ตอนที่ 324-1 แพ้ท้อง ข้อแลกเปลี่ยน
เฉียวเวยเดินออกมาจากเรือนก็เห็นบ่าวรับใช้อายุน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู บ่าวรับใช้ไม่ได้สวมอาภรณ์ของสำนักซู่ซินจง ดังนั้นเขาคงไม่ใช่คนของสำนักซู่ซินจง เฉียวเวยเดินเข้าไปหา “เจ้ามาหาข้าหรือ”
บ่าวรับใช้ประสานมือคำนับ “ผู้น้อยหลินชวน คารวะจีฮูหยิน”
คำว่าจีฮูหยินคำนี้ประจบเฉียวเวยได้สำเร็จ เฉียวเวยอมยิ้มมองเขา “เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใด”
หลินชวนเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “นายท่านของข้าสั่งให้หลินชวนมาส่งบอกกล่าวฮูหยินอย่างเงียบๆ สองสามคำ”
“นายท่านของเจ้าคือผู้ใด มีถ้อยคำจะพูดกับข้าเหตุไฉนจึงไม่มาด้วยตัวเอง หรือเขารังเกียจว่าฐานะของข้าไม่คู่ควรให้เขามาพบหน้า” เฉียวเวยถาม
หลินชวนประสานมือคำนับ ตอบว่า “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว นายท่านของข้าไม่เคยมีเจตนาจะถูกแคลนฮูหยิน เพียงแต่ช่วงเวลานี้เขามีธุระ มิอาจผละตัวมาได้ จึงต้องให้ผู้น้อยเดินทางมาแทน ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วย”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ กล่าวขึ้นว่า “ผละตัวมาไม่ได้อะไรกัน เห็นชัดๆว่าไม่สะดวกมาปรากฏตัว เอาเถิด ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากแล้ว เจ้าว่ามาเถิด นายท่านของเจ้าให้เจ้ามาบอกอะไร”
หลินชวนยิ้ม “นายท่านของข้าบอกว่า ขอเพียงฮูหยินยอมรับปากเงื่อนไขของเขา ตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจงก็จะเป็นของฮูหยิน”
เฉียวเวยไม่รีบร้อนถามว่าเงื่อนไขอันใด แต่ยิ้มเฉยชาเอ่ยว่า “ตำแหน่งเจ้าสำนักต้องชนะผู้อาวุโสทั้งห้าจึงจะได้มา นายท่านของเจ้าน่าจะรู้เรื่องนี้กระมัง”
หลินชวนชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากนายท่านของข้าไม่ทราบ ฮูหยินคิดว่าวันนี้เหตุใดตนจึงเอาชนะผู้อาวุโสรองได้เล่า”
เฉียวเวยหรี่ตาลง “ข้าก็ว่าแล้วว่ามีบางสิ่งแปลกๆ ขอเดาว่าพวกเจ้าคงเป็นคนลงมืออยู่เบื้องหลังสินะ นายท่านของเจ้าคงมีความเป็นมาไม่ใช่เล็กๆ ถึงกับบังคับผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งสำนักซู่ซินจงได้”
หลินชวนยิ้มกว้าง “ฮูหยินกล่าวหนักเกินไปแล้ว นายท่านของข้าไม่ได้ควบคุมผู้อาวุโสทั้งหลาย เพียงแต่ผู้อาวุโสทั้งหลายเคยติดค้างไมตรีจากนายท่านของข้า หนนี้จึงสมควรตอบแทนนายท่านของข้าก็เท่านั้น”
เฉียวเวยเหล่มองเขา “ไมตรีอะไรกันถึงต้องเอาสำนักซู่ซินจงทั้งสำนักมาแลก”
หลินชวนยิ้ม ตอบว่า “ฮูหยินท่านเพียงตอบว่าท่านอยากเป็นเจ้าสำนักซู่ซินจงหรือไม่เท่านั้น หากอยากเป็นก็ร่วมมือกับนายท่านของข้า หากไม่อยากเป็น ถ้าเช่นนั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่เคยมาเยือน”
เฉียวเวยตอบอย่างขบขัน “เจ้าอาศัยอะไรจึงคิดว่าข้าเอาชนะผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้”
หลินชวนตอบว่า “ฮูหยินมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาก็จริง แต่วรยุทธ์มิใช่สิ่งที่จะฝึกก้าวเดียวก็บรรลุ จุดนี้เชื่อว่าฮูหยินจะเข้าใจยิ่งกว่าข้าน้อย”
เฉียวเวยกระแอม แล้วถามอย่างหยิ่งยโส “นายท่านของเจ้าต้องการให้ข้ารับปากเงื่อนไขอันใด”
หลินชวนตอบว่า “นายท่านของข้าต้องการยืมของบางสิ่งจากฮูหยิน”
“ของสิ่งใด” เฉียวเวยถาม
หลินชวนมองดวงตาของเฉียวเวยด้วยแววตาลุ่มลึก แล้วตอบว่า “กริชที่คมที่สุดกับกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า”
กริชที่คมที่สุดไม่ใช่กริชเฟิ่นเทียนหรือ กระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดก็คงเป็นกระบี่โหราจารย์อย่างมิต้องสงสัย
พวกเขาจะนำของสองสิ่งนี้ไปทำสิ่งใด
แน่นอนเมื่อเทียบกับคำถามที่ว่าอีกฝ่ายต้องการพวกมันไปทำสิ่งใด เฉียวเวยสงสัยใคร่รู้มากกว่าว่าเหตุไฉนอีกฝ่ายจึงทราบว่าตนเองมีกริชเฟิ่นเทียนกับกระบี่โหราจารย์อยู่ในมือ
จะรู้เรื่องกริชเฟิ่นเทียนก็ไม่แปลกเพราะวันนี้นางเพิ่งใช้ไป กริชที่สะบั้นอาภรณ์ไหมฟ้าแดนหิมะได้ แน่นอนว่าสมควรเป็นกริชที่คมที่สุดในใต้หล้า แต่กระบี่โหราจารย์เล่า เขารู้ได้เช่นไรว่านางมีกระบี่โหราจารย์อยู่
แววตาของเฉียวเวยฉายแววระแวงขึ้นมาทันที
หลินชวนคล้ายคาดเดาปฏิกิริยานี้ของเฉียวเวยมาล่วงหน้าแล้วจึงคลี่ยิ้มอย่างสุขุมตอบว่า “ฮูหยินไม่ต้องหวาดกลัว นายท่านของข้าไม่ได้จะยึดครองของของฮูหยินเป็นของตน เพียงนำมาใช้สักหน่อยเท่านั้น เมื่อใช้เสร็จแล้วก็จะคืนให้ฮูหยินอย่างครบถ้วน”
เฉียวเวยบอกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “เจ้าให้ข้าลองคิดดูก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบกับเจ้า”
บ่าวรับใช้ยิ้มอย่างมีมารยาท “ขอรับ ข้าน้อยยังมีธุระ คงต้องขอตัวก่อน”
เฉียวเวยโบกมือ “ไปเถิด”
บ่าวรับใช้เดินออกไป เฉียวเวยหมุนตัวเข้าไปในเรือน เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามเล่นกันจนเหงื่อโชกศีรษะ วั่งซูกดหลิวเกอร์ไว้บนพื้นหญ้า ทับจนหลิวเกอร์ตาเหลือก เฉียวเวยหิ้ววั่งซูขึ้นมาแล้วตีก้นน้อยๆ ของนาง “อย่าซน”
วั่งซูหัวเราะฮ่าๆ
เฉียวเวยเข้าไปในห้อง วั่งซูหันกลับมาทับพี่ชายบ้าง ภายในลานบ้านมีเสียงร้องโหยหวนของจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ดังระงม
จีหมิงซิวนั่งอยู่หลังโต๊ะอ่านหนังสือ เขากำลังอ่านตำราที่นำมาจากหอตำราลับของสำนักซู่ซินจง พอเห็นเฉียวเวยเข้ามาจึงวางหนังสือลงถามว่า “คนของศิษย์พี่ฟู่หรือ”
“ศิษย์พี่ฟู่คือผู้ใด” เฉียวเวยนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา แล้วหยิบเฉ่าเหมยสีแดงสดลูกหนึ่งขึ้นมาป้อนให้เขา จากนั้นก็กินเองหนึ่งลูก พืชผลจากธรรมชาติอันบริสุทธิ์รสชาติอร่อยนัก ลูกไม่ใหญ่แต่อมเปรี้ยวอมหวาน รสชาติเข้มข้น
จีหมิงซิวกินหมดแล้วจึงตอบว่า “พี่ชายของฟู่เสวี่ยเยียน คู่หมั้นของศิษย์น้องเล็ก”
ดวงตาของเฉียวเวยกะพริบปริบๆ “เขามาถึงสำนักซู่ซินจงแล้วหรือ มิใช่บอกว่าวันแต่งงานถึงจะโผล่หน้ามาหรอกหรือ…แต่ก็ใช่ ผู้อาวุโสทั้งหลายเลิกเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว ศิษย์น้องเล็กย่อมแต่งงานได้แล้ว พักนี้ข้ายุ่งอยู่กับเรื่องงานประลอง ลืมเรื่องนี้เสียสนิท”
จีหมิงซิวบอกว่า “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ ก่อนหน้าเจ้ากับผู้อาวุโสทั้งหลายตัดสินแพ้ชนะกันเสร็จ ย่อมไม่มีผู้ใดไปยุ่งกับการแต่งงานระหว่างศิษย์น้องเล็กกับศิษย์พี่ฟู่”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้ารับปากศิษย์น้องเล็กแล้วว่าจะทำให้นางไม่ต้องแต่งงานกับเขา” เฉียวเวยพูดไป ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หว่างคิ้วจึงขมวดอีกหน “เมื่อครู่ท่านถามข้าว่าคนที่มาเป็นคนที่เขาส่งมาหรือไม่ ท่านรู้อยู่แล้วหรือว่าเขาจะมาหาข้า”
จีหมิงซิวตอบว่า “เดาได้”
เฉียวเวยมองสำรวจเขาจากบนลงล่างแล้วถามอย่างคลางแคลง “เหตุใดท่านจึงเดาได้เล่า”
จีหมิงซิวมองดวงหน้าน้อยที่เผยสีหน้าไม่ยินยอมของนางแล้วกลั้นขำไม่ไหว “วันนี้เขาไปดูการประลองด้วย”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “เหตุไฉนข้าจึงไม่รู้ว่าเขาไป
จีหมิงซิวตอบว่า “ตอนที่เขามา เจ้ากำลังพักอยู่ในเพิง วรยุทธ์ของเจ้าแต่เดิมก็สู้ผู้อาวุโสรองไม่ได้ แต่ผู้อาวุโสรองกลับเสแสร้งเล่นละครทำให้เจ้าชนะอย่างงดงาม ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นหลังเขามาถึง ดังนั้นข้าจึงเดาว่าสาเหตุที่ผู้อาวุโสรองพ่ายแพ้ให้กับเจ้า จะต้องเป็นเจตนาของเขา”
เฉียวเวยจิ๊ปากเอ่ยว่า “ท่านก็ช่างกล้าสงสัยจริงนะ ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าเขาเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่ เขาจะสั่งอาจารย์อาของตนได้อย่างไร”
จีหมิงซิวยิ้มอย่างสบายๆ “เจ้าไม่เห็นท่าทางวางอำนาจยามฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ในสำนักซู่ซินจงหรือ ลูกศิษย์ของผู้อาวุโสคนใดจะโอหังได้ถึงเพียงนั้น”
เฉียวเวยเช็ดมือแล้วยกมือเท้าคาง “จะว่าไปแล้วก็ถูก พี่น้องคู่นี้คงมีฐานะไม่ธรรมดาในเผ่าเยี่ยหลัว…จริงสิ ท่านเดาอีกหน่อยสิว่าบ่าวรับใช้ของศิษย์พี่ฟู่มาพูดอันใดกับข้า”
จีหมิงซิวตอบว่า “รับปากว่าจะให้เจ้าได้นั่งตำแหน่งเจ้าสำนัก หากเจ้ารับปากเงื่อนไขบางอย่างของเขาใช่หรือไม่”
เฉียวเวยมองเขาอย่างขุ่นเคือง “แม้แต่เรื่องนี้ท่านก็รู้หรือ บอกมาตามตรง ท่านแอบฟังอยู่ใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้ยังต้องแอบฟังด้วยหรือ คิดดูก็รู้แล้ว หากวันนี้เจ้าพ่ายแพ้แล้วก็ช่างเถิด ภูเขาลูกใหญ่ถล่มลงมาทับศีรษะ ไม่ยอมคงไม่ได้ แต่วันนี้เจ้าดันชนะ เหลือเพียงด่านสุดท้ายก็จะคว้าตำแหน่งเจ้าสำนักมาได้ เวลานี้ให้เจ้ายอมแพ้ เจ้ายินยอมหรือไม่เล่า”
เฉียวเวยตอบสีหน้าจริงจัง “ต้องไม่ยินยอมแน่นอนอยู่แล้ว เจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ เขาจงใจให้ข้าได้ลิ้มรสหวาน เพื่อจะได้ล่อลวงข้าให้รับปากเงื่อนไขของเขา”
“เขายื่นเงื่อนไขอันใดมา” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยเหล่ตามองเขา “โอ๊ะ หนนี้นายน้อยหมิงเดาไม่ออกหรือ”
จีหมิงซิวกำลังจะตอบ แต่เมื่อเห็นดวงหน้าน้อยดำทะมึนของนางจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เดาไม่ออก”
หางล่องหนเส้นน้อยด้านหลังร่างของเฉียวเวยสะบัดไปมา “รู้อยู่แล้วว่าท่านต้องเดาไม่ออก!”
กล่าวจบก็เล่าบทสนทนาระหว่างหลินชวนกับตนเองออกมาอย่างไม่ตกหล่น
“แปลกมากใช่หรือไม่ เขารู้ด้วยว่ากระบี่โหราจารย์อยู่ในมือของพวกเรา!”
จีหมิงซิวทำท่าขบคิด “เผ่าเยี่ยหลัวทราบมานานแล้วว่าตระกูลจีเป็นทายาทของโหราจารย์ ดังนั้นจึงส่งมารดาของข้าแฝงตัวเข้ามาในตระกูลจี หลังจากแผนการล้มเหลวก็ส่งฉินปิงอวี่เข้ามาอีก ฉินปิงอวี่ซุ่มซ่อนตัวอยู่นานหลายปีเช่นนี้ ก็เพราะพวกเรายังไม่เคยเดินทางไปที่ชนเผ่าลึกลับ เมื่อเดินทางไปเยือนแล้วย่อมหมายความว่ากระบี่โหราจารย์มาอยู่ในมือแล้ว ฉินปิงอวี่จึงส่งข่าวกลับไปยังเผ่าเยี่ยหลัวทันที”