ตอนที่ 329 ซ้อมบุรุษสารเลว (2)
การเดินทางกลับเมืองหลวงถูกกำหนดแน่นอนแล้ว เฉียวเวยกับจีหมิงซิวล้วนเป็นนักปฏิบัติ พอบอกว่าจะทำก็ทำทันที พวกเขาเริ่มจัดการเรื่องต่างๆ นานาในทันใด แต่เดิมเฉียวเวยต้องผ่านพิธีรับช่วงต่อที่เป็นพิธีใหญ่ แต่เฉียวเวยเกรงว่าชักช้าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน หลังจากปรึกษากับจีหมิงซิว นางจึงย่อทุกอย่างให้เรียบง่าย
เช้าวันที่แสงแดดเจิดจ้าและสายลมโชยพัด สวี่หย่งชิงเชิญเฉียวเวยขึ้นนั่งบนตำแหน่งเจ้าสำนักด้วยตนเอง เขานำลูกศิษย์นับพันโขกศีรษะคำนับเฉียวเวยอย่างเต็มพิธีการ หลังจากนั้นเฉียวเวยก็แต่งตั้งสวี่หย่งชิงเป็นผู้อาวุโสหกต่อหน้าทุกคน มอบหมายให้เขาจัดการเรื่องราวในสำนักแทนตน
สวี่หย่งชิงดูแลสำนักซู่ซินจงมานานหลายปี นอกจากการพ่ายแพ้เดิมพันจนเสียตำแหน่งเจ้าสำนักหนนี้ที่ออกจะเหลวไหลไปสักหน่อย นอกเหนือจากนี้เขาก็แทบไม่เคยมีจุดด่างพร้อยอันใด ยังมีคนไม่น้อยนับถือเขาอยู่ การที่เขาได้อยู่ในสำนักต่อจึงเป็นเรื่องชวนโล่งใจของศิษย์จำนวนไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังส่งเฉียวเวยขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้าสำนักด้วยตนเองอย่างจริงใจ ทำเช่นนี้ย่อมหลีกเลี่ยงการต่อสู้แบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายในสำนักไปได้ไม่น้อย
เริ่มแรกเฉียวเวยตัดสินใจจะยึดสำนึกซู่ซินจงเพื่อเหมืองทองทั้งสามแห่งและเพื่อหาความจริงเบื้องหลังการทำร้ายองค์หญิงเจาหมิง วันนี้ทั้งสองสิ่งล้วนได้มาอยู่ในมือแล้ว นางจะอยู่หรือไม่อยู่ที่สำนักซู่ซินจงย่อมไม่มีอะไรแตกต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้นผลลัพธ์จากการสืบหาของหมิงซิวช่วงก่อนหน้านี้ได้ผลลัพธ์มาแล้วว่าค่ายใหญ่ของเผ่าเยี่ยหลัวไม่ได้อยู่บริเวณสำนักซู่ซินจง ดังนั้นย่อมไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่สำนักซู่ซินจงอีกแล้ว
ผู้ใหญ่ต้องจากไป เจ้าตัวน้อยทั้งสามย่อมต้องบอกลาสหายตัวน้อยทั้งหลายด้วย แม้เพิ่งมาเป็นลูกศิษย์ใหม่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เจ้าตัวน้อยทั้งสาม (ก็คิดกันไปเองว่า) ได้สร้างมิตรภาพอันแน่นแฟ้นกับศิษย์พี่ทั้งหลาย โดยเฉพาะแม่นางน้อยวั่งซู นางคิดว่าศิษย์พี่ทั้งหลายต่างชื่นชอบนาง ทุกวันเมื่อพบหน้านาง เวลาวิ่งพวกเขาก็จะวิ่งเร็วกว่าเดิม (ด้วยความกลัว) ยามกินพวกเขาก็จะกินมากกว่าเดิม (ด้วยความกลัว) เวลามีขนมอร่อยก็จะนำมาให้นางเป็นคนแรก (เพราะความกลัวล้วนๆ) ท่านอาจารย์มักจะพูดว่านับตั้งแต่นางมา ศิษย์พี่ทั้งหลายก็เก่งกาจขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ (นี่ก็เป็นเพราะความกลัวอีกเหมือนกัน)
แต่ศิษย์พี่ทั้งหลายพอจะชอบจิ่งอวิ๋นอยู่นิดหน่อย สำนักซู่ซินจงเน้นฝึกวรยุทธ์ไม่เน้นร่ำเรียนตำรา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการสอนสั่งวิชาความรู้อะไรเลย แต่ละวันยังมีชั้นเรียนสั้นๆ สอนตำราพันอักษร พวกเขาล้วนทำการบ้านของชั้นเรียนตำราพันอักษรไม่ได้จึงพากันไปลอกจิ่งอวิ๋น
จิ่งอวิ๋นยังสอนพวกเขาให้เขียนชื่อตนเองเป็นด้วย หนึ่งตัวอักษรคิดเพียงหนึ่งตำลึงเงิน ราคาถูกยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงเป็นคนที่จิ่งอวิ๋นเคยสอนเขียนชื่อให้ก็จะลอกการบ้านของจิ่งอวิ๋นได้ตลอดไป นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง!
หลิวเกอร์เป็นเจ้าตัวน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจ เขาเป็นที่โหล่ทุกวัน เป็นที่โหล่ของทุกรายการฝึก ทุกครั้งที่พวกเขารู้สึกว่าใกล้จะมีชีวิตต่อไปไม่ไหวแล้ว พอหันไปมองหลิวเกอร์ก็จะรู้สึกว่าความหวังและความกล้าในการมีชีวิตอยู่ต่อลุกโชนขึ้นมาใหม่อีกหน
เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนบอกลาศิษย์พี่ทั้งหลาย
พวกศิษย์พี่มองส่งเจ้าตัวน้อยทั้งสามไปจากยอดเขาปี้อวิ๋น
ฉางไห่ “ในที่สุดก็ไปเสียที!”
ศิษย์พี่สาม “ไม่ต้องถูกไล่กวดให้วิ่งหนีอีกแล้ว…”
ศิษย์พี่รอง “ตอนกลางคืนจะได้หลับสบายใจแล้ว…”
ศิษย์พี่ใหญ่ “จะได้เหมาอาหารกินคนเดียวแล้ว…”
วั่งซูยืนอยู่บนยอดเขาซู่ซิน หันมาโบกมือให้ศิษย์พี่ทั้งหลาย “ศิษย์พี่! ข้าจะต้องกลับมาแน่นอน!”
ศิษย์พี่ทั้งหลายจิตใจพังทลายโดยถ้วนหน้า…
…
เฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์เก็บสัมภาระขนขึ้นรถม้าเสร็จ หันกลับมาก็เห็นอาจารย์ตาฮั่วสะพายกระบี่ยาวยืนโต้ลมอยู่ที่ประตู จูเอ๋อร์สะพายกระบี่ไม้ยืนโต้ลมอยู่ด้านหลังเขา
เฉียวเวยเดินเข้าไปหา แล้วถามอาจารย์ตาฮั่วว่า “อาจารย์ตา ท่านจะไม่ไปเมืองหลวงกับพวกเราจริงหรือ”
อาจารย์ตาฮั่วตอบว่า “ข้าสมควรกลับได้แล้ว”
หัวใจของเฉียวเวยรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง พูดกันตามตรงนางหวังว่าอาจารย์ตาจะอยู่ต่อ แต่อาจารย์ตามีบ้านอยู่ที่ชนเผ่าลึกลับ เขาเดินทางจากมานานป่านนี้ก็สมควรกลับได้แล้วจริงๆ
เฉียวเวยเปิดม่านรถ หยิบสัมภาระห่อหนึ่งออกมาจากด้านในรถม้า แล้วยื่นมาตรงหน้าอาจารย์ตาฮั่ว “อาจารย์ตา ให้ท่าน”
“สิ่งใด” อาจารย์ตาฮั่วถาม
เฉียวเวยบอกเสียงเบา “เหล้านวดคลายฟกช้ำกับยาจินชวงไว้ให้พี่กระบี่ แล้วก็มีมีดสั้นเล่มหนึ่ง หากท่านติดอยู่บนต้นไม้อีกก็ใช้มีดสั้นตัดกิ่งไม้เสีย”
“อืม” อาจารย์ตาฮั่วพอใจกับของขวัญชิ้นนี้อย่างยิ่ง เขายกมือมารับห่อผ้าจากนั้นใช้วิชาตัวเบาเหินลงจากเขา
ผ่านไปเพียงพริบตาเดียว พอเฉียวเวยมองไปทางที่อาจารย์ตาฮั่วจากไปอีกหนก็ไม่เห็นเงาของอาจารย์ตาฮั่วแล้ว
หนนี้ไม่ติดต้นไม้ แล้วก็ไม่ได้ร่วงลงไปในหลุม ดูท่าคงจะจากไปแล้วจริงๆ
เฉียวเวยถอนหายใจ ตอนที่นางกำลังจะกลับห้องไปเก็บข้าวของนั่นเองก็มีเสียงดังสนั่นดังมาจากทางไหล่เขา เฉียวเวยรีบวิ่งไปดูก็เห็นกระบี่ยาวของอาจารย์ตาฮั่วถูกหินแม่เหล็กก้อนหนึ่งดูดติดตรึงแน่นอยู่บนหน้าผาชันฝั่งตรงข้าม อาจารย์ตาฮั่วห้อยต่องแต่งอยู่บนหินแม่เหล็กพร้อมกับสีหน้านิ่งสนิท แววตาเลื่อนลอย…
…
สุดท้ายอาจารย์ตาฮั่วก็เดินทางจากไปไม่สำเร็จ เพราะกระบี่ยาวของเขาถูกหินแม่เหล็กกระแทกจนบาดเจ็บภายใน จำเป็นต้องรักษาตัว
เขาอยู่ต่อ เฉียวเวยก็ดีใจยิ่งนัก เฉียวเวยตบหน้าอกบอกว่า “อาจารย์ตาท่านวางใจได้ ข้าจะรักษาพี่กระบี่ให้หายดีอย่างแน่นอน! ข้ารับประกันว่าพอรักษาหายดีแล้ว มันจะกระโดดโลดเต้น คึกคักเหมือนอาชาดังเก่าก่อน!”
อาจารย์ตาฮั่วมองกระบี่ที่ถูกพันเป็นมัมมี่อีกครั้ง แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เฉียวเวยยิ้มอย่างเบิกบานใจ
จีหมิงซิวเดินกลับมาจากเรือนของสวี่หย่งชิง เห็นเฉียวเวยยิ้มเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งก็โอบเอวบางนุ่มนิ่มของนางเข้ามาหาอย่างห้ามตนเองไม่ได้แล้วกระซิบถามเสียงเบา “มีเรื่องอันใดจึงยิ้มอย่างเบิกบานใจเช่นนี้”
เฉียวเวยยิ้มจนตาหยีตอบว่า “อาจารย์ตาตัดสินใจไม่ไปแล้ว”
จีหมิงซิวงุนงง “อาจารย์ตาจะจากไปแล้วหรือ”
เฉียวเวยส่ายหัวเล็กๆ ของตนอย่างลำพอง
จีหมิงซิวหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ข้าอยู่ต่อไม่เห็นเจ้าจะเบิกบานใจถึงเพียงนี้”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “นั่นไม่เหมือนกันสิ อาจารย์ตาเป็นคนฝั่งบ้านแม่ของข้า ยากจะมีโอกาสที่คนบ้านแม่ของข้าสักคนจะมาอยู่ใกล้ๆ ตัว จริงสิ ศิษย์น้องเล็กเป็นอย่างไรบ้าง”
กล่าวไปแล้วต้นเหตุของการมาเยือนสำนักซู่ซินจงอีกประการหนึ่งก็คือเรื่องการแต่งงานระหว่างศิษย์น้องเล็กกับศิษย์พี่ฟู่ ศิษย์น้องเล็กเริ่มแรกร้องไห้ไม่อยากแต่งงาน แต่หลังจากพบหน้าศิษย์พี่ฟู่เพียงหนเดียวก็เพ้อฝันถึงการแต่งงานอยู่ทุกวัน ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ย่อมแต่งไม่ได้แล้ว เฉียวเวยกังวลว่านางจะกลายเป็นจีซวงคนที่สอง
จีหมิงซิวกังวลเรื่องเดียวกันจึงแวะไปเยี่ยมฝั่งนั้นด้วยตนเองมาเที่ยวหนึ่ง แต่ดูจากท่าทีทั้งหลายแล้ว ถึงศิษย์น้องเล็กจะถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาจนเคยชิน ทว่านางกลับไม่สูญเสียตัวตนเดิม “นางเสียใจอยู่บ้าง แต่นางไม่ใช่คนเลอะเลือน คงไม่ทำเรื่องโง่เขลา”
เฉียวเวยพรูลมหายใจอย่างโล่งอก “ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
ปี้เอ๋อร์เก็บของเสร็จก็ไปที่ประตูห้องของฟู่เสวี่ยเยียน นางหัวเราะเบาๆ เอ่ยเรียก “แม่นางฟู่ รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ท่านดูซิว่ายังมีสิ่งใดต้องการให้ข้าเข้าไปเก็บอีกหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ไม่ต้อง ซิ่วฉินเก็บให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าไปทำงานก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“เจ้าค่ะ!” ปี้เอ๋อร์เดินจากไป
ซิ่วฉินวางเสื้อผ้าของฟู่เสวี่ยเยียนเข้าไปในหีบ แล้วถามอย่างลังเล “คุณหนู ท่านคิดดีแล้วหรือเจ้าคะ ท่านจะกลับเมืองหลวงไปกับพวกเขาจริงหรือ เผ่าเยี่ยหลัวด้านนั้นจะทำเช่นไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ตอบ
ซิ่วฉินเอ่ยอีกว่า “คุณหนู ข้าไม่อยากให้ท่านเดินซ้ำรอยขององค์หญิง”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบสีหน้านิ่งสงบ “ข้าจะไม่เป็นเช่นนั้น”
ยามบ่ายคณะเดินทางขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้วออกเดินทางลงจากภูเขา
เฉียวเวย เจ้าตัวน้อยทั้งสาม ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับฟู่เสวี่ยเยียนนั่งในรถคันเดียวกัน จีหมิงซิวกับน้องชายนั่งบนรถอีกคัน อาจารย์ตาฮั่วกับกระบี่ และจูเอ๋อร์นั่งบนรถม้าอีกคัน ปี้เอ๋อร์กับซิ่วฉินนั่งอีกคัน
บนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไป ชายหนุ่มกับหลินชวนมองทิศทางที่ขบวนรถแล่นจากไปอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชา ฝ่ามือกำแน่นเป็นหมัด
“ซื่อจื่อ จะปล่อยให้พวกเขาพาคุณหนูจากไปเช่นนี้หรือขอรับ กลับไปจะอธิบายกับท่านอ๋องอย่างไร” เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว คำเรียกขานของหลินชวนก็เปลี่ยนไป
ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งอยู่บนรถม้าคันที่สอง สายลมอ่อนพัดม่านรถปลิวน้อยๆ เผยให้เห็นใบหน้างามดุจเทพธิดาของนาง ชายหนุ่มจ้องนางเขม็ง ความรู้สึกไม่ยินยอมและความอิจฉาประหนึ่งกรงเล็บคมกริบอันเย็นเฉียบตะกุยหัวใจภายในอกของเขา ใบหน้างามสง่าไร้ผู้ใดเทียบเทียมของเขาบิดเบี้ยวอยู่พริบตาหนึ่ง “คิดหนีจากฝ่ามือของข้า ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก”
หลินชวนเอ่ยอย่างร้อนใจ “ซื่อจื่อ มิสู้พวกเราส่งคนไปชิงตัวคุณหนูกลับมาเถิด!”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น “ส่งผู้ใดไปเล่า ผู้ใดสู้ชนะคนแซ่ฮั่วคนนั้นได้บ้าง”
หลินชวนนึกถึงภาพที่อาจารย์ตาฮั่วคนเดียวสู้กับผู้อาวุโสทั้งห้าคน เพียงพริบตาเดียวก็หุบปากฉับ เงียบงันไปครู่ใหญ่ ดวงตาเห็นขบวนรถใกล้จะหายลับสุดสายตาก็ถามอย่างอดไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้น….ถ้าเช่นนั้นจะปล่อยให้พวกเขาพาคุณหนูจากไปจริงหรือขอรับ”
ชายหนุ่มตอบว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร”
…
รถม้าแล่นออกจากสำนักซู่ซินจงตรงไปยังเมืองหลีฮวา ตอนแล่นผ่านจวนเก่าของตระกูลจี คนทั้งคณะก็แวะพัก นายท่านสามกับสวีซื่อไม่ทราบว่าพวกเขาจะมาวันนี้ นายท่านสามจึงเดินทางไปเยี่ยมบ้านฝั่งมารดาของสวีซื่อเป็นเพื่อนนางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพราะคณะเดินทางรีบเดินทาง ไม่ทันรอสองสามีภรรยากลับมา พวกเขาก็ขึ้นรถม้าเดินทางจากไปแล้ว
มีพระพุทธองค์ผู้ยิ่งใหญ่เช่นอาจารย์ตาฮั่วคุ้มครองอยู่ ตั้งแต่สำนักซู่ซินจงจนถึงเมืองหลวงจึงไม่มีภูตผีอสรพิษร้ายตนใดเยื้องกรายเข้าใกล้ได้ เฉียวเวยเคยคิดว่าศิษย์พี่ฟู่อาจรู้สึกไม่ยินยอมจนส่งคนมาไล่สังหารพวกเขาเพื่อชิงตัวฟู่เสวี่ยเยียน แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่านางกังวลใจเสียเปล่า
หลังจากเดินทางรอนแรมยี่สิบวัน กลางเดือนหกคนทั้งคณะก็เดินทางมาถึงตระกูลจีในที่สุด