ตอนที่ 335-2 ลงมือ
จีเหล่าฮูหยินถามอย่างไม่วางใจ “อยู่ในเรือนก็ใช้ได้แล้วหรือ มันไม่บุกเข้าไปหรือ”
ฮุ่ยเหรินไต้ซือตอบว่า “อาตมาจะจัดศิษย์ให้นั่งสวดคัมภีร์ตรงประตู อาศัยแสงแห่งพระพุทธองค์ขัดขวางไอชั่วร้ายของมัน ให้มันมิอาจล่วงล้ำเข้าไปในเรือนได้ชั่วคราว ก่อนที่อาตมาจะประกอบพิธีเสร็จ พวกท่านอย่าได้กระทำสิ่งใดโดยพลการเด็ดขาด มิเช่นนั้นหากผีร้ายมาสิงสู่ในร่างของพวกท่านคนใดคนหนึ่ง ข้าอาจมีพลังอาคมพอขับไล่ได้หนึ่งหน แต่ไม่แน่ว่าจะมีพลังอาคมพอขับไล่ถึงสองหน”
จีเหล่าฮูหยินรีบให้หรงมามาแจ้งข่าวให้ทั่ว หลี่ซื่อกับจีเซิ่งมาอยู่ที่เรือนของเหล่าไท่ไท่ จีซวงอยู่ที่เรือนทิศเหนือ จีซั่งชิงเดิมทีก็ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่ไม่สะดวกจะเถียงมารดาของตนเองจึงยอมอยู่ในเรือนถงอย่างว่าง่าย
ใต้เท้าเจ้าสำนักหนีมาอยู่ในเรือนของฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนไล่เสียงเย็นชา “กลับไปเรือนของเจ้าสิ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างมีเหตุมีผล “คนไม่พอ อย่าใช้เรือนมากให้เปลืองเลย!”
บ่าวรับใช้ทั้งหลายที่เหลือต่างแยกย้ายกันไปรวมตัวที่เรือนหลังต่างๆ มิเช่นนั้นหากอยู่กระจัดกระจายมากเกินไป ศิษย์ทั้งหลายย่อมป้องกันได้ไม่สะดวก
หลังจากใช้เวลาราวสองเค่อ การเตรียมการทั้งหมดก็พรักพร้อม ฮุ่ยเหรินไต้ซือกับพระอายุน้อยอีกสิบเอ็ดรูปจุดธูปตามจุดที่ตนเองอยู่ ภายในเรือนมีกลิ่นหอมเข้มข้นแผ่อบอวลอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
จีเหล่าฮูหยินได้กลิ่นหอมนี้ก็ลุกขึ้นยืนชะเง้อออกไปนอกประตู “เริ่มพิธีกรรมแล้วหรือ”
หลี่ซื่อตอบว่า “ท่านฟังดูเจ้าค่ะ เริ่มสวดคัมภีร์แล้ว”
จีเหล่าฮูหยินตั้งสมาธิฟัง ก็จริงอย่างที่ว่า!
หลี่ซื่อเดินมาข้างตัวนาง แล้วประคองแขนนางบอกว่า “ท่านแม่ ท่านอย่ากังวลใจไปเลย ไต้ซือมาแล้ว ต้องขับไล่ผีร้ายไปได้แน่”
จีเหล่าฮูหยินสูดหายใจลึกยาว “ก็ไม่ใช่ท้องแรกเสียหน่อย ตอนตั้งท้องหลิวเกอร์สมัยนั้นข้าก็กำชับกำชานางแล้วว่าอย่าออกไปเดินข้างนอกตอนกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าไปเดินริมน้ำตอนกลางคืน เหตุใดนางจึงลืมกันนะ”
หลี่ซื่อคิดลงไปลึกกว่าจีเหล่าฮูหยิน ทะเลสาบน้อยแห่งนั้นอยู่ใกล้กับเรือนถง สวินซื่อน่าจะหาโอกาสเดินเล่นเพื่อบังเอิญไปพบพี่ใหญ่สักหนมากกว่ากระมัง แต่น่าเสียดายไม่ได้พบพี่ใหญ่ ดันถูกผีร้ายตามรังควานแทน
สมน้ำหน้า!
จีเหล่าฮูหยินกุมหน้าอก “ข้าใจไม่ค่อยดีเลย”
หลี่ซื่อปลอบพอเป็นพิธี “ท่านกังวลเกินไปแล้วเจ้าค่ะ พระท่านพลังอาคมสูงส่ง สวินซื่อจะต้องปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกแน่นอน”
จีเหล่าฮูหยินนั่งลง “ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
กลิ่นหอมลอยไปถึงเรือนเสี่ยวอวี่อย่างรวดเร็วยิ่งนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะสูดจมูก “กลิ่นอะไรนั่น”
ซิ่วฉินที่ปักกระเป๋าเงินอยู่ตอบว่า “กลิ่นไม้จันทน์เจ้าค่ะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ “กลิ่นไม้จันทน์หอมถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ซิ่วฉินตอบว่า “ก็แบบนี้นะเจ้าคะ”
“ใช่กลิ่นไม้จันทน์หรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปถามฟู่เสวี่ยเยียน
ฟู่เสวี่ยเยียนอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่ตอบคำ
มือที่วางไว้ใต้โต๊ะของใต้เท้าเจ้าสำนัก ขยับอย่างซุกซน ตั้งใจจะไปจับมือของนาง ฟู่เสวี่ยเยียนตวัดสายตาเย็นชามา ใต้เท้าเจ้าสำนักกลัวจนขนลุกชัน รีบชักมือกลับไป
ซิ่วฉินปักกระเป๋าเงินได้ครู่หนึ่งก็หาว
ฟู่เสวี่ยเยียนก็ปิดหน้าหาวด้วย
ใต้เท้าเจ้าสำนักเท้าคางมองนาง “เจ้าง่วงหรือ ไม่เช่นนั้นเจ้าไปนอนสักครู่ดีหรือไม่ พิธีกรรมเสร็จแล้วข้าค่อยปลุกเจ้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนนวดขมับ “ไม่ต้อง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางตาไม่กะพริบ “เจ้าสวมผ้าปิดหน้าในห้อง ไม่กลัวอึดอัดหรืออย่างไร ไม่ต้องสวมแล้วน่า ข้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นว่าเจ้าหน้าตาอย่างไรสักหน่อย”
ฟู่เสวี่ยเยียนเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา
ใต้เท้าเจ้าสำนักโคลงหัว ยกมุมปากยิ้ม
เขามีใบหน้าที่งามละไมยิ่งกว่าอิสตรี ต่อให้สวมหน้ากากอยู่ ดวงตาทรงเสน่ห์ที่สวรรค์มอบให้คู่นั้นก็ทำให้คนหลงใหลคลั่งไคล้ได้อย่างยิ่ง
แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนขยับไหวก่อนจะหลบสายตาเขา
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยว่า “นางยักษ์…”
ตุ้บ!
แต่เขายังเอ่ยไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เขาตกใจสะดุ้งโหยง หันขวับกลับไปก็เห็นซิ่วฉินฟุบอยู่บนพื้น แน่นิ่งไม่ขยับ กรนคร่อกเหมือนจะหลับไปแล้ว
“หลับไปได้อย่างไร” เขาขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ตอนที่หันกลับไปมองฟู่เสวี่ยเยียนก็เห็นนางเริ่มสะลึมสะลือใกล้หลับแล้วเช่นกัน “เจ้าเป็นอะไรไป ง่วงแล้วหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนร่างกายโงนเงน เขาเอื้อมมือออกไปประคองตามสัญชาตญาณ นางเอนล้มมาในอ้อมแขนของเขา
ร่างกายนุ่มนิ่มเติมเต็มอ้อมแขนของเขาในพริบตา กลิ่นหอมละมุนโถมเข้าปะทะปลายจมูก หอมหวนชวนดมดอมจนเขาเกือบจะมึนเบลอ หัวใจเขาเต้นดังตุ้บๆ คล้ายแพะที่กระโดดโลดเต้นตัวหนึ่ง ใบหน้าร้อนผ่าว ลมหายใจก็ปั่นป่วนสับสน ร่างกายแข็งทื่อ มือค้างอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่าจะวางลงไปหรือจะรั้งกลับมาดี
ใต้เท้าเจ้าสำนักพยายามกดมุมปากที่เอาแต่จะยกโค้งขึ้นมาสุดชีวิต “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าทำอะไร โถมตัวมาในอ้อมแขนของผู้อื่นเช่นนี้ ข้าขอบอกเจ้า ข้าไม่ใช่คนง่ายๆ เจ้าอย่าคิดว่า…แสร้งหลับอะไรทำนองนี้แล้วข้าจะ…ติดกับเจ้า”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
ดวงตาของใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกไปมา หลับจริงหรือ
“นี่ นางยักษ์”
“นางยักษ์”
“นางยักษ์!”
“ข้าจะจับหน้าอกเจ้าแล้วนะ”
ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
ลูกกระเดือกของใต้เท้าเจ้าสำนักขยับขึ้นลง เขาประคองเอวนุ่มนิ่มของนางเบาๆ ให้นางเอนพิงในอ้อมแขนของเขา หลังจากจ้องอยู่สองวินาทีเขาก็เปิดผ้าปิดหน้าของนางออก หอมแก้มของนางอย่างว่องไวหนึ่งหน! ต่อจากนั้นก็ยกมือกุมหัว!
ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่เห็นนางตีตนเอง เขาก็หัวเราะหึๆ แล้วโน้มตัวลงไปหาริมฝีปากสีแดงนุ่มนิ่มของนาง ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันสัมผัสริมฝีปากของนาง จู่ๆ แขกไม่ได้รับเชิญก็ขัดจังหวะด้วยการบุกพรวดเข้ามาในห้อง
ใต้เท้าเจ้าสำนักสวมผ้าปิดหน้าให้นางแทบจะโดยสัญชาตญาณ จากนั้นหันไปมองคนในห้องอย่างไม่พอใจ พอเห็นอีกฝ่ายเป็นพระอายุน้อยสองสามคน สีหน้าไม่พอใจก็ยิ่งชัดกว่าเดิม “ผู้ใดให้พวกเจ้าเข้ามา”
พระสองรูปมองหน้ากัน
ใต้เท้าเจ้าสำนักไล่อย่างไม่สบอารมณ์ “ออกไป”
ทั้งสองคนไม่ขยับ
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอย่างเย็นชา “บอกให้พวกเจ้าออกไป ฟังไม่ได้ยินหรือ!”
ทั้งสองคนแววตาวูบไหว พระทางฝั่งซ้ายประสานมือคำนับบอกว่า “คุณชายท่านนี้ พวกเรากำลังทำพิธีกรรมอยู่ สัมผัสได้ว่าภายในห้องนี้มีไอดำ ขอเชิญคุณชายหลบออกไปก่อนสักหน่อย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นท่าทางที่เขาประสานมือ ในใจก็พลันมีความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ถูกผุดขึ้นมา “ท่าคำนับของพระอย่างพวกเจ้าเหตุไฉนจึงดูเหมือนคนในยุทธภพ”
พระทางฝั่งซ้ายแววตาวูบไหว
พระทางฝั่งขวารีบมาขวางหน้าเขาแล้วกล่าวอมิตาพุทธออกมาคำหนึ่ง “ประสก ที่แห่งนี้มิสมควรรั้งอยู่นาน ขอเชิญประสกรีบออกไปโดยไว พวกอาตมาทำพิธีกรรมเสร็จแล้วประสกค่อยเข้ามา”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองสำรวจทั้งสองคน แม้จะรู้สึกแปลก แต่เขาก็ยังคงอุ้มฟู่เสวี่ยเยียนลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกไปจากห้อง ทว่าตอนที่เดินผ่านพระสองรูปนั้นกลับถูกทั้งสองคนขวางทางไว้
พระทางขวาประสานมือคำนับบอกว่า “ประสก โปรดทิ้งสตรีนางนี้ไว้”
“เพราะเหตุใด” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม
พระทางฝั่งขวาตอบว่า “เพราะ…ไอดำนั่นเหมือนจะวนเวียนอยู่รอบตัวนาง พวกเราจะทำพิธีกรรมให้นางเพื่อมิให้นางถูกภูตผีทำร้าย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงดังเหอะ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าภายในห้องนี้มีไอดำ ตอนนี้มาบอกว่าบนร่างนางมีไอดำ อีกเดี๋ยวเจ้าจะไม่บอกว่าบนหัวข้ามีไอดำลอยออกมาด้วยหรือ”
พระทั้งสองรูปส่งสายตาให้กัน
พระรูปทางซ้ายชักมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้างออกมาอย่างเงียบเชียบ แต่ปลายหางตาของใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นความผิดปกติของเขาแล้ว คิ้วของเขาเลิกสูงทันใด นี่มันพระที่ไหนกันเล่า นี่มันมือสังหารในยุทธภพชัดๆ พระที่ไหนพกมีดกัน
เขากลอกลูกตาไปมา ก่อนจะหันไปมองทางประตูอย่างกะทันหัน “โอ๊ะ ไต้ซือท่านมาแล้ว!”
พระสองรูปมองไปทางด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง จังหวะนี้เองใต้เท้าเจ้าสำนักก็อุ้มฟู่เสวี่ยเยียนเผ่นแน่บไปทางประตูด้านข้าง!
“จับเขาไว้!” พระฝั่งขวาตะโกนเสียงดัง เขากับสหายไล่ตามใต้เท้าเจ้าสำนักไปพร้อมกัน!
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มฟู่เสวี่ยเยียนวิ่งสุดชีวิต เขาเค้นเรี่ยวแรงที่สั่งสมมาตั้งแต่เป็นทารกดื่มนมมารดาออกมา “อาจารย์ตาฮั่ว! ช่วยด้วยยย”