เล่ม 1 ตอนที่ 323-2 มีข่าวดี

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 323-2 มีข่าวดี

บุรุษหนุ่มกลับมายังที่พัก ฟู่เสวี่ยเยียนพักผ่อนอยู่ในห้อง ซิ่วฉินกำลังพัดให้นางอยู่ เมื่อเห็นเขาเปิดม่านเดินเข้ามา ซิ่วฉินก็รีบวางพัดแล้วลุกขึ้นคำนับ

“เจ้าถอยออกไปเถิด” บุรุษหนุ่มเอ่ยสั่ง

ซิ่วฉินกะพริบตา หันไปมองคุณหนูของตน แม้ฟู่เสวี่ยเยียนจะหลับตาอยู่ แต่ก็ยกมือขึ้นโบกให้ออกไป ซิ่วฉินจึงก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก

บุรุษหนุ่มหยิบพัดขึ้นมาแล้วนั่งลงข้างกายฟู่เสวี่ยเยียน เขาพัดให้นางเบาๆ “กลายเป็นคนขี้ร้อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด”

ฟู่เสวี่ยเยียนหันหน้าเข้าไปด้านใน หันหลังให้เขา น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านมาทำอันใด”

บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ข้านำสุราลายบุปผาชั้นยอดมาให้เจ้า ตอนนี้เจ้าอยากลองชิมหรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไม่ล่ะ ข้ายังไม่อยากดื่มสุรา”

บุรุษหนุ่มอมยิ้ม “เจ้ามิใช่ว่าชอบดื่มสุราเป็นที่สุดหรอกหรือ”

“วันนี้ไม่อยากดื่ม” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

“ถ้าเช่นนั้นก็พรุ่งนี้” บุรุษหนุ่มเสนอ

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ตอบคำ มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ พลิกตัวมานอนตะแคงข้าง เรือนร่างงามชวนให้คนหายใจติดขัด

สายตาของบุรุษผู้นั้นเคลื่อนจากร่างของนางไปจนถึงเหนือศีรษะของนาง รอยยิ้มหุบหายไปก่อนจะถามว่า “ติดต่อฉางเฟิงสื่อได้หรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ติดต่อได้แล้ว”

“ได้ของมาหรือไม่” เขาเอ่ยถาม

“ไม่ได้” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

“เหตุใดจึงยังไม่ได้มา” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหายไปอย่างสิ้นเชิง

มือข้างหนึ่งของฟู่เสวี่ยเยียนจับผ้าเช็ดหน้า ตอบอย่างไม่รีบร้อน “ข้าส่งจดหมายติดต่อกับฉางเฟิงสื่อได้เพียงไม่กี่ฉบับ ยังไม่ทันได้พบหน้าเขา เขาก็ถูกคนตระกูลจีจับได้พาตัวไปเสียก่อน”

“จดหมายเล่า” บุรุษหนุ่มถาม

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างเฉยชา “ในกล่อง”

เขามองกล่องลวดลายงดงามบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นหยิบมันมาเปิด พลิกอ่านจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า พออ่านจบ ก็ยิ้มเรียบๆ เอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเขาเคยไปเยือนเผ่าถ่าน่าแล้ว รู้ชาติกำเนิดหมดแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉางเฟิงสื่อเหตุใดจึงยังไม่ลงมืออีก”

ฟู่เสวี่ยเยียนขยับมือเล่นผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เรื่องนี้คงต้องถามฉางเฟิงสื่อแล้ว ข้าทราบมาเพียงเท่านี้ ข้าเคยคิดจะช่วยฉางเฟิงสื่อออกมา แต่ข้าไม่ทราบว่าพวกเขาจับฉางเฟิงสื่อไปไว้ที่ใด ต่อมาพวกเขาเดินทางมาสำนักซู่ซินจง ข้าจึงตามมาด้วย”

บุรุษหนุ่มวางจดหมายกลับไปไว้ในกล่อง ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างชื่นชมและปลาบปลื้ม “เจ้าทำได้ดีอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเจ้าเข้าไปติดกับเพราะฉางเฟิงสื่อเพียงคนเดียว ฉางเฟิงสื่อถูกเปิดโปง ตระกูลจีย่อมต้องสงสัยเผ่าเยี่ยหลัวแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขา…คงไม่ได้สงสัยเจ้ากระมัง”

ฟู่เสวี่ยเยียนหลุบตาลง “ข้าไม่ทราบ”

บุรุษหนุ่มหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าหนูคนนั้น เมื่อครู่ยังรอเจ้าอยู่ข้างนอกอยู่เลย เจ้ากับเขามีอะไรกัน เขาจึงคะนึงหาเจ้าไม่วายเช่นนี้”

ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองเขาอย่างเย็นชา เขายกมุมปากยิ้ม “ข้าล้อเล่น เย็นย่ำแล้ว ข้าจะให้คนจัดโต๊ะอาหาร”

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่พูดอันใด นางลุกขึ้นมานั่งอย่างอ้อยอิ่ง

บุรุษผู้นั้นเรียกคนให้จัดอาหารชั้นเยี่ยมขึ้นเต็มโต๊ะใหญ่ ทั้งหมดมีแต่ของที่ฟู่เสวี่ยเยียนชอบกิน ฟู่เสวี่ยเยียนกลับนั่งอยู่บนม้านั่ง ชักช้ามิยอมขยับตะเกียบเสียที

บุรุษหนุ่มหันมามองนาง แล้วถามเสียงอ่อนโยน “เป็นอันใดไป ไม่ถูกปากหรือ”

“เปล่า” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ

บุรุษผู้นั้นหยิบปูทะเลตัวหนึ่งมาแกะขาที่ทั้งอวบทั้งเนื้อแน่นวางไว้ในชามของฟู่เสวี่ยเยียน แล้วแกะกระดองปูออก มันปูกลิ่นหอมไหลเยิ้ม “นี่เป็นปูชนิดที่เจ้าชอบกินที่สุดเชียวนะ”

ฟู่เสวี่ยเยียนมองขาปูกับเนื้อปูที่อยู่ในชาม แล้วบอกเสียงเรียบเฉย “วันนี้ข้าไม่อยากกินปู”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน “วันนี้เจ้าทำตัวแปลกนัก สุราก็ไม่ดื่ม ปูก็ไม่กิน ได้ออกมาข้างนอก เห็นอะไรๆ มากเข้า หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้วหรืออย่างไร”

ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบไข่ปูเม็ดน้อยเข้าปาก บุรุษผู้นั้นหยิบชามของนางออก แล้วบอกว่า “ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง ข้าจะให้คนเปลี่ยนอาหารชุดใหม่มาขึ้นโต๊ะ”

“คุณชาย คนของสำนักซู่ซินจงมาขอพบเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้รายงานจากด้านนอก

“ผู้ใด” บุรุษหนุ่มถามด้วยเสียงทรงอำนาจ

บ่าวรับใช้ตอบว่า “ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักสวี่เจ้าค่ะ”

บุรุษหนุ่มวางตะเกียบลงแล้วสั่งบ่าวรับใช้ “ให้เขาเข้ามา”

“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ถอยออกไป ไม่นานศิษย์พี่ห้าก็มีคนนำทางเข้ามา

เห็นชัดว่าศิษย์พี่ห้าสืบข่าวมาแล้ว เขาทราบว่าบุรุษที่เข้ามาระหว่างประลองผู้นั้นคือพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน ในเมื่อเขาชื่นชอบฟู่เสวี่ยเยียน เขาย่อมนำของขวัญมาแสดงความเคารพต่อพี่ชายของนาง เขาหิ้วสุราดอกกุ้ยฮวาชั้นเลิศสองไหเข้ามาในห้อง พอก้าวข้ามธรณีประตูเห็นฟู่เสวี่ยเยียนสวมผ้าปิดหน้าอยู่ เขาก็อดไม่ได้เสียดายอยู่พักหนึ่ง รู้จักฟู่เสวี่ยเยียนมานานขนาดนี้แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าตาของนางเลย ช่างน่าสงสัยใคร่รู้เสียจริง

แต่พี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียนเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ นางก็น่าจะไม่ด้อยกว่าไปถึงที่ใดกระมัง

ศิษย์พี่ห้าเก็บความคิดแล้วทักทายอย่างมีมารยาท “ฟู่ปั๋วเจินคารวะศิษย์พี่ฟู่ คารวะศิษย์พี่หญิงฟู่ วันนี้ได้ทราบว่าศิษย์พี่ฟู่กลับมาจากการเดินทาง จึงตั้งใจนำสุราดอกกุ้ยฮวาชั้นเลิศสองไหมามอบให้ศิษย์พี่ลิ้มลอง สุราดอกกุ้ยฮวาสองไหนี้เป็นของที่สำนักซู่ซินจงบ่มด้วยตนเอง เก็บดอกกุ้ยฮวาจากยอดเขาซู่ซิน กลิ่นหอมจรุงใจผู้คน รสชาติหวานอ่อนๆ อร่อยลิ้น ท่านอาจารย์กับผู้อาวุโสทั้งหลายต่างชื่นชอบยิ่งนัก”

บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ศิษย์น้องห้าใส่ใจแล้ว”

แววตาของศิษย์พี่ห้าหยุดบนใบหน้าของฟู่เสวี่ยเยียน “นอกจากสุราดอกกุ้ยฮวาแล้ว สำนักซู่ซินจงก็ยังมีสุราดอกท้อด้วย รสชาติของสุราดอกท้อจะหวานกว่าสุราดอกกุ้ยฮวาเล็กน้อย หากศิษย์พี่หญิงฟู่ชอบ ข้าจะกลับไปนำมามอบให้สักหน่อย”

ฟู่เสวี่ยเยียนคร้านจะสนใจเขา ในตอนนี้เองเสียงฉุนเฉียวของใต้เท้าเจ้าสำนักก็ดังมาจากนอกเรือน “เหตุใดคนแซ่ฟู่เข้าไปได้ แต่ข้าเข้าไปไม่ได้ ที่นี่ก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสทั้งหลายเป็นกรณีพิเศษจึงจะเข้าไปได้หรือ พวกเจ้าสำนักซู่ซินจงอย่ารังแกผู้อื่นถึงขนาดนี้ได้หรือไม่”

ศิษย์พี่ห้าขมวดคิ้ว พึมพำเสียงเบา “เจ้าสารเลวคนนั้นอีกแล้ว!”

บุรุษหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ฟังจากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนจะรู้จักคนผู้นั้นนะ”

ศิษย์พี่ห้าตอบอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า “ศิษย์พี่ฟู่คงมิทราบ คนผู้นั้นคือคุณชายรองตระกูลจี น้องชายแท้ๆ ของศิษย์พี่สี่ของข้า เขาเป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายที่สุด วันๆ เอาแต่เกาะแกะศิษย์พี่หญิงฟู่ ศิษย์พี่หญิงฟู่รำคาญจนเหลือจะทน เคยเตือนเขาว่าอย่ามาสร้างความรำคาญให้ตนอย่างชัดเจนแล้ว แต่เขาก็ไม่ฟัง”

บุรุษผู้นั้นยังยิ้มไม่คลาย “ในเมื่อมาหาน้องสาวของข้าก็ให้เขาเข้ามาเถิด”

ขนตาของศิษย์พี่ห้ากระพือไหว แม้ใจไม่ยินยอมแต่ก็ไม่กล้าค้าน ได้แต่ปล่อยให้บ่าวรับใช้พาใต้เท้าเจ้าสำนักเข้ามา

ใต้เท้าเจ้าสำนักเข้ามาในห้องได้ก็มองศิษย์พี่ห้าด้วยสายตาดูแคลนเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นสายตาจึงจับอยู่บนใบหน้าของบุรุษหนุ่ม “เจ้าเป็นพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน คู่หมั้นของศิษย์น้องเล็กหรือ”

บุรุษผู้นั้นตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ใช่แล้ว ข้าเอง เจ้าคือคุณชายรองของตระกูลจีหรือ”

“ใช่แล้ว!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบ

บุรุษผู้นั้นหัวเราะอย่างนุ่มนวล “คู่หมั้นของข้าได้ตระกูลจีดูแล ข้าต้องขอขอบคุณเจ้า”

คนโง่ก็ฟังออกว่าเขาพูดถึงเรื่องที่ศิษย์น้องเล็กหนีงานแต่งไปหลบอยู่ในตระกูลจี ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขารู้ได้อย่างไร แต่ในคำพูดของเขาไม่มีแววตำหนิให้เห็นแม้สักนิด เขาดูเหมือน…กำลังขอบคุณอยู่จริงๆ

ตัวใต้เท้าเจ้าสำนักเกิดมาพร้อมใบหน้าที่ทำให้สวรรค์คั่งแค้นผู้คนแค้นใจ ทุกวันเขาส่องกระจกเห็นตนเองแล้วไปเห็นคนอื่นก็ไม่รู้สึกว่ามีผู้ใดหน้าตาดีอีกแล้ว ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียนเป็นบุรุษผู้มีรูปโฉมและกิริยาท่าทางรวมไปถึงจิตใจอันยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มอบอุ่นของเขาทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้อย่างห้ามตัวเองไม่ได้

เมื่อคิดเช่นนี้ น้ำเสียงของใต้เท้าเจ้าสำนักก็อ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว “ไม่ต้องเกรงใจ คนกันเองทั้งนั้น”

ศิษย์พี่ห้ากัดฟัน หน้าไม่อายจริงๆ ผู้ใดเป็นคนกันเองกับเจ้า

บุรุษผู้นั้นถามอย่างนุ่มนวล “พวกเรากำลังทานอาหารกันอยู่ ทั้งสองท่านจะร่วมด้วยหรือไม่”

ศิษย์พี่ห้ารีบตอบว่า “เป็นเกียรติอย่าง…”

“ไม่ล่ะ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักขัดคำพูดของศิษย์พี่ห้า “พวกเจ้าสองพี่น้องกว่าจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน พวกเรายังมีธุระ ไม่รบกวนแล้ว!”

ศิษย์พี่ห้า “ข้า…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกระชากแขนเสื้อ “ไปสิ! อาจารย์ของเจ้ากำลังหาตัวเจ้าอยู่!”

ศิษย์พี่ห้าถูกลากออกมา ด้วยวรยุทธ์ของเขาย่อมไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตนเองมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ แต่เขาไม่อยากให้ศิษย์พี่ฟู่กับศิษย์พี่หญิงฟู่จดจำภาพลักษณ์หยาบคายของตนเองจึงได้แต่ข่มกลั้นโทสะเดินออกมา

เขาสะบัดมือของใต้เท้าเจ้าสำนักออกแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้ารนหาที่ตายใช่หรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบว่า “เอ๋ เจ้าพูดดังอีกสักหน่อยสิ เดี๋ยวคนด้านในห้องจะฟังไม่ได้ยิน”

ศิษย์พี่ห้าหันไปมองเรือนด้านหลัง แล้วกดเสียงเบา “หนนี้เห็นแก่หน้าศิษย์พี่ฟู่ ข้าจะละเว้นเจ้า แต่ทางที่ดีเจ้าอย่าได้มาทำลายเรื่องดีงามของข้า มิฉะนั้นเจ้าจะได้เห็นดีแน่!”

ภายในเรือน พ่อครัวทั้งหลายเตรียมสุราอาหารชุดใหม่มาขึ้นโต๊ะ ปลาน้ำแดง เป็ดทอดกรอบ น่องไก่นึ่งซีอิ๋ว เห็ดผัด หมูสามชั้นผัดต้นหอม เต้าหู้เส้นคลุกซีอิ๋ว ยำสาหร่าย ถั่วต้มพะโล้ แล้วยังมีเห็ดหูหนูขาวต้มเม็ดบัวหม้อน้อย

บุรุษหนุ่มตักเห็ดหูหนูขาวต้มเม็ดบัวถ้วยหนึ่งมาวางไว้ข้างมือนางแล้วเอ่ยเสียงเบา “เปลี่ยนมาเป็นรสชาติแบบจงหยวนแล้ว เจ้าดูสิว่าหนนี้ถูกใจเจ้าหรือไม่”

ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วคีบเห็ดชิ้นหนึ่งเข้าไปในปาก

“ข้าเห็นว่าหลายวันนี้เจ้าผอมลง กินอาหารไม่ค่อยลงหรืออย่างไร” บุรุษหนุ่มพูดพลางคีบน่องไก่ชิ้นหนึ่งให้นาง

ฟู่เสวี่ยเยียนมองน่องไก่มันเยิ้มแล้วใช้มือปิดปาก

“เป็นอะไร เจ้าดูทรมานยิ่งนัก” บุรุษหนุ่มจ้องมองขณะเอ่ยถาม

ฟู่เสวี่ยเยียนเอามือออก “ไม่มีอะไร”

บุรุษหนุ่มตอบว่า “หากเจ้าไม่สบาย ข้าจะเชิญหมอมาให้เจ้า”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ได้ป่วย”

บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็รีบกินข้าว กินเนื้อให้มากหน่อย เพิ่มน้ำหนักที่หายไปให้กลับคืนมา”

สายตาของฟู่เสวี่ยเยียนจับจ้องบนน่องไก่ ดวงตาฉายแววรังเกียจวูบหนึ่งแต่ก็กลั้นใจทนคีบขึ้นมากัดเบาๆ

“รสชาติเป็นอย่างไร” บุรุษหนุ่มถามอย่างเอาใจใส่

“ไม่เลว” ฟู่เสวี่ยเยียนคีบยำสาหร่ายขึ้นมาเล็กน้อย แล้วกินอย่างตั้งอกตั้งใจ

บุรุษหนุ่มแกะก้างปลา จากนั้นวางเนื้อปลาลงในชามของนาง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่กินเผ็ด”

ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ตอนนี้กินเป็นแล้ว”

บุรุษหนุ่มถามอีกว่า “เปรี้ยวก็กินเป็นแล้วหรือ”

ฟู่เสวียนเยียนจึงตอบอีกว่า “ไม่เปรี้ยวจะดีกว่า”

บุรุษผู้นั้นหันไปสั่งด้านนอก “เข้ามานี่ซิ ยกยำสาหร่ายจานนี้ออกไป เปลี่ยนเป็นแบบที่ไม่ใส่น้ำส้มมาแทน”

“ไม่ต้องแล้ว” ฟู่เสวี่ยเยียนว่าอย่างรำคาญ “เพียงกินข้าวมื้อเดียว ไม่ต้องวุ่นวายไปวุ่นวายมามิจบสิ้น”

บุรุษหนุ่มกุมมือซ้ายของฟู่เสวี่ยเยียนแล้วเอ่ยอย่างรักใคร่ “ได้ ฟังเจ้าทุกอย่าง”

ฟู่เสวี่ยเยียนชักมือกลับ ถือชามขึ้นมาแล้วเริ่มกินข้าว

บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นมาว่า “สองคนนั้นเมื่อครู่มักจะมาเกาะแกะเจ้าหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนชะงักวูบหนึ่งแล้วตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ฟู่ปั๋วเจินไม่ได้ทำ คนผู้นี้ค่อนข้างรู้จักรุกรู้จักถอย ไม่ดันทุรังตามตื๊อ ของที่มอบให้ก็ค่อนข้างถูกใจข้าอยู่”

“เจ้าชอบเขามากหรือ” บุรุษหนุ่มคลี่ยิ้ม

“ไม่” ฟู่เสวี่ยเยียนปฏิเสธอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

บุรุษหนุ่มกินเห็ดหูหนูขาวต้มเม็ดบัวหนึ่งคำ รอยยิ้มที่มุมปากดูเฉยชาราวกับดอกบัวกลางความมืด

ศิษย์พี่ห้าเดินกลับเรือนอย่างหงุดหงิด พอเขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนของฟู่เสวี่ยเยียน ความโกรธก็ทะลักทลายออกมารวมกัน หากไม่ใช่เจ้าเด็กคนนั้นเข้ามาสอด ตอนนี้เขาก็คงร่วมโต๊ะทานอาหารกับศิษย์พี่ฟู่กับฟู่เสวี่ยเยียนแล้ว ศิษย์พี่ฟู่เป็นพี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน ขอเพียงประจบเอาใจเขาได้ การแต่งงานของตนกับฟู่เสวี่ยเยียนก็มีหวังแล้ว!

แต่เจ้าโง่น่าตายคนนั้นกลับทำเสียเรื่องหมด!

“ศิษย์พี่ห้า กินข้าวได้แล้วขอรับ!” ศิษย์น้องคนหนึ่งหิ้วกล่องอาหารเข้ามา

อาหารที่นี่จะอร่อยสู้อาหารของเรือนฟู่เสวี่ยเยียนได้เช่นไร เขาเห็นอาหารบนโต๊ะนั่นหมดแล้ว อุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าของที่ยกขึ้นโต๊ะให้ท่านอาจารย์เสียอีก

“ไม่กินแล้ว ข้าจะไปฝึกระบี่!” เขาชักกระบี่ยาวออกมา

ศิษย์น้องขานตอบคำหนึ่งก็หิ้วกล่องอาหารไปรออยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย

ศิษย์พี่ห้าใช้เพลงกระบี่ ปลายกระบี่ขยับจนเกิดเป็นประกายคล้ายบุปผาอยู่ใต้ต้นท้อ ขณะที่เขาเหินร่างขึ้นไปบนหลังคา คิดจะยืมแรง เหินวกกลับไปเหยียบบนกิ่งต้นท้อนั่นเอง จู่ๆ แผ่นหลังก็ถูกบางสิ่งจู่โจม ร่างกายเขาแข็งทื่อ ร่วงตกลงมาจากหลังคาอย่างแรง…

ศิษย์น้องตกใจ หิ้วกล่องอาหารวิ่งเข้ามา ตบหัวไหล่ของศิษย์พี่ห้าแล้วถามอย่างตระหนกลนลาน “ศิษย์พี่ห้า ศิษย์พี่ห้า ศิษย์พี่ห้า! ใครก็ได้มานี่หน่อย! ศิษย์พี่ห้าเกิดเรื่องแล้ววว”

ในเวลานี้เรือนอีกหลังหนึ่งยังไม่รู้เรื่องที่ศิษย์พี่ห้าฝึกวรยุทธ์แล้วเกิดอุบัติเหตุ อาหารทั้งหมดถูกจัดวางบนโต๊ะ คนทั้งครอบครัวนั่งรออยู่ที่โต๊ะ เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามมองนอกประตูตาปริบๆ อารองเหตุไฉนจึงยังไม่กลับมาอีก เขาไปทำอะไรจึงมาช้า เรื่องกินข้าวเขาไม่เคยสายมาก่อน…

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้ามาในห้องอย่างสบายอกสบายใจ

เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “วิ่งไปที่ใดมาอีกแล้ว ทั้งครอบครัวรอเจ้ามากินข้าวอยู่นะ”

“ผู้ใดบอกให้พวกเจ้ารอกัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งลงข้างกายจิ่งอวิ๋นแล้วขยับไปหยิบตะเกียบ เฉียวเวยตีหลังมือของเขา “ไปล้างมือ!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ ปี้เอ๋อร์ยกน้ำร้อนมา เขาล้างอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นชูมือขาวผ่องประหนึ่งยกขึ้นมา “เท่านี้พอใจแล้วหรือไม่”

เฉียวเวยตักข้าวให้เขา เขาพุ้ยเข้าปากคำใหญ่

จีหมิงซิวคีบอาหารให้เฉียวเวยก่อน หลังจากนั้นจึงให้เขากับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งหลาย พวกเขากำลังจะลงมือกิน ทันใดนั้นปี้เอ๋อร์ก็เดินเข้ามาบอกว่า “ฮูหยิน ด้านนอกมีคนมาหาเจ้าค่ะ”