ตอนที่ 326-2 ปกป้องลูกในครรภ์
ซิ่วฉินกับหลินชวนซื้อของเสร็จก็กลับขึ้นไปบนเขา
ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้องของฟู่เสวี่ยเยียนทั้งวัน ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งจัดดอกไม้ใส่แจกันอยู่ริมหน้าต่าง นางใช้กรรไกรตัดเล็มพลางถามขึ้นมาว่า “เจ้าสำนักคนใหม่กำลังจะขึ้นรับตำแหน่ง ท่านไม่ต้องไปแสดงความยินดีสักคำหรือ”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ให้นาง “ข้าคิดว่าข้าจะไปด้วยกันกับเจ้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนปักดอกหมู่ตานที่ตัดออกมาลงในแจกันแล้วตอบว่า “ข้าไม่อยากออกไปข้างนอก”
ชายหนุ่มมองนางด้วยสายตาแฝงแววปรารถนา “ถ้าอยางนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนแสร้งทำประหนึ่งไม่รับรู้สายตาของเขา นางตัดดอกระฆังแก้วออกมาอีกดอกหนึ่งแล้วถามว่า “ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนคู่หมั้นของท่านหรือ”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะหยัน “สำนักซู่ซินจงไม่ใช่ของคนแซ่สวี่แล้ว ข้ายังจะหมั้นกับคุณหนูแซ่สวี่ไปทำอะไร”
ฟู่เสวี่ยไม่พูดอะไรอีก นางจัดดอกไม้ต่ออย่างสงบ
ซิ่วฉินกับหลินชวนเข้ามารายงานผลการทำตามคำสั่ง ซิ่วฉินใช้ปลายหางตามองคุณชายที่อยู่ด้านในห้อง จากนั้นบอกด้วยสีหน้าเหมือนเช่นปกติ “คุณหนู ข้าซื้อของกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ให้วางไว้ที่ใดดีเจ้าคะ“
ไม่รอฟู่เสวี่ยเยียนตอบ ชายหนุ่มก็เอ่ยปากก่อนว่า “ซื้ออะไรมาบ้างเล่า”
ฟู่เสวี่ยเยียนจัดดอกระฆังแก้วในแจกันต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “ซิ่วฉิน เจ้าซื้ออะไรมาก็เอาให้คุณชายดูหน่อย”
ซิ่วฉินเดินเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า จากนั้นหยิบผ้ารองระดูในกล่องออกมาให้ชายหนุ่มดู
บนใบหน้าของเขาไม่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย เขาหัวเราะแล้วเอ่ยกับฟู่เสวี่ยเยียนว่า “มิน่าเจ้าถึงทำสีหน้าย่ำแย่เช่นนี้”
ฟู่เสวี่ยเยียนหยิบดอกเจี้ยนหลันดอกหนึ่งขึ้นมาอย่างนิ่งสงบ
ซิ่วฉินปิดกล่องให้เรียบร้อย นางกลับขึ้นมาบนเขาแล้ว คุณชายรองตระกูลจีก็คงกลับขึ้นมาแล้วเหมือนกัน นางพยายามคิดหาวิธีแวะไปเรือนของเจ้าสำนักคนใหม่เพื่อรับหงฮวากลับมา แต่หลินชวนผู้น่าตายคนนั้นทำตัวติดกับนางเหมือนลูกตะปู ไม่ว่านางไปที่ใด เขาล้วนมีข้ออ้างตามไปด้วยบ
ตอนที่ซิ่วฉินครุ่นคิดว่าจะสลัดหลินชวนอย่างไรดีนั่นเอง ด้านนอกก็มีเสียงของใต้เท้าเจ้าสำนักดังขึ้น “ของที่คุณหนูของพวกเจ้าฝากข้าซื้อ ข้าซื้อมาแล้วจึงจะนำมามอบให้นาง ยังไม่รีบปล่อยข้าเข้าไปอีก”
ซิ่วฉินเกือบจะร่ำไห้เพราะความโง่ของคุณชายรองตระกูลจีแล้ว ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่านางจะไปรับมาจากเขาเอง เขาคิดว่าเหตุใดนางมีมือมีเท้าแต่ยังต้องไหว้วานเขาให้ซื้อแทน ก็เพราะไม่ต้องการให้พวกคุณชายรู้ไม่ใช่หรือไร ตอนนี้เขาเดินมาส่งของอย่างสง่าผ่าเผยถึงหน้าประตู ไม่เท่ากับว่าปูดทุกสิ่งออกมาต่อหน้าต่อตาของคุณชายหรอกหรือ
สติปัญญาชาญฉลาดเช่นคุณชาย เห็นหงฮวาแล้วจะเดาไม่ออกหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู
เจ้าลาโง่ตัวนี้!
“ข้าจะไปดูสักหน่อย” ซิ่วฉินยิ้มจะเดินออกไปด้านนอก
“กลับมา” ชายหนุ่มเรียกนางไว้
ซิ่วฉินเหงื่อเย็นไหลพรากเดินเลี้ยวกลับมา ปลายหางตาเหลือบมองฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนยังคงหลุบตาจัดดอกไม้อย่างเงียบสงบ ทำเหมือนไม่รับรู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง
สายตาของชายหนุ่มจับจ้องใบหน้านางพริบตาหนึ่ง หลังจากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มน้อยๆ “หลินชวน”
“ขอรับ คุณชาย!” หลินชวนเดินมาหน้าประตู
ชายหนุ่มเอ่ยกับหลินชวน ทั้งที่แววตามีเลศนัยจับอยู่บนใบหน้าของฟู่เสวี่ยเยียนอยู่ตลอด “เจ้าไปรับของที่คุณหนูฝากให้คุณชายรองตระกูลจีซื้อมาซิ”
“ขอรับ!”
หลินชวนรับคำสั่งแล้วสาวเท้าก้าวยาวๆ จากไป
แผ่นหลังของซิ่วฉินมีเหงื่อเย็นไหลพรากชั้นแล้วชั้นเล่า แสงตะวันนอกห้องอ่อนโยนยิ่งนัก แม้แต่สายลมอ่อนที่โชยพัดมาก็มีกลิ่นอายความร้อนระอุของฤดูร้อนอยู่จางๆ แต่มิรู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกหนาวยะเยือกยิ่งนัก
หลินชวนเดินเข้ามาแล้ว “คุณชาย!”
ฟู่เสวี่ยเยียนกับซิ่วฉินหันไปมองหลินชวนพร้อมกัน ทว่าชั่วพริบตาที่ทั้งสองคนเห็นตะกร้าดอกไม้ใบโตที่มีดอกไม้สูงท่วมหัวคน พวกนางก็ตาค้าง
ดอกทับทิม ดอกหมู่ตาน ดอกกุหลาบ ดอกเทียนจู๋ขุย ดอกหางยกยูงฝรั่ง ดอกเข็ม ดอกกระเจี๊ยบ…ทุกดอกล้วนเป็นดอกไม้สีแดงสด แดงก่ำ แดงฉาน แดงเหมือนเปลวเพลิง!
ฟู่เสวี่ยเยียน “…”
ซิ่วฉิน “…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเอื่อยเฉื่อยบนทางเส้นน้อยเพื่อกลับเรือนอย่างลำพองใจ เขาอารมณ์ดีจนเหมือนตัวจะลอย
ตอนนี้นางยักษ์น่าจะเห็นตะกร้าดอกไม้แล้วกระมัง นางคงดีใจแทบแย่ใช่หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจป้ำเช่นนี้ล่ะสิ ชอบดอกไม้สีแดง เขาก็ซื้อดอกไม้สีแดงทั้งหมดในร้านขายดอกไม้มาจนครบ!
ดูเถิดใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดร่ำรวยเงินทองเช่นเขาอีก
ยัง มี ผู้ใดอีก!
“ข้านี่ช่างฉลาดจริงๆ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักกุมหน้าอกอย่างหลงระเริง
…
ภายในหอชิงหลิว ชายหนุ่มดึงดอกทับทิมในตะกร้าขึ้นมาหนึ่งดอกอย่างสุ่มๆ แล้วถามแฝงแววเสียดสี “เจ้าให้เขาซื้อดอกไม้มาให้เจ้าหรือ”
“ใช่แล้ว ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังจัดดอกไม้” ฟู่เสวี่ยเยียนตอบอย่างเรียบเฉย จะว่าไปแล้วก็บังเอิญ นางไม่ได้จัดดอกไม้บ่อยนัก วันนี้จู่ๆ นางก็หยิบกรรไกรไปตัดดอกไม้กองหนึ่งกลับมา เป้าหมายตอนแรกน่าจะเป็นเพียงการหาอะไรให้ตนเองทำเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะจับพลัดจับผลูปะเหมาะกันพอดี
ชายหนุ่มเดินมาตรงหน้านาง นิ้วมือจับปลายคางของนางแล้วบีบให้นางเงยหน้าขึ้น “เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ สั่งให้หลินชวนไปทำก็ได้แล้ว มิจำเป็นต้องรบกวนคนนอก ข้าไม่ชอบให้เจ้าคุยกับบุรุษคนอื่น”
ฟู่เสวี่ยเยียนผินหน้าหนีหลบมือของเขา
ชายหนุ่มก็ตามมาจับอีกหน ฟู่เสวี่ยเยียนซัดฝ่ามือออกมา ชายหนุ่มกลับจับข้อมือของนางเอาไว้ได้ ในดวงตาปรากฏรอยยิ้มหยัน “ไม่ชอบใจหรือ”
ซิ่วฉินหน้าซีดเผือด “คุณชาย…”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชา “ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้าสอดปาก!”
ซิ่วฉินตัวแข็งทื่อ
ปลายนิ้วของชายหนุ่มไล้ใบหน้าขาวผ่องของฟู่เสวี่ยเยียนอย่างเชื่องช้า ลากลงมาตามลำคอขาวผ่องของนางแล้วแทรกเข้าไปในกลุ่มผม จากนั้นกระชากนางเข้ามาหา ใบหน้าของนางกับเขาแทบจะแนบชิดสนิทกัน
ลมหายใจของเขารินรดบนริมฝีปากสีแดงนุ่มนิ่มของนาง
นางมองเขาด้วยสีหน้าเฉยชา
เขายิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วลูบบนกลีบปากของนาง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าต้องให้ข้าพูดอีกกี่หนเจ้าถึงจะเข้าใจ”
ฟู่เสวี่ยเยียนปัดมือของเขาออก
เขากลับยึดแก้มของนางไว้ แล้วบังคับจุมพิตกลีบปากอันอ่อนนุ่มของนางอย่างเผด็จการ ฟู่เสวี่ยเยียนผลักเขาออกอย่างแรง แล้วฟาดฝ่ามือใส่อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย!
เพียะ!
ใบหน้าของชายหนุ่มถูกตบอย่างแรงไปหนึ่งทีจนมุมปากเกิดรอยแผลรอยหนึ่ง ชายหนุ่มลูบเลือดสีแดงสดบนรอยแผลแล้วยิ้มเย็นชา เดินอ้อมโต๊ะมาอุ้มนางโยนลงบนเตียงแล้วโถมกายลงไปทาบทับ
ดวงหน้างามของซิ่วฉินถอดสี “คุณชาย!”
ชายหนุ่มฟาดลมปราณออกมาจากฝ่ามือกระแทกซิ่วฉินออกไปจากห้อง จากนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อกว้างปิดประตู
…
เรื่องที่เฉียวเวยสู้ชนะผู้อาวุโสทั้งห้าคนกระจายออกไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก สำนักในยุทธภพจำนวนไม่น้อยเดินทางมาแสดงความยินดีถึงเรือนของพวกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ เฉียวเวยทานอาหารเช้าเสร็จก็เริ่มต้อนรับแขกเหรื่อ ส่งคนนี้จากไปคนนั้นก็มา ส่งคนนั้นจากไปก็มีคนใหม่มาอีก เรือนของพวกเขามีคนเบียดเสียดเต็มแน่นจนจะนั่งก็ไม่มีที่ให้นั่ง ต้องยืนกันเต็มลาน ขนาดต่อเพิงยาวหลังหนึ่งไว้นอกเรือน ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็มีคนออกันแน่นจนน้ำลอดผ่านไม่ได้
“ยินดีกับเจ้าสำนักเฉียว ยินดีกับอัครมหาเสนาบดี”
“ยินดีกับเจ้าสำนักเฉียว ยินดีกับอัครมหาเสนาบดี”
…
สองสามีภรรยาวุ่นวายกับการต้อนรับแขก ใบหน้าฉีกยิ้มจนแข็งค้าง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้ามาอย่างสบายอกสบายใจ วันนี้เขาอารมณ์ดีมากจึงขยับเข้ามาร่วมวงด้วยอย่างหาได้ยาก เขาล้วงกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “แล้วอย่ามาหาว่าข้าขี้เหนียวอีกเล่า ข้าใช้เงินก้อนโตซื้อมาให้เจ้าเชียวนะ!”
เฉียวเวยไม่เชื่อหรอกว่าคนขี้งกอย่างเจ้าหมอนี่จะซื้อของดีๆ อะไรมาให้ตนเอง นางขยับมือเปิดออกแล้วเหลือบดูอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ในนั้นกลับเป็นจี้ทองคำชิ้นหนึ่ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักตบหัวไหล่นางเบาๆ อย่างลำพองใจ “ห้อยไว้ที่ป้ายเจ้าสำนักของเจ้าต้องดูสวยมากแน่ คิดเช่นนั้นหรือไม่”
เฉียวเวยจับหน้าผากของเขา “เอ๊ะ อ๊ะ หืม เจ้าไม่ได้เป็นไข้ใช่หรือไม่ เหตุใดจึงตัดใจมอบของดีเช่นนี้ให้ข้าได้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างหยิ่งยโส “วันนี้ข้าอารมณ์ดีมาก!”
เฉียวเวยห้อยจี้ทองคำไว้กับป้ายเจ้าสำนักของตนเอง “เกิดอะไรขึ้น ได้พบคนงามตัวน้อยของเจ้าหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างอิ่มอกอิ่มใจ “ไม่ได้พบ แต่นางไหว้วานข้าให้ซื้อของให้นาง นี่เท่ากับนางลอบบอกเป็นนัยว่าให้ข้าจีบนาง!”
เฉียวเวยหน้าดำทะมึน “…
เจ้างมงายหลงตัวเองขนาดนี้จะดีหรือ
“นางไหว้วานให้เจ้าซื้ออะไร คงไม่ใช่สาลี่สักลูกหรอกกระมัง”
“ใช่เสียที่ไหนเล่า! นางจะไหว้วานข้าให้ซื้อของไร้รสนิยมเช่นนั้นได้อย่างไร! นางให้ข้าซื้อดอกไม้ ซื้อหงฮวาให้นาง”
รอยยิ้มของเฉียวเวยจืดลงทันตา “อะไรฮวานะ”
“หงฮวา! ข้าซื้อมาหนึ่งตะกร้าใหญ่ๆ เหมาดอกไม้สีแดงสดทั้งหมดของร้านขายดอกไม้มาจนเกลี้ยง!” ใต้เท้าเจ้าสำนักเชิดหน้ายิ้มกว้าง
เฉียวเวยคำนวณวันเวลาในใจ ทันใดนั้นแววตาก็วูบไหวลุกพรวดขึ้นยืน
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างมึนงง “เจ้าจะทำอะไร”
เฉียวเวยตอบ “ข้าจะไปหานาง”