ตอนที่ 324-2 แพ้ท้อง ข้อแลกเปลี่ยน
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว “มิน่าพวกเราเพิ่งกลับมาจากชนเผ่าลึกลับได้ไม่นาน ฟู่เสวี่ยเยียนก็มาที่เมืองหลวง นางได้ข่าวจากฉินปิงอวี่จึงเดินทางมาชิงกระบี่โหราจารย์ แต่พวกเราทิ้งกระบี่โหราจารย์ไว้ที่ชนเผ่าลึกลับ พวกเขาจึงแย่งไปมิได้ ดังนั้นจึงคิดหาหนทางหลอกข้าให้ส่งมอบมันให้แต่โดยดี ท่านว่า…พวกเขาเผ่าเยี่ยหลัวต้องการกริชเฟิ่นเทียนกับกระบี่โหราจารย์ไปทำสิ่งใด”
จีหมิงซิวครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “คำถามนี้เกรงว่าคงมีแต่คนเยี่ยหลัวถึงจะตอบได้”
เฉียวเวยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไรดี”
“รับปากไปก่อน” จีหมิงซิวตอบ
เฉียวเวยหันไปมองเขาอย่างประหลาดใจ “รับปากไปแล้วหลังจากนั้นเล่า จะยกสมบัติของตระกูลมู่กับกระบี่โหราจารย์ให้พวกเขายืมจริงหรือ”
จีหมิงซิวกุมมือของนาง “เรื่องหลังจากนี้ก็ค่อยว่ากันทีหลัง จัดการด่านยากตรงหน้าก่อน”
หากว่ากันด้วยนิสัยของเฉียวเวย ไม่แน่ว่านางจะรับปากเงื่อนไขของอีกฝ่ายหรือไม่ เรื่องที่ยังไม่รู้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด นางไม่รู้ว่าคนเผ่าเยี่ยหลัวแท้จริงแล้วมีจุดประสงค์อันใด แต่ไม่มีผู้ใดทำการค้าที่ขาดทุน ผลประโยชน์ที่คนเผ่าเยี่ยหลัวได้จากการหยิบยืมกระบี่โหราจารย์กับกริชเฟิ่นเทียนจะต้องมากกว่าสำนักซู่ซินจงอย่างแน่นอน สำนักซู่ซินจงเป็นหนึ่งในชิ้นเนื้อก้อนโตที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่เย้ายวนใจมากกว่ามันอีก สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใด เฉียวเวยไม่กล้าคิด
แต่จีหมิงซิวมีความกล้าพอที่จะเดิมพัน ปัจจัยที่ยังไม่ทราบไม่เคยทำให้เขาหวาดกลัว เขาเกิดมาก็มั่นใจในตนเองเช่นนี้ แม้ไม่ทราบว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เขารู้ว่าหากมันเกิดขึ้น เขาย่อมจัดการมันได้อย่างแน่นอน
…
ห้องที่แสงแดดส่องดีที่สุดของหอชิงหลิว ยามตกกลางคืนดวงจันทราก็ทอดแสงส่องจนน่าหลงใหลยิ่งนัก
ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองนอกหน้าต่างอย่างนิ่งสงบ ก็ไม่รู้ว่านางกำลังชมทิวทัศน์หรือชมดวงดาว แต่มองไปพลางบ๊วยในชามก็ถูกส่งเข้าปากไปด้วย ซิ่วฉินเพิ่งไปซักผ้ากลับมา บ๊วยชามโตก็ใกล้จะว่างเปล่าแล้ว นางเบิกตาโตอย่างตกตะลึง “คุณหนู ท่านกินบ๊วยมากมายถึงเพียงนั้น ไม่กลัวกลางคืนจะลำบากหรือเจ้าคะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าหิว”
ซิ่วฉินบ่น “หิวท่านก็กินขนมสิเจ้าคะ กินของเปรี้ยวมากเกินไปจะปวดท้อง ท่านรอประเดี๋ยว ข้าจะไปห้องครัวดูว่ายังมีของอร่อยอันใดเหลืออยู่หรือไม่”
“เดี๋ยว…”
ฟู่เสวี่ยเยียนเพิ่งเอ่ยปาก ซิ่วฉินก็เดินปร๋อออกไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ยามเดินจึงว่องไวกว่าสาวใช้ธรรมดา พริบตาเดียวก็เข้ามาในห้องครัว บังเอิญยิ่งนัก วันนี้พ่อครัวเกิดนึกอยากกินของอร่อยจึงนึ่งสาหร่ายกับซี่โครงหมูชามโตเอาไว้ เมื่อนึ่งนานพอสาหร่ายจึงนุ่มจนแตะทีเดียวละลาย เนื้อของซี่โครงก็นุ่มจนเหมือนเต้าหู้ รสชาติกลมกล่อม น้ำแกงตุ๋นได้ที่พอดี ซิ่วฉินน้ำหลายจะไหล รีบตักถ้วยหนึ่งยกไปให้คุณหนูของตนเอง
ไหนเลยจะรู้ว่านางเพิ่งเข้ามาในห้องยังมิทันส่งซี่โครงหมูสาหร่ายถึงมือฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนก็เกาะขอบหน้าต่างก้มลงไปอาเจียน
ซิ่วฉินตกใจ มองคุณหนูของตนอย่างนิ่งอึ้ง แล้วพึมพำว่า “คุณหนู…ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่พูดจา ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องด้านใน
ซิ่วฉินวางซี่โครงหมูสาหร่ายลงบนโต๊ะ นางเลิกม่านเดินตามเข้าไปแล้วมองฟู่เสวี่ยเยียนด้วยสีหน้าซับซ้อน “คุณหนูท่าน…ท่านไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบ
ขนตาของซิ่วฉินกระพือไหว “ระดูเดือนนี้ของท่านยังไม่มาเลย”
ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบอาภรณ์ขึ้นมาแล้วเดินไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำ ซิ่วฉินขวางนางไว้ แล้วมองนางอย่างตกตะลึง “ตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ต้องถาม” ฟู่เสวี่ยเยียนตัดบท
“ผู้ใดเจ้าคะ” ซิ่วฉินถามอีก
ฟู่เสวี่ยเยียนหน้าถมึงทึง “ข้าบอกว่าไม่ต้องถาม!”
“อะไรกัน ซิ่วฉินทำให้เจ้าโกรธอีกแล้วหรือ”
เสียงอ่อนโยนเอื่อยเฉื่อยของบุรุษดังขึ้นที่ประตู
หน้าอกของฟู่เสวี่ยเยียนพองยุบขึ้นลง นางมองซิ่วฉินอย่างเย็นชา ซิ่วฉินหลบตาลงแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง “คุณชายมาแล้ว”
บุรุษผู้นั้นก้าวข้ามธรณีประตู เดินเยื้องย่างเข้ามาในห้อง “เมื่อครู่ข้าได้ยินนายท่านของเจ้าโมโห เจ้าไปหาเรื่องอะไรนางเล่า”
ซิ่วฉินอึกอัก “ข้า…แอบใช้ชาดของคุณหนูเจ้าค่ะ”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะ “เจ้ารับใช้นางมานานป่านนี้ยังไม่รู้นิสัยของนางอีกหรือ นางเกลียดการใช้ของร่วมกับผู้อื่นเป็นที่สุด หนหน้าเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้ ข้าจะซื้อให้เจ้า”
“ขอบคุณคุณชายยิ่งนัก” ซิ่วฉินค้อมตัว
สายตาของเขาเลื่อนมาจับบนบ๊วยกับน้ำแกงสาหร่าย “เตรียมของกินไว้มากมายเช่นนี้ อาหารเย็นกินไม่อิ่มหรือไร”
ซิ่วฉินยกบ๊วยกับน้ำแกงสาร่ายมาวางบนถาดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ตอบคุณชาย ข้าเกิดตะกละจึงขอมาจากพ่อครัว คุณชายมาหาคุณหนูสินะเจ้าคะ หากไม่มีเรื่องใดข้าขอตัวออกไปก่อน น้ำแกงจะเย็นแล้ว”
บุรุษผู้นั้นคลี่ยิ้ม “ไปเถิด กินให้มากหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
ซิ่วฉินยกถาดออกไป
บุรุษหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง เขาจุดตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะ แสงตะเกียงไม่สว่างนัก เมื่อส่องบนร่างของนางจึงขับเน้นให้นางแลดูเดียวดาย บุรุษหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ข้าสมควรดูแลเจ้าให้มากสักหน่อย”
ฟู่เสวี่ยเยียนลุกจากเตียงมานั่งบนเก้าอี้ ถามอย่างไม่สนใจไยดี “ดึกป่านนี้แล้ว มีเรื่องใด”
ชายหนุ่มเดินมานั่งข้างกายนาง “ไม่มีเรื่องแล้วมาหาเจ้าไม่ได้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองเขา “ข้าจะนอนแล้ว”
ชายหนุ่มยกนิ้วเรียวยาวขึ้นมาบีบคางของนาง ให้นางหันหน้ามาเผชิญหน้ากับตนอย่างช้าๆ “ไม่ได้พบหน้าข้าเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เจ้าไม่คิดถึงข้าสักนิดจริงหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
นิ้วโป้งของเขากดบนริมฝีปากของนางเบาๆ สีหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด แม้แต่แววตาก็เยือกเย็นเหมือนเก่า ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วปล่อยนาง “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีข่าวดีจะบอกเจ้า อีกไม่นานข้าก็จะได้กระบี่โหราจารย์กับกริชเฟิ่นเทียนมาแล้ว สิ่งของที่ฉางเฟิงสื่อสองคนใช้เวลาสามสิบปียังเอามาไม่ได้ ในที่สุดข้าก็เอามาได้แล้ว หลังจากเอามาได้ ข้าจะพาเจ้ากลับเผ่าเยี่ยหลัว”
…
กล่าวถึงสวี่หย่งชิง หลังจากเขาผ่าน ‘อุปสรรค’ นานาประการมาได้ ในที่สุดก็มาถึงเรือนของผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสรองกำลังโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในห้อง การใช้กำลังภายในไม่น่ากลัว แต่การใช้กำลังภายในเกินกำลังย่อมมีผลสะท้อนกลับ การประลองในวันนี้ทำเขาบาดเจ็บไม่เบา
แต่เดิมเขาคิดจะปฏิเสธไม่ให้สวี่หย่งชิงพบ แต่จนปัญญาที่สวี่หย่งชิงพาตัวเองเดินเข้ามาเอง “ผู้อาวุโสรอง วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ผู้อาวุโสรองสลายลมปราณ หันไปมองเขาอย่างเรียบเฉย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหมายความว่าอย่างไร”
สวี่หย่งชิงเห็นตนเองมารบกวนการฝึกลมปราณของผู้อาวุโสรอง ในใจก็รู้สึกผิดประมาณหนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงความสงสัยในใจก็เลิกคิดจะเดินออกไป “เหตุใดท่านจึงแพ้ให้กับสาวน้อยคนหนึ่ง”
ผู้อาวุโสรองตอบโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “เหตุใดเจ้าก็เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ”
สวี่หย่งชิงกล่าวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่เชื่อสิ่งที่ข้าเห็น นางไม่ใช่ศิษย์สำนักซู่ซินจง เหตุไฉนจึงใช้วิชาฝ่ามือของสำนักซู่ซินจงได้”
ผู้อาวุโสรองมองตรงไปที่เขา “เรื่องนี้ข้าก็ยังอยากถามเจ้า วิชาฝ่ามือที่ตกลงกันไว้ว่ามีแต่เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสที่สามารถฝึกฝนได้ เหตุใดนางที่เป็นคนนอกจึงใช้เป็น เจ้าคงไม่ได้ลอบสั่งสอนจีหมิงซิวใช่หรือไม่ หลังจากนั้นจีหมิงซิวถึงไปถ่ายทอดให้นาง”
สวี่หย่งชิงขมวดคิ้วตอบว่า “ข้าไม่ได้ทำ!”
ผู้อาวุโสรองตอบอย่างเรียบเฉย “ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ยังมีคำอธิบายอันใดอีก หากตอนแรกเจ้าไม่ประมาทพวกเขาสามีภรรยา นำป้ายคำสั่งไปเดิมพันแล้วแพ้ ไฉนเลยจะมีเรื่องในวันนี้เกิดขึ้น”
สวี่หย่งชิงถูกดุก็บื้อใบ้ เขายอมรับว่าเขาประมาทศัตรู ตั้งแต่เริ่มแรกเขาก็ไม่เคยคิดว่าเฉียวเวยจะชนะ ยิ่งไม่เคยคิดว่านางจะเอาชนะผู้อาวุโสทั้งหลายได้จริง หากวันพรุ่งนี้ชนะอีกหน สำนักซู่ซินจงก็ต้องเปลี่ยนเจ้าสำนักแล้ว ทุกคนย่อมไม่กล่าวโทษว่าผู้อาวุโสทั้งห้าว่ามีความสามารถไม่เพียงพอ มีแต่จะกล่าวโทษเจ้าสำนักซู่ซินจงเช่นเขาว่านำพาหายนะมาให้
เขาไม่อาจเป็นคนบาปของสำนักซู่ซินจง
ศึกวันพรุ่งนี้ ผู้อาวุโสใหญ่จะพ่ายแพ้ไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
สวี่หย่งชิงเดินออกมาจากเรือนของผู้อาวุโสรอง มุ่งไปยังเรือนของผู้อาวุโสใหญ่ ตั้งใจเต็มที่ว่าจะหารือกับผู้อาวุโสใหญ่ว่าจะต่อสู้วันพรุ่งนี้อย่างไร ทว่าตอนที่เขาใกล้จะเดินไปถึงประตู ก็เห็นเงาร่างที่สวมผ้าคลุมร่างหนึ่ง คนผู้นี้หันหลังให้เขาและกำลังสนทนาเสียงเบากับผู้อาวุโสใหญ่อยู่
สวี่หย่งชิงรู้สึกว่าแปลกใจยิ่งนักจึงซ่อนกายอยู่หลังต้นไม้
หลินชวนเอ่ยว่า “คุณชายของข้าบอกว่า วันพรุ่งนี้ท่านต้องแพ้”
สวี่หย่งชิงคิดว่าตนเองฟังผิด
“เพราะเหตุใด” ผู้อาวุโสใหญ่ถาม
หลินชวนจึงตอบว่า “เพราะเหตุใดท่านคงต้องไปถามคุณชายของข้า ข้าเพียงรับหน้าที่มาส่งสารเท่านั้น”
กล่าวจบ เขาก็ประสานมือคำนับหมุนตัวเดินจากไป
ผู้อาวุโสใหญ่เข้าไปในเรือน ทิ้งไว้เพียงสวี่หย่งชิงผู้ยืนอยู่หลังต้นไม้ เรียกสติกลับมาไม่ได้อยู่เนิ่นนาน…