ตอนที่ 328-2 ซ้อมบุรุษสารเลว (1)
สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ชะงักไปวูบหนึ่ง ปลายนิ้วของอาจารย์ตาฮั่วเขกหน้าผากของเขาจนเกิดเสียงดังก๊อก ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยวถลึงตาใส่อาจารย์ตาฮั่ว อาจารย์ตาฮั่วเดินกลับไปข้างกายเฉียวเวยพร้อมกับสีหน้าเฉยชา
เฉียวเวยถามเขาว่า “อาจารย์ตาท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“อืม” อาจารย์ตาฮั่วตอบกลับมาเรียบๆ
เฉียวเวยมองผู้อาวุโสทั้งหลาย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเจ้าจึงสู้กับอาจารย์ตาของข้า”
ผู้อาวุโสใหญ่สายตาเย็นยะเยือกตอบอว่า “เขาลงมือทุบตีทำร้ายศิษย์ของสำนักซู่ซินจงก่อน พวกข้าจึงต้องลงมือขัดขวาง”
เฉียวเวยโต้อย่างเย็นชา “ขัดขวางต้องใช้กระบี่ด้วยหรือ อาจารย์ตาของข้าสู้ด้วยมือเปล่ากับกำปั้น พวกเจ้ากลับใช้อาวุธกันถ้วนหน้า ข้าว่าพวกเจ้าคงอยากจะเล่นงานจนถึงเลือดถึงเนื้อมากกว่า”
ผู้อาวุโสสามสีหน้าจริงจัง “สาวน้อย เรื่องนี้เจ้าพูดไม่ถูกแล้ว เจ้ามีฐานะเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจง ไม่ออกหน้าแทนคนในสำนัก แต่กลับไปปกป้องคนนอก”
เฉียวเวยตอบว่า “พวกเจ้าบอกว่าอาจารย์ตาของข้าทุบตีศิษย์ของสำนักซู่ซินจง เขาทุบตีผู้ใดเล่า”
ผู้อาวุโสสามตอบว่า “ศิษย์พี่ฟู่ของเจ้า”
สายตาของเฉียวเวยหันไปจับบนร่างชองชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มถูกซ้อมจนสภาพอนาถอย่างยิ่งจริงๆ เขาไม่เหลือสภาพคุณชายผู้สง่างามแม้แต่น้อยแล้ว แต่เรื่องนี้แปลกมากมิใช่หรือ วรยุทธ์ของเขาเหนือกว่าผู้อาวุโสทั้งห้าคนแท้ๆ แต่อาจารย์ตาฮั่วกลับไม่ทำอะไรผู้อาวุโสทั้งห้าคน ซ้อมแต่เขาคนเดียวจนบาดเจ็บหนัก….
เจ้าหมอนี่ทำเรื่องที่ทวยเทพต้องโกรธเกรี้ยวอะไรเข้าหรืออย่างไร
เฉียวเวยประคองแขนอาจารย์ตาฮั่วแล้วถามเสียงอ่อนโยน “อาจารย์ตา เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดท่านจึงทุบตีเขา”
อาจารย์ตาฮั่วโกรธอย่างยิ่ง “เขาทำกระบี่ของข้าเจ็บตัว!”
มิน่าอาจารย์ตาถึงโกรธจัด ตบหน้าอาจารย์ตาไม่เป็นไร แต่แตะกระบี่ของอาจารย์ตา ไม่ได้เด็ดขาด!
เฉียวเวยปลอบเสียงอ่อน “ท่านคลายโทสะก่อน กลับไปข้าจะทายาจินชวงกับเหล้าแก้ฟกช้ำให้พี่กระบี่ จากนั้น…ก็จะนวดให้สักหน่อย รับประกันว่าวันพรุ่งนี้เขาก็ไม่เจ็บแล้ว”
อาจารย์ตาฮั่วถลึงตาใส่ชายหนุ่มอย่างเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ระหว่างที่เฉียวเวยกับผู้อาวุโสทั้งหลายสนทนากัน จีหมิงซิวก็เห็นร่างของน้องชายก้าวเข้ามาในห้อง
สภาพของใต้เท้าเจ้าสำนักไม่ดีกว่าศิษย์พี่ฟู่ไปถึงไหน เขาก็หน้าบวมจมูกเขียวสะบักสะบอมไปทั้งตัวเช่นเดียวกัน เขานั่งลงขัดสมาธิบนพื้น เอ่ยกับฟู่เสวี่ยเยียนที่นั่งอยู่บนพื้นเหมือนกันว่า “หน้าตาเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่อัปลักษณ์เสียหน่อย เหตุใดต้องปิดหน้าทั้งวี่ทั้งวัน…พี่ใหญ่ของเจ้าเหตุใดจึงทำกับเจ้าเช่นนี้ เขากรอกยาพิษอะไรให้เจ้ากิน เขาไม่ใช่พี่ชายของเจ้าหรือไร ไฉนเขาจึงทำตัวสารเลวเช่นนี้เล่า”
ฟู่เสวี่ยเยียนถูกสกัดจุดอยู่จึงมิอาจเปิดปากตอบได้
“เจ้าพูดสิ” ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว
จีหมิงซิวก้าวเข้าไปคลายจุดให้ฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งทันที
ใต้เท้าเจ้าสำนักกะพริบตา “เมื่อครู่เจ้าถูกสกัดจุดอยู่นี่เอง…”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเฉยเมย ไม่อาจไม่บอกว่าชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาชวนให้คนริษยาอย่างแท้จริง สภาพร่างกายที่สะบักสะบอมไม่อาจปกปิดรัศมีความสง่างามของเขาได้ เขายังคงรูปงามอย่างน่าเหลือเชื่อ สายตาของเขาจับบนร่างของฟู่เสวี่ยเยียน แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหวนิดๆ ก่อนจะคว้าหมับที่แขนของจีหมิงซิว “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
“เฮ้ยๆ! เจ้าทำอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักดึงมือของนางออกมาวางไว้บนแขนของตนเองแทน
จีหมิงซิวชักมีดสั้นที่เอวของฟู่เสวี่ยเยียนออกมา แล้วจับฟู่เสวี่ยเยียนลุกขึ้นยืน มีดสั้นจรดลงบนลำคอของนาง สีหน้าเย็นชาหันไปมองศิษย์พี่ฟู่ที่เรียกกัน “ส่งตัวคนร้ายที่สังหารมารดาข้ามา แล้วข้าจะปล่อยนาง”
ชายหนุ่มยิ้มหยัน “คิดจะข่มขู่ข้า เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ”
จีหมิงซิวตอบว่า “เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า แต่คนผู้นี้ ข้าจะพาตัวไป อยากไถ่ตัวนางกลับคืนก็ส่งคนร้ายในตอนนั้นมาเสีย มิเช่นนั้นข้ารับประกันว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นนางอีก!”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงน้อยๆ จากนั้นเลื่อนสายตามองตรงหน้าท้องของฟู่เสวี่ยเยียน ฟู่เสวี่ยเยียนกุมหน้าท้องตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มหัวเราะหยันหันไปมองจีหมิงซิว “ของเจ้า” แล้วหันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่อยู่ด้านข้าง “หรือของเขาเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักฟังไม่เข้าใจว่าเจ้าหมอนี่พูดเรื่องอะไร!
จีหมิงซิวแววตาเย็นยะเยือกตอบว่า “ของผู้ใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไตร่ตรองเงื่อนไขของข้าให้ดี”
ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนหนึ่งออกมาเช็ดคราบเลือดที่มุมปากพร้อมกับทำท่าทางครุ่นคิด
จีหมิงซิวคุมตัวฟู่เสวี่ยเยียนเดินออกไปนอกเรือน
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินตามมาต้อยๆ กระซิบเสียงเบาว่า “นี่ เจ้าอย่าจ่อมีดไว้ใกล้ขนาดนั้นสิ! เกิดทำคนเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร…”
ชายหนุ่มไม่หันหลังกลับมามอง มีเพียงเสียงลอยมาตามลม “นี่มันอะไรกัน ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ท่านลืมข้อแลกเปลี่ยนของพวกเราแล้วหรือ”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ข้ารับปากจะให้เจ้ายืมกระบี่โหราจารย์ ก็ย่อมต้องให้เจ้ายืมมัน แต่นั่นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ชายหนุ่มหันมามองจีหมิงซิวอย่างเย็นชา แล้วเดินมาถึงข้างกายฟู่เสวี่ยเยียน กระซิบเสียงเบาว่า “อย่าคิดว่าตระกูลจีจะปกป้องเนื้อก้อนนี้ในท้องของเจ้าได้ จุดจบขององค์หญิง เจ้าอย่าได้ลืม”
ฟู่เสวี่ยเยียนจากไปโดยไม่ชายตาแลเขาแม้แต่น้อย
…
หลังจากกลับมาถึงเรือน เฉียวเวยก็จับชีพจรให้ฟู่เสวี่ยเยียน สามเดือนแรกแต่เดิมก็เป็นช่วงอันตรายที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้นางยังถูกเจ้าหมอนั่นผลักไปผลักมา ได้รับความกระทบกระเทือนมากมายถึงเพียงนี้อีกจึงกระเทือนถึงครรภ์อยู่บ้างแล้ว เฉียวเวยเปิดล่วมยาที่พกติดตัวมา แล้วหยิบยาบำรุงครรภ์หลายเม็ดให้นางกิน
ยาบำรุงครรภ์หลายเม็ดนี้แต่เดิมนางเตรียมเอาไว้ให้ตัวเอง ไหนเลยะจะรู้ว่าตัวนางกลับไม่ได้ใช้ แต่ต้องมาใช้กับฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนกินยาบำรุงครรภ์เข้าไปเสร็จก็หลับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินอาดๆ เข้ามาก็เจอกับเฉียวเวยที่กำลังจะเดินออกไปพอดี เฉียวเวยจึงลากเขาออกมา เขาขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าทำอะไร”
เฉียวเวยปิดประตู กระซิบบอกเสียงเบาว่า “นางหลับแล้ว เจ้าอย่าเข้าไปกวนนาง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเสตามองฟ้า “ผู้ใดจะเข้าไปกวนนาง ข้าเพียงแวะมาเยี่ยมเฉยๆ!”
“วันพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยม” เฉียวเวยดันเขากลับไปห้องของตนเอง แล้วเรียกปี้เอ๋อร์มา “เจ้าเฝ้าประตูไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายรอง”
ปี้เอ๋อร์ลอบหัวเราะ “เจ้าค่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าดำทะมึน!
กล่าวกันว่าไม่มีแผนการใดตามทันการเปลี่ยนแปลง คำพูดนี้ถูกต้องอย่างแท้จริง เดินทางลงใต้ครานี้เป้าหมายสำคัญคือการขุดรากถอนโคนเผ่าเยี่ยหลัว แต่ยามนี้เกรงว่าคงต้องจัดการเรื่องนี้ก่อนแล้ว
วิญญูชนแก้แค้นสิบปียังไม่สาย เลือดเนื้อในท้องฟู่เสวี่ยเยียนจะมาเกี่ยวข้องกับศึกคลุ้งคาวเลือดของพวกเขาไม่ได้
ค่ำคืนนั้นจีหมิงซิวกับเฉียวเวยจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองหลวง
ก่อนเดินทางกลับเมืองหลวง เฉียวเวยไปพบสวี่หย่งชิง
“เจ้ามาทำอะไร” สวีหย่งชิงไม่อยากพบหน้าเฉียวเวยสักนิด
เฉียวเวยมองสัมภาระที่เก็บไปได้กว่าครึ่งแล้วในห้อง จากนั้นยิ้มเรียบๆ “เจ้าสำนักสวี่จะทำอะไรหรือ”
สวี่หย่งชิงตอบเสียงเย็นชา “ตำแหน่งเจ้าสำนักส่งต่อให้เจ้าแล้ว เจ้ายังไม่ยอมปล่อยข้าอีกหรือ”
เฉียวเวยตอบว่า “หากข้าตกลงให้เจ้าอยู่ที่สำนักซู่ซินจงต่อ เจ้าจะยอมหรือไม่”
แววตาของสวี่หย่งชิงสั่นไหว “เจ้าพูดว่า…อะไรนะ”
เฉียวเวยยิ้ม “ข้าบอกว่า เจ้าอยู่ที่สำนักซู่ซินจงต่อได้ แต่เป็นเจ้าสำนักไม่ได้แล้ว เป็นได้เพียงผู้อาวุโส ตอนข้าไม่อยู่ก็ดูแลสำนัก ฝึกฝนศิษย์แทนข้า”
จากเจ้าสำนักเปลี่ยนมาเป็นผู้อาวุโส กล่าวตามตรงแล้วไม่นับว่าถูกลดตำแหน่ง สวี่หย่งชิงแต่เดิมคิดว่าตนเองจะถูกขับไล่ ต่อให้ไม่ถูกขับไล่ก็คงถูกลดตำแหน่งไปเป็นตำแหน่งผู้พิทักษ์ทำนองนั้น ผู้ใดจะคิดว่า นางกลับให้เขาเลื่อนขั้นไปเป็นผู้อาวุโส ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าสมควรจะพูดสิ่งใดดี “เจ้า…เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “ข้าไม่ได้ทำเรื่องนี้เปล่าๆ ข้าจะไม่พูดถึงคุณธรรมส่วนตัวของเจ้า แต่เจ้าเรียกได้ว่าใส่ใจสำนักซู่ซินจงอย่างแท้จริง ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ยินดีจะเห็นสำนักซู่ซินจงกลายเป็นเขี้ยวเล็บของราชสำนักแห่งไหน”
สวี่หย่งชิงไม่เสียเวลาคิดตอบว่า “แน่นอนว่าไม่! หากข้าคิดจะทำเช่นนั้นก็คงทำเช่นนั้นไปนานแล้ว!”
เฉียวเวยพยักหน้า “เรื่องผู้อาวุโสทั้งห้า เจ้าคงเดาออกแล้ว แต่ตัวตนของศิษย์พี่ฟู่ เจ้าเดาออกแล้วหรือยัง”
สวี่หย่งชิงมองเฉียวเวยอย่างฉงน เขาพอเดาได้ว่าสองพี่น้องสกุลฟู่คงมีความเป็นมาไม่ธรรมดา แต่ในตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าทั้งคู่มีความเป็นมาเช่นไรกันแน่จึงบังคับผู้อาวุโสทั้งห้าคนได้ ต้องทราบว่าแม้แต่ราชวงศ์ของต้าเหลียงกับหนานฉู่ก็ยังไม่มีความสามารถเช่นนี้ “หรือว่าจะ…เป็นชนเผ่าลึกลับ”
เฉียวเวยบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ชนเผ่าลึกลับไม่มีวันทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้! พวกเขาเป็นคนของเผ่าเยี่ยหลัว”
“เยี่ย…เยี่ยหลัวหรือ” สวี่หย่งชิงตกตะลึง
เฉียวเวยมองเขา “ดูท่าเจ้าจะเคยได้ยินเรื่องของเผ่าเยี่ยหลัวมาบ้าง ถูกต้องแล้ว คนของเผ่าเยี่ยหลัวยังไม่ถูกราชวงศ์ของแต่ละแคว้นเข่นฆ่าจนหมดสิ้น พวกเขากำลังจะหวนกลับมาอีกหนและพวกเขาต้องการใช้สำนักซู่ซินจงเป็นหินหยั่งเท้าเพื่อกรีฑาทัพสู่จงหยวน”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เรื่องนี้ข้าไม่สะดวกบอกเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าคงมองออกว่าข้าไม่ได้โกหก”
สวี่หย่งชิงย่อมมองออกว่าเฉียวเวยไม่ได้หลอกเขา เขากลับไปนั่งบนเก้าอี้ เงียบงันอยู่พักใหญ่จึงถามขึ้นอย่างอึ้งๆ “ผู้อาวุโสทั้งหลายหมั้นหมายเย่ว์เอ๋อร์ให้คุณชายฟู่เพื่อเป้าหมายนี้หรือ”
เฉียวเวยตอบว่า “ใช่แล้ว แต่ตอนนี้น่าจะไม่แล้ว สำนักซู่ซินจงไม่ใช่ของคนแซ่สวี่แล้ว เขาสู่ขอบุตรสาวของเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์”
สวี่หย่งชิงเอ่ยอย่างสงสัย “เช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจแล้ว ในเมื่อเผ่าเยี่ยหลัวต้องการสำนักซู่ซินจง แล้วเหตุใดจึงให้ผู้อาวุโสทั้งหลายแกล้งแพ้เพื่อยกสำนักซู่ซินจงให้เจ้า หรือว่าเจ้าก็เป็นเขี้ยวเล็บของเผ่าเยี่ยหลัวเหมือนกัน”
เฉียวเวยหัวเราะ “หากข้าเป็นเขี้ยวเล็บของเผ่าเยี่ยหลัวก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงจัดการพวกเขาอย่างลำบากยากเย็นถึงเพียงนี้”
“จัดการพวกเขาหรือ” สวี่หย่งชิงยิ่งสงสัย
เฉียวเวยสบสายตาสวี่หย่งชิงอย่างตรงไปตรงมา “ใช่แล้ว ข้ากับเผ่าเยี่ยหลัวเป็นคู่แค้นที่มิอาจอยู่ร่วมฟ้า ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะยกสำนักซู่ซินจงให้เผ่าเยี่ยหลัว หนนี้พวกเขาได้ผลประโยชน์มากกว่าจากฝั่งข้าจึงจำต้อง ‘แพ้เดิมพัน’ มอบสำนักซู่ซินจงให้ข้า”
สวี่หย่งชิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักซู่ซินจงมานานหลายปีถึงเพียงนี้ เขาย่อมรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดว่าสำนักซู่ซินจงมีความหมายอย่างไรสำหรับราชวงศ์สักแห่งหนึ่ง มีผลประโยชน์ใดจะยิ่งใหญ่กว่าสำนักซู่ซินจงอีกหรือ
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
เฉียวเวยมองเขานิ่งๆ ตอบอย่างไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย “ข้าคือเจ้าสำนักซู่ซินจง เจ้าเพียงต้องเชื่อใจข้า ข้าจะไม่มีวันทำสิ่งที่ผิดต่อสำนักซู่ซินจง ขอเพียงข้ายังเป็นเจ้าสำนักซู่ซินจงอยู่ ข้าจะไม่มีวันยอมให้มันกลายเป็นเขี้ยวเล็บของราชสำนักแห่งไหน แต่มิใช่ว่าทุกคนจะคิดเช่นเดียวกันกับข้า ตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสทั้งห้าคนนั้น พวกเขาอยากจะแย่งชิงสำนักซู่ซินจงไปจากมือข้าจนแทบอดรนทนไม่ไหว”
แววตาของสวี่หย่งชิงทอประกายเย็นยะเยือก “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่มีวันให้สำนักซู่ซินจงตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น!”