นั้นฉายแววมีเลศนัย “จั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าถ่าน่าน่ะหรือ”
ผู้อาวุโสรองลุกขึ้นยืนพร้อมกับลมปราณอันแข็งแกร่ง เตรียมตัวจะไปรับคำท้าประลองของเฉียวเวย เขาชมการต่อสู้มานานเช่นนี้ย่อมรู้วิธีต่อสู้ของเฉียวเวยจนกระจ่างดุจฝ่ามือแล้ว เขาไม่มีทางบุ่มบ่านเหมือนผู้อาวุโสห้าและไม่มีทางประมาทเช่นนั้นเหมือนผู้อาวุโสสี่ แล้วยังไม่มีจุดอ่อนเรื่องความล้ำลึกของกำลังภายในอย่างผู้อาวุโสสาม วิชาตัวเบากับวรยุทธ์อื่นของเขาไร้ช่องโหว่ให้โจมตี ไม่จำเป็นต้องหยิบยืมกำลังของศาสตราวุธ ไม่จำเป็นต้องพึ่งลูกไม้ใดๆ ก็บีบให้เฉียวเวยตายได้ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ
นี่ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสรองถือดี แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ทว่าในตอนที่ผู้อาวุโสรองกำลังจะเดินออกจากอัฒจันทร์นั่นเอง บุรุษที่อยู่ด้านหลังก็เรียกเขาเอาไว้ ผู้อาวุโสรองหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “จงแพ้ให้นาง”