ตอนที่ 335-1 ลงมือ

จีเหล่าฮูหยินร้อนใจดั่งไฟลน นางให้คนไปรับเฉียวเวยกลับมาจากวังหลวงทันที

เด็กรับใช้คนนั้นรีบร้อนลนลานจนเฉียวเวยคิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น พอเข้ามาในจวนถึงรู้ว่าสวินหลันป่วย

หากรู้ว่าคนป่วยคือแม่เลี้ยงสาว นางน่าจะอยู่เลือกสมบัติในท้องพระคลังของวังหลวงให้นานชั่วฟ้าดินสลาย

จีเหล่าฮูหยินทราบดีว่าเฉียวเวยไม่ถูกกับสวินหลันจึงถอนหายใจอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “ลำบากเจ้าแล้ว อย่างไรเสียนางก็อุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของบิดาเจ้าอยู่ เจ้าไปดูสักหน่อยเถิด”

เฉียวเวยเดินเข้าไป

โจวมามาหลีกทางให้อย่างรู้ตัว พอเห็นว่าข้างเตียงว่างเปล่าจึงรีบขนม้านั่งตัวหนึ่งมาวางให้เรียบร้อย

เฉียวเวยคร้านจะนั่ง นางยื่นนิ้วไปจับชีพจรของสวินหลัน

“ฮูหยินเป็นอะไรเจ้าคะ ฮูหยินน้อย” โจวมามาถามอย่างร้อนใจ

ปลายนิ้วของเฉียวเวยแตะลงบนชีพจรของสวินหลัน แต่สายตากลับจับบนร่างโจวมามา หญิงเฒ่าคนนี้ร้อนใจดังไฟลน หากไม่ใช่ว่าสวินหลันป่วยจริงๆ ถ้าเช่นนั้นทักษะการแสดงของนางก็ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว มองร่องรอยความเสแสร้งไม่ออกแม้แต่น้อย

เฉียวเวยจับชีพจรเสร็จก็วางมือของสวินหลันกลับไปใต้ผ้าห่ม แล้วเลิกเปลือกตาของนาง ดูลูกตาของนาง “เริ่มไม่สบายตั้งแต่เมื่อใด”

“เช้าวันนี้เจ้าค่ะ” โจวมามาตอบ

“มีอาการอย่างไรบ้าง” เฉียวเวยถามอย่างนิ่งสงบ

โจวมามานึกครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เริ่มแรกปวดท้อง วิ่งไปเข้าห้องน้ำหลายรอบ ต่อจากนั้นก็เริ่มปวดหัว เมื่อครู่หมอเจิงมาดูแล้วให้ยาบำรุงครรภ์มาหนึ่งเทียบ กินเสร็จก็กลายเป็นเช่นนี้”

เฉียวเวยถามว่า “หมอเจิงบอกหรือไม่ว่านางเป็นอะไร”

โจวมามาทบทวนความทรงจำแล้วตอบว่า “บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก อาจจะเป็นไข้แดดเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยจึงว่า “ลักษณะชีพจรของนางไม่เหมือนเป็นไข้แดด”

“ถ้าเช่นนั้นเป็นอะไรเล่าเจ้าคะ” โจวมามาถามนางอย่างฉงนงงงวย

เฉียวเวยตอบเรียบๆ “ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ชีพจรไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”

โจวมามาตบหน้าผากตนเอง “โธ่ หมอเจิงก็บอกเช่นนี้! แต่…แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร แล้วเหตุไฉนฮูหยินจึงสลบไม่ตื่นเล่าเจ้าคะ”

เฉียวเวยยิ้มเย็นชาหันไปมองโจวมามา “นั่นสิ ไม่มีปัญหาอะไรแท้ๆ แต่กลับสลบไม่ตื่น ช่างแปลกเหลือเกินจริงๆ ท่านย่า อาการป่วยอขงฮูหยิน ข้ารักษาไม่ได้ ท่านเชิญยอดฝีมือคนอื่นเถิด”

พูดน่ะง่าย แต่ทั่วทั้งเมืองหลวงยังจะหาหมอดีๆ ที่วิชาแพทย์เหนือกว่าเฉียวเวยได้ที่ไหนอีกเล่า

“บิดาของเจ้ากลับมาแล้วหรือยัง” จีเหล่าฮูหยินลังเลครู่หนึ่งก็ถามออกมา

เฉียวเวยยิ้ม “ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นลูกน้องของหมิงซิวพวกนั้น ชื่ออะไรนะ…” จีเหล่าฮูหยินนึกอยู่พักใหญ่ก็นึกชื่อของอีกฝ่ายไม่ออก

เฉียวเวยตอบว่า “จีอู๋ซวง”

จีเหล่าฮูหยินแววตาเป็นประกาย “ใช่แล้วๆ เขานั่นแหละ! เขาอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่”

เฉียวเวยตอบว่า “เขาก็ไม่อยู่เหมือนกัน”

ไม่อยู่จริงๆ เพราะระหว่างที่ทรมานฉินปิงอวี่เพื่อบีบให้สารภาพ จีอู๋ซวงต้องอยู่ด้วยไม่ห่าง

จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

เฉียวเวยยังมีลูกอีกสองคนต้องดูแล ไม่ว่างมาเสียเวลาที่เรือนหลีฮวา นางจึงคุยกับจีเหล่าฮูหยินอีกสองสามประโยคแล้วกลับบ้านชิงเหลียน

ความจริงแล้วจีเหล่าฮูหยินเองก็ไม่อยากจะสนใจความเป็นความตายของสวินหลัน แต่ในท้องของนางมีเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจีอยู่ อีกทั้งครรภ์ก็เติบใหญ่ขนาดนี้แล้ว หากแท้งขึ้นมาเด็กก็มีเท้ามีจมูกมีดวงตาแล้ว พอคิดเช่นนี้ จีเหล่าฮูหยินก็ทนรับไม่ได้อย่างยิ่ง

ไม่นานหลิวเกอร์ก็วิ่งมาเยี่ยมสวินหลัน

จีเหล่าฮูหยินตั้งใจจะขวางไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาวิ่งไวกว่าผู้ใด เผลอเพียงวูบเดียวเขาก็วิ่งเข้าห้องไปแล้ว พอเห็นมารดานอนสลบไสลอยู่บนเตียงเขาก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง

หรงมามารีบอุ้มหลิวเกอร์ออกไป

จีเหล่าฮูหยินนวดหว่างคิ้วที่ปวดร้าว แล้วสั่งตงเหมยว่า “เจ้าไปตามหมอมาอีกสักสองสามคน”

“เจ้าค่ะ!”

ตงเหมยขานรับแล้วออกไปตามหมอจากร้านยามาอีกสองสามคน แต่ทุกคนล้วนตรวจไม่พบว่าสวินหลันป่วยเป็นอะไร

“หรือจะเป็นเพราะ…ตอนกลางคืนไปเจอสิ่งไม่ดีอะไรมาหรือไม่เจ้าคะ” หรงมามาถามเสียงเบา

จีเหล่าฮูหยินเป็นคนงมงาย พอได้ยินคำนี้ก็คิดว่าฟังดูมีเหตุผล ไม่เช่นนั้นจะเป็นอะไรเล่า คนอยู่ดีๆ ก็ล้มป่วย หมอมากมายขนาดนั้นก็ตรวจหาโรคไม่พบ นอกเสียจากว่าความเจ็บป่วยไม่ได้มาจากร่างกาย นางหันไปมองโจวมามาแล้วถามเสียงเข้ม “ข้าถามเจ้า เมื่อคืนสวินซื่อออกไปเดินเล่นหรือไม่”

โจวมามาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ไปเจ้าค่ะ เมื่อคืนวานในห้องอบอ้าวเกินไป ฮูหยินนอนไม่หลับจึงเดินไปรับลมที่ริมทะเลสาบ”

หรงมามาถอนหายใจ “สตรีตั้งครรภ์มีธาตุหยินมาก ออกไปเดินข้างนอกกลางค่ำกลางคืนเรียกสิ่งไม่ดีมาหาง่ายที่สุด”

สมัยที่จีเหล่าฮูหยินยังเป็นแม่นางน้อยอยู่ที่บ้านมารดานางมักจะได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่บอกกันว่าสตรีตั้งครรภ์เรียกสิ่งชั่วร้ายมาหาได้ง่ายที่สุด ไม่สมควรออกไปเดินข้างนอกตอนกลางคืน ยิ่งริมทะเลสาบยิ่งมีพรายน้ำมาก หากสวินซื่อเคยไปที่นั่นจริงๆ ก็อธิบายสถานการณ์ตอนนี้ได้ไม่ยากแล้ว

สถานการณ์เช่นนี้เรียกหมอมาก็ไร้ประโยชน์ ต้องเรียกพระชั้นสูงมาไล่ผีให้นางต่างหาก

บ่ายวันนั้นจีเหล่าฮูหยินจึงให้หรงมามากับตงเหมยเดินทางไปวัดด้วยกัน พวกนางเล่าสภาพของสวินหลันให้พระชั้นสูงในวัดฟัง พระเฒ่าพูดทำนองว่าสวินหลันถูกผีร้ายตามรังควาน ต้องทำพิธีขับไล่ผีร้ายจึงจะเปลี่ยนโชคร้ายกลายเป็นโชคดีได้

พิธีกรรมถูกกำหนดว่าจะจัดสองวันให้หลัง เพราะพระเฒ่าบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่พลังหยางแข็งกล้าที่สุดในเดือนนี้

“พิธีกรรมหรือ”

เฉียวเวยเช็ดผมที่เปียกชื้นให้วั่งซูพลางขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ

วั่งซูยู่ปาก “ท่านแม่ ท่านเช็ดถูกตาข้าแล้ว!”

เฉียวเวยรีบยกผ้าขึ้น แล้วเช็ดผมนุ่มนิ่มที่เปียกชื้นให้นางต่อ

ปี้เอ๋อร์เช็ดผมให้จิ่งอวิ๋นอยู่ นางบอกว่า “ข้าฟังมาจากเยียนเอ๋อร์เมื่อครู่ สวินซื่อออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนจนถูกผีระราน จำเป็นต้องทำพิธีกรรมไล่ผี”

“ท่านแม่การไล่ผีคืออะไรเจ้าคะ” วั่งซูถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“การไล่ผีก็คือ…” เฉียวเวยจนถ้อยคำ

จิ่งอวิ๋นตอบอย่างตั้งอกตั้งใจ “ผีเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวมากๆ การไล่ผีก็คือการไล่สัตว์ประหลาดให้หนีไป”

“อ้อ” วั่งซูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

เฉียวเวยขำท่าทางมึนงงอันน่ารักน่าชังของบุตรสาวจึงก้มไปหอมแก้มน้อยๆ สีชมพูระเรื่อของนาง

จิ่งอวิ๋นหันไปมองน้องสาวอย่างทั้งอิจฉาทั้งริษยา เขาเกิดความคิดเจ้าเล่ห์ ผายมืออย่างหน้าไม่อาย แล้วแสร้งทำหน้าตาน่ารักน่าชังถามว่า “พิธีกรรมคืออะไรหรือขอรับ”

เฉียวเวยเดินไปเปลี่ยนผ้าผืนใหม่

จิ่งอวิ๋น “…”

เจ้าตัวน้อยทั้งสามคนเอาแต่เล่นมานานแล้วสมควรกลับไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาเสียที เฉียวเวยนำหนังสือจบการศึกษาของสำนักซู่ซินจงไปส่งที่ห้องหนังสือของอธิการ ยามนี้นางเป็นเจ้าสำนักแล้ว ทำหนังสือจบการศึกษาสักแผ่นย่อมง่ายดายจนไม่รู้จะง่ายดายอย่างไร

อธิการไม่ทราบเรื่องนี้ เขาคิดว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสามใช้เวลาหนึ่งเดือนครึ่งร่ำเรียนหลักสูตรที่ผู้อื่นใช้เวลาเรียนครึ่งปีจบจริงๆ เขาให้ทั้งสามคนกลับมาเข้าเรียนอย่างดีอกดีใจ

ทั้งสามคนกลับมาพร้อมเกียรติยศจึงครองตำแหน่งที่นั่งตรงกลางของแถวแรกอย่างมั่นคง ส่วนศิษย์ของสำนักซู่ซินจงสองคนนั้นถูกเฉียวเวยสร้างเอกสารปลอมเรียกตัวกลับไป เมื่อเป็นเช่นนี้ชั้นเรียนของอาจารย์ซุนจึงกลายเป็นใต้หล้าของจิ่งอวิ๋น

วันนี้เฉียวเวยตื่นแต่เช้า นางพาเด็กน้อยทั้งสามไปสำนักศึกษา

นางเพิ่งก้าวเท้าออกไปไม่ทันไร พระเฒ่าที่จะมาทำพิธีกรรมก็มาถึงบ้านตระกูลจี

พระที่มาประกอบพิธีกรรมที่ตระกูลจีหนนี้มีทั้งหมดสิบสองรูป รูปหนึ่งคือพระเฒ่าผู้แตกฉานทางธรรม ฉายาว่าฮุ่ยเหริน สิบเอ็ดคนที่เหลือล้วนเป็นลูกศิษย์ของเขา พิธีกรรมเล็กๆ พิธีหนึ่งกลับใช้คนมากมายเช่นนี้ ความจริงแล้วก็ถือว่าขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่บ้าง แต่ตระกูลใหญ่ต่างชื่นชอบการมีหน้ามีตา ยิ่งทำให้มีหน้ามีตาเท่าไรก็ยิ่งแสดงออกถึงความจริงใจเท่านั้น

จีเหล่าฮูหยินไม่ถือสาที่อีกฝ่ายพาคนมามากมาย ยิ่งมากก็ยิ่งดี นางไม่กลัวว่าจะเสียเงินเท่าไร ถึงอย่างไรสวินหลันก็สลบมาสองวันสองคืนแล้ว จีเหล่าฮูหยินกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะรักษาเลือดเนื้อในท้องของสวินหลันไว้ไม่ได้ “ไต้ซือ ยังมีทางช่วยนางหรือไม่เจ้าคะ”

ฮุ่ยเหรินไต้ซือประนมมือกล่าวว่า “อมิตาพุทธ อาตมายังเดินมาไม่ถึงตระกูลจีก็มองเห็นแล้วว่าตระกูลจีถูกไอดำชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ นี่เป็นเพราะมีผีร้ายที่ร้ายกาจอย่างยิ่งกำลังระราน!”

จีเหล่าฮูหยินหัวใจกระตุกวูบ “ผี ผีร้ายที่ร้ายกาจอย่างยิ่งหรือเจ้าคะ ถ้าเช่นนั้นขับไล่ได้หรือไม่”

ฮุ่ยเหรินไต้ซือตอบว่า “ตบะของมันแก่กล้าไม่น้อย ข้าจะลองดูก็แล้วกัน”

จีเหล่าฮูหยินมิกล้าชักช้า นางสั่งให้คนจัดเตรียมลานด้านหน้าเรือนหลีฮวาให้ฮุ่ยเหรินไต้ซือประกอบพิธีกรรมเล็กๆ ของเขาทันที ฮุ่ยเหรินไต้ซือจุดธูปบูชา สองมือประนมประกอบพิธี “อมิตาพุทธ” พอกล่าวคำนี้จบก็หมุนตัวกลับมาบอกกับจีเหล่าฮูหยินว่า “ผีร้ายตนนี้ดุร้ายจริงๆ อีกประเดี๋ยวตอนจับมันน่ากลัวว่าอาจจะทำให้ทุกคนบาดเจ็บ ขอให้ทุกคนอย่าก้าวออกมาจากเรือน”